ลงพื้นที่ ครม.สัญจร

นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี​ เมื่อวันพุธที่ 12 ธันวาคม​ 2561 เพื่อติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 9/2561 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (อุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬ)

1. เยี่ยมชม “โครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย” รร.อนุบาลอุดรธานี

เมื่อเวลา 10.30 น. รมว.ศึกษาธิการ และคณะ ได้เยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนตามโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย ของโรงเรียนอนุบาลอุดรธานี โดยมีนายพยัคฆพล รอดชมภู ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลอุดรธานี คณะครูและนักเรียน ให้การต้อนรับ

นายพยัคฆพล รอดชมภู ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลอุดรธานี กล่าวรายงานว่า โครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย เป็นโครงการที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริให้เริ่มดำเนินการนำร่องในประเทศไทย โดยได้รับแนวคิดมาจากโครงการบ้านบัณฑิตน้อย ประเทศเยอรมนี มีจังหวัดนำร่องครั้งแรก 12 จังหวัด ก่อนขยายผลไปทั่วประเทศ ซึ่งโรงเรียนอนุบาลอุดรธานีเป็นโรงเรียนนำร่องและได้รับคัดเลือกให้ร่วมโครงการในเครือข่ายขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ (อพวช.) และผ่านเกณฑ์การประเมินได้รับตราพระราชทาน “บ้านวิทยาศาสตร์น้อย” เป็นครั้งแรกในปี 2554 ต่อมาได้เข้าร่วมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยของ สพฐ.เป็นรุ่นที่ 5 และในปี 2558 เข้ารับตราพระราชทานบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย เป็นครั้งที่ 2

โครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีลักษณะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ให้มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานและจิตวิทยาศาสตร์พัฒนาครูให้มีการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning (A: Attiudes การมีเจตคติที่ดี, C: Creative ความคิดสร้างสรรค์/ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา, C: Can มีความรู้ความสามารถเชิงวิชาการ, T: Team การสร้างทีม/เครือข่ายที่มีความเข้มแข็ง, T: Technology การใช้สื่อเทคโนโลยีในการนิเทศการสอนอย่างหลากหลาย, Information  Management/Innovation การบริหารข้อมูลสารสนเทศ นวัตกรรม, V: Virtue ความดีงาม มีคุณธรรม, E: Evaluation การประเมินผล การเสริมแรง การให้รางวัล) และการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ในระดับปฐมวัย พร้อมสนับสนุนแนวคิดกิจกรรมตามโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองอย่างต่อเนื่อง

โดยมีกิจกรรมใน 5 รูปแบบ ได้แก่ กิจกรรมการทดลองตามใบกิจกรรมบ้านนักวิทยาศาสตร์, กิจกรรมโครงงานตามแนวบ้านวิทยาศาสตร์, โครงการเทศกาลนักวิทยาศาสตร์น้อย, กิจกรรมนักวิทยาศาสตร์น้อย และกิจกรรมครอบครัวนักวิทยาศาสตร์น้อย โดยมีผลสำเร็จในหลายประการ อาทิ นักเรียนมีทักษะการกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานและจิตวิทยาศาสตร์ นักเรียนสามารถค้นหาคำตอบจากคำถามที่สงสัย โดยวิธีการของตนเอง และมีครูเป็นผู้กระตุ้นและให้ความช่วยเหลือ, การเปิดศูนย์การเรียนรู้แบบ STEM นักเรียนปฐมวัยมีพื้นฐานด้านองค์ความรู้และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้การเรียนรู้การศึกษาในระดับที่สูงขึ้น พร้อมทั้งเป็นศูนย์ต้นแบบในการพัฒนาเด็กปฐมวัยและการศึกษาดูงานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยของโรงเรียนเครือข่ายและโรงเรียนที่สนใจ ที่สำคัญคือ สามารถดำเนินการผ่านเกณฑ์ประเมินได้รับตราพระราชทานบ้านวิทยาศาสตร์น้อย และเป็น Best Practice ด้านการบริหารจัดการดีเด่น สาขาการศึกษาปฐมวัย ของสำนักงานศึกษาธิการภาค 10

รมว.ศึกษาธิการ​ กล่าวว่า การจัดสะเต็มศึกษา (STEM Education) เป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล​​ และโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย​ ถือเป็นอีกแง่มุมหนึ่งของสะเต็มศึกษาด้วย ซึ่งจาการรับฟังผลการดำเนินงาน ต้องชมเชยโรงเรียนที่ทำได้ดี มีความก้าวหน้าและมาถูกทางแล้ว

ทั้งนี้ ได้ฝากแนวคิดการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปฏิรูปการศึกษา ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ 2560-2579 ดังนี้

     1) การเข้าถึงการศึกษา​ (Assessibility) คือมีโรงเรียนไหนที่เข้าถึงโครงการนี้บ้าง​ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า​ 20,000 โรงเรียน​ คิดเป็นร้อยละ​ 80 ซึ่งถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว
     2) คุณภาพ​ (Quality) ซึ่งแต่ละแห่งจะมีความแตกต่างกันไป​ โดยเด็กจะมีความเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้เท่าประเทศเยอรมันหรือไม่​ จะมีวิธีวัดผลอย่างไร​ สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาช่วย​ จะทำให้คุณภาพดีขึ้นเรื่อย​ ๆ​ ขณะเดียวกันต้องยอมรับตัวเอง​ กล้าตอบคำถาม​ ดูผลลัพธ์สุดท้ายของผลงาน​ ไม่ใช่ดูแต่โครงงานเพียงอย่างเดียว​
     3) ความเท่าเทียม​ (Equality) โดยจะพบความเหลื่อมล้ำในโรงเรียน​กว่า​ 20,000 โรงเรียน​อย่างชัดเจน​ ตามปัจจัยของแต่ละแห่ง​
     4) ประสิทธิภาพ​ (Efficiency) เป็นการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนกลับมาอย่างคุ้มค่า​ โดยเฉพาะหน่วยงานราชการควรลงทุนอย่างถูกต้อง มิใช่ลงทุนมากแต่ได้ผลน้อย หรือลงทุนผิดที่ผิดทาง เหมือนที่ผ่านมา อาทิ ​ การส่งบุคลากรหรือผู้ปฏิบัติงานไปดูงาน เพื่อนำองค์ความรู้ วิธีการต่าง ๆ กลับมาต่อยอดประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติต่อไป เป็นต้น

จากผลการดำเนินงานจะเห็นได้ชัดเจนว่า โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ตอบโจทย์การเข้าถึงการศึกษา​ด้านวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี​ โดยมีโรงเรียนในโครงการกว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ และเฉพาะโรงเรียนในจังหวัดอุดรธานีกว่า 100 แห่ง แต่ขอให้คำนึงถึงเรื่องคุณภาพทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับครูเป็นหลัก​ รวมถึง “ครูของครู” อีกต่อหนึ่ง​ด้วย โดยขณะนี้มีครูแกนหลักในโครงการ มีเพียง 4 คนทั้งประเทศ และเป็นครูของ​ ศธ.เพียง 1 คน​ นั่นหมายความว่าหากต้องการให้เกิดคุณภาพ​ จะต้องลงทุนพัฒนาบุคลากรเหล่านี้ให้ได้มากขึ้น​ ส่วนเรื่องความไม่เท่าเทียม​ และเรื่องประสิทธิภาพการลงทุนคือหน้าที่ของ​ ศธ.ที่จะไปบริหารจัดการ​ต่อไป

 

 

2. ติดตามการดำเนินงาน BTEC และ Partnership School ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี

1) ความก้าวหน้าการจัดหลักสูตร Business and Technology Education (BTEC)

นายนิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี กล่าวรายงานว่า มีความยินดีที่มีการรับรองหลักสูตร Business and Technology Education Council (BTEC) ของ Pearson ซึ่งเป็นหลักสูตรวิชาชีพที่ได้รับการรับรองจากอังกฤษ นำมาจัดการศึกษาให้กับเด็กไทย ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จึงได้วางแผนดำเนินการจัดหลักสูตร BTEC อย่างต่อเนื่อง แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ระหว่างเดือนธันวาคม 2561-เมษายน 2562 เพื่อรับรองสถานศึกษานำร่องเป็น BTEC Centre Approval จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น สาขาการท่องเที่ยวและโรงแรม, วิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี สาขา Smart Electronic และวิทยาลัยเทคโนโลยีจิตรลดา สาขาการประกอบอาหาร และระยะที่ 2 ระหว่างเดือนมกราคม–พฤษภาคม 2562 จะคัดเลือกสถานศึกษาอีก 50 แห่ง เพื่อเป็น BTEC Centre Approval พร้อมคัดเลือกครูและการฝึกอบรมครูตามหลักสูตรและมาตรฐานของ BTEC เพื่อเริ่มต้นให้สามารถจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร BTEC ได้ภายในปีการศึกษา 2562

รมว.ศึกษาธิการ​ กล่าวว่า​ การมาตรวจเยี่ยมครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้อาชีวศึกษาจัดหลักสูตร​ BTEC ให้มีความก้าวหน้า ซึ่งในส่วนของ​ ศธ.และคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ได้พิจารณารับรองหลักสูตร​ BTEC เรียบร้อย​แล้ว​ พร้อมที่จะพัฒนาครูผู้สอน​ BTEC​ ให้ได้คุณภาพเน้นสมรรถนะด้านอาชีพ ด้วยการฝึกอบรมที่เข้มข้น ทำให้ผู้เรียนสามารถทำงานได้ทันทีหลังจบหลักสูตร และผู้ประกอบการก็สามารถจ่ายค่าจ้างตามทักษะความสามารถได้

ในส่วนของระยะแรกเริ่มของการจัดหลักสูตร BTEC ควรมีการประเมินความสนใจของนักเรียน หากพบว่านักเรียนยังไม่กล้ามาเรียน​ในหลักสูตร BTEC อาจเปิดสอนในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ก่อนได้​ แต่หากนักเรียนให้ความสนใจและต้องการจะมาเรียน ก็สามารถเปิดห้องเรียนคู่ขนานกับหลักสูตรปกติได้​เช่นกัน ส่วนหลักสูตรที่จะเปิดสอนนั้น ผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี สามารถเลือกเปิดหลักสูตรของ BTEC ในสาขาต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ​ ตามความพร้อมของครู และบริบทของสถานศึกษา​ โดยอาจดูตัวอย่างจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น ซึ่งเปิดหลักสูตร BTEC ด้านการท่องเที่ยวและการบริการ (Tourism and Hospitality) เพื่อเป็นแนวทางการทำงาน และขยายการเปิดหลักสูตรนี้ที่อุดรธานีด้วยในอนาคต

ทั้งนี้​ รมว.ศึกษาธิการ​ ได้หารือกับ รมว.การคลัง เพื่อเตรียมแหล่งเงินกู้สำหรับนักเรียนที่สนใจมาเรียนหลักสูตร BTEC พร้อมมอบหมายให้นายสุเทพ​ ชิตยวงษ์ เลขาธิการ​ กอศ. ประสานงานไปยังคณะกรรมการกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา​ (กยศ.)​ และธนาคารออมสิน​ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินมาเรียนในส่วนนี้ โดยให้ถือเป็นนโยบายของรัฐบาล ให้นักเรียนหลักสูตร​ BTEC ​เป็นกรณีพิเศษ

2) ติดตามความก้าวหน้าโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School)

รมว.ศึกษาธิการ​ กล่าวว่า​ ความก้าวหน้าโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) ของวิทยาลัยการอาชีพคำม่วง ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับทุกคน เพื่อช่วยพัฒนาชุมชนและผู้ปกครองให้มีรายได้ โดยนักเรียนนักศึกษาอาชีวะจะเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และการบริหารจัดการในโรงเรียน ซึ่งในพื้นที่นี้ได้มีการนำร่องที่วิทยาลัยการอาชีพคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีบริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลอีสาน จำกัด เป็นภาคเอกชนผู้ให้การสนับสนุน และวิทยาลัยการอาชีพหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น โดยมีบริษัทน้ำตาลมิตรผล จำกัด ให้การสนับสนุน ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาใน 5 ด้าน ได้แก่ การจัดการเรียนการสอน การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา การจัดกิจกรรมเสริมทักษะอาชีพ การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และการพัฒนาภูมิทัศน์ อาคารสถานที่ โดยมีผลความพึงพอใจในระดับดีมากต่อชุมชนในพื้นที่ จึงทำให้มีสถานศึกษาสนใจเป็นจำนวนมากที่จะเข้าร่วมโครงการ

ทั้งนี้ จะมีการขยายผลเพิ่มเติมสถานศึกษาอาชีวะที่จะเป็นโรงเรียนร่วมพัฒนาในระยะที่ 2 อีกจำนวน 6 แห่ง คือ 1) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชลบุรี ร่วมกับบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 2) วิทยาลัยเทคนิคตรัง 3) วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี 4) วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี ร่วมกับกลุ่มเซ็นทรัล 5) วิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา และ 6) วิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

 

 

3. เยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอน “Coding Programming และ Robotic”  ที่โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม

รมว.ศึกษาธิการ และคณะ เดินทางต่อไปยังโรงเรียนเพ็ญพิทยาคม อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี เพื่อเยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนวิชา Coding Programming และ Robotic สู่ผู้เรียนยุคดิจิทัล 4.0 ซึ่งเป็นการยกระดับการเรียนการสอนสะเต็มศึกษา โดยพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนด้วยวิชา Coding Programming และ Robotic

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังเยี่ยมชมผลงานและนิทรรศการว่า จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทั้งการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์, Coding Programming, Robotic ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสะเต็มศึกษา ครูจะเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากต่อการจัดการเรียนรู้ การให้คำชี้แนะ และให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ กับนักเรียน ซึ่งสะท้อนออกมาสู่กระบวนการเรียนรู้ ความคิด และจินตนาการ ซึ่งปรากฏอยู่ในผลงานและความสำเร็จด้านต่าง ๆ ที่นำมาแสดงในครั้งนี้ จึงต้องการย้ำว่า บุคลากรที่ปฏิบัติงานจริง ไม่ว่าจะเป็นครู ครูผู้ช่วย หรือแม้กระทั่งครูอัตราจ้าง มีความสำคัญและควรได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการเปิดโลกทัศน์ การศึกษาดูงาน หรือการฝึกอบรมทักษะและสมรรถนะ เพื่อนำกลับมาต่อยอดและพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนที่ทันสมัยทันโลกต่อไป และที่สำคัญคือ การรักษาครูเหล่านี้ไว้ให้คงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี และได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมตามภาระงานที่มีอยู่ ในขณะเดียวกัน สพฐ.ก็ต้องเร่งสร้างครูรองรับการพัฒนาประเทศไทย 4.0 ให้เพียงพอกับความต้องการมากขึ้น

นายจิรัฏฐ์​ แจ่มสว่าง​ ครูรางวัลเจ้าฟ้ามหาจักรี​ ประเทศไทย​ ปี​ 2560 กล่าวว่า​ ในอดีตเรื่องของหุ่นยนต์อาจยังเป็นเรื่องไกลตัวเรา แต่ในปัจจุบันสามารถเข้าถึงหุ่นยนต์ได้ง่าย และมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในส่วนของการเรียนการสอน ได้มีการนำวิทยาการคำนวณเข้ามาเสริมความรู้ของครู และถ่ายทอดการฝึกคิดอย่างเป็นระบบ​ การลำดับการคิดอย่างเป็นขั้นตอนสู่นักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับระบบการออกแบบหุ่นยนต์​ หากทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง นักเรียนก็จะสามารถใช้แนวคิดดังกล่าวต่อยอดในเรื่องอื่น ๆ ได้

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการ คือ​ การสร้างกระบวนการเรียนรู้ทางความคิดอย่างเป็นระบบ เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจในสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดกระบวนการ รู้ว่าเรียนอะไร มีความสำคัญและเชื่อมโยงกับสิ่งใดบ้าง และจะนำไปใช้ทำอะไร เป็นต้น โดยครูถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน​ สร้างความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้ทุกโรงเรียนจะออกแบบการเรียนการสอน​ Coding Programming และ Robotic อย่างไรก็ได้ แต่มีความจำเป็นที่จะต้องประมวลความรู้ของนักเรียน เกี่ยวกับความสามารถในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการเรียน​ ในการใช้ชีวิต หรือเส้นทางอาชีพในอนาคตเป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการส่งเสริมและเกื้อหนุนการเรียน ที่จะช่วยสร้างสมรรถนะและทักษะของเด็กแต่ละคนต่อไป

นายอัมพร​ พินะสา​ ผู้ช่วยเลขาธิการ​ กพฐ. กล่าวว่า การร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ ทำให้ได้รับแนวทางการขับเคลื่อน​ PISA และบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน โดยต้องเริ่มจากเจตคติหรือความสนใจด้านวิทยาศาสตร์ของเด็กตั้งแต่เล็ก​ ๆ ในโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ซึ่งได้ดำเนินการแล้ว​ในโรงเรียนกว่า​ 20,000​ แห่ง​ แต่ยังพบปัญหาขาดแคลนครูแกนหลักของ สพฐ. ที่มีเพียงคนเดียว ดังนั้น​ เพื่อให้การดำเนินโครงการมีคุณภาพมากขึ้น สพฐ.จะร่วมกับ​สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เพื่อร่วมกันพัฒนาครูแกนหลักให้เพียงพอสำหรับทุกเขตพื้นที่การศึกษาต่อไป

ในส่วนของการตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และนโยบายประเทศไทย 4.0 ด้วย​การจัดการเรียนการสอน Coding Programming และ Robotic ซึ่งคุณภาพครูก็เป็นหัวใจสำคัญ ที่จะทำให้การเรียนวิทยาศาสตร์​มีความน่าสนใจ​ ส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน​ จึงต้องมีการพัฒนาครูอย่างต่อเนื่อง​ พร้อมส่งเสริมปัจจัยในการจัดการสอนให้มีคุณภาพตาม​ความต้องการของพื้นอย่างเหมาะสมต่อไป

ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สสวท. เสนอแนะนำแนวทางการส่งเสริมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ว่า ควรเริ่มเรียนจากสิ่งที่เด็กสนใจหรือต้องการก่อน จากนั้นจึงเชื่อมโยงเข้าสู่องค์ความรู้ ทฤษฎี หรือวิทยาการต่าง ๆ และครูถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการเรียนรู้ ทั้งการช่วยสร้างความคิดอย่างเป็นระบบ แก้ไขปัญหาได้ ต่อยอดเป็น ซึ่ง สสวท.มีความยินดีที่จะพัฒนาครูร่วมกับ สพฐ. เพื่อให้มีครูรองรับการพัฒนาการเรียนสะเต็มศึกษามากขึ้นต่อไป

Written by ปารัชญ์ ไชยเวช, นวรัตน์ รามสูต
Photo Credit ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า (VDO)
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร