สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) จัดสัมมนา “การยกระดับการเรียนรู้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : ประสบการณ์จาก PISA (Raising Learning Outcomes in Southeast Asia : Insights from PISA)” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ณ โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพ โดยได้รับเกียรติจาก นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการสัมมนา
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งสำคัญ โดยมีผู้บริหารระดับสูงขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการจัดสอบตามโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Program for International Student Assessment หรือ PISA) มาเข้าร่วมประชุม และเป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยได้เข้าร่วมการสอบ PISA มาตั้งแต่ปี 2543 เพื่อประเมินสมรรถนะของเด็กไทย 3 ด้าน ได้แก่ การรู้เรื่องการอ่าน การรู้เรื่องคณิตศาสตร์ และการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ ซึ่งข้อสอบของ PISA มีความน่าสนใจและท้าทาย เพราะมีความหลากหลายตามสถานการณ์ในชีวิตจริงให้นักเรียนอ่าน แต่ละสถานการณ์อาจมีหลายคำถามและหลากหลายรูปแบบในการตอบคำถาม
อย่างไรก็ตาม ผลคะแนน PISA มักจะถูกนำมาเป็นสิ่งที่โจมตีระบบการศึกษาไทย ในขณะที่ OECD ให้ข้อมูลว่า ไม่ควรใช้ PISA ในการนำวิพากษ์วิจารณ์หรือเปรียบเทียบระบบการศึกษาของแต่ละประเทศ เพราะมีบริบทที่แตกต่างกัน เช่น ในประเทศไทย โรงเรียนทุกประเภทได้เข้าร่วมสอบ PISA แต่ในบางประเทศจะคัดเลือกโรงเรียนเพียงบางประเภทเท่านั้น เป็นต้น ดังนั้น PISA จึงเป็นปรอทวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ออกแบบมาเพื่อทำให้รู้ว่าเรามีจุดอ่อนตรงส่วนใด และนำผลนั้นมาปรับปรุงการศึกษาต่อไป
ในส่วนของผลการสอบ PISA ของเด็กไทยนั้น ยืนยันว่าไม่ได้ด้อยกว่าประเทศอื่น เนื่องจากมีโรงเรียนที่ทำคะแนน PISA ติดอันดับ 1-2 ของโลก สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเด็กไทยก็มีความสามารถ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่ายังมีโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ขาดอุปกรณ์การเรียนการสอน และการจัดการเรียนการสอนยังไม่ครบชั่วโมงเรียน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการสอบของเด็กไทย เช่น การแปลภาษา การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง และปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เด็กไทยไม่สามารถใช้ศักยภาพได้เต็มที่
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการเตรียมการเกี่ยวกับการสอบ PISA ครั้งต่อไปในหลายด้าน โดยเฉพาะการประชุมในครั้งนี้ ที่จะทำให้ได้เรียนรู้จากผู้จัดสอบโดยตรง พร้อมศึกษาเรียนรู้การเตรียมการของประเทศอื่น ๆ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเกิดประโยชน์กับการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยอย่างมาก
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สสวท. กล่าวว่า PISA เป็นเรื่องของการวัดผลและประเมินผลการจัดการเรียนการสอน โดยไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะคะแนนที่ได้จากการวัดผลเท่านั้น แต่ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ เช่น การนำผลมาวิเคราะห์ว่าควรปรับปรุงและพัฒนาสิ่งใดอย่างเร่งด่วนที่สุด, การสำรวจข้อมูลพื้นฐานของนักเรียน เป็นต้น ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ เป็นการประชุมที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศได้หารือร่วมกัน ตลอดจนได้เรียนรู้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ และทำให้ได้คะแนน PISA มากขึ้น
Mr Andreas Schleicher, Director for the Directorate of Education and Skills, OECD กล่าวว่า การจัดการประชุุมในครั้งนี้ OECD อาจจะไม่สามารถบอกได้ว่า จะทำให้การปฏิรูปการศึกษาไทยประสบผลสำเร็จได้โดยตรง แต่ OECD สามารถนำเสนอข้อมูลและสิ่งที่ต้องดำเนินการเพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาสำเร็จ ซึ่งประเทศไทยมีรากฐานด้านต่าง ๆ ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว จึงเชื่อมั่นว่าการศึกษาไทยจะสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ แต่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ การปฏิรูปการศึกษาของไทย ยังมีจุดที่ท้าทายที่ต้องทำให้ดีขึ้น แต่ไทยก็มีจุดแข็ง เช่น โรงเรียนบางแห่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและยากจน แต่มีศักยภาพในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า โรงเรียนเหล่านี้ดำเนินการได้อย่างไร จึงควรที่จะเรียนรู้จากโรงเรียนเหล่านี้ด้วย เป็นต้น
สำหรับการสัมมนาในครั้งนี้ มีผู้บริหารและนักการศึกษาจากภูมิภาคอาเซียน 7 ประเทศ เข้าร่วมประชุม ได้แก่ บรูไน อินโดนีเซีย กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายและนักการศึกษาในภูมิภาคอาเซียน ได้นำเสนอนโยบายด้านการศึกษาที่เป็นผลสืบเนื่องจากการประเมิน PISA รวมทั้งประเด็นที่น่าสนใจที่เชื่อมโยงกับการเรียนการสอนและการประเมินผลเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน โดยมีกรณีศึกษาจากประเทศที่ประสบความสำเร็จจากการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ