นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือ Memorandum of Cooperation (MoC) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Institute of Technology: NIT) หรือ KOSEN ประเทศญี่ปุ่น เพื่อจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น
โดยมีผู้มีเกียรติจากทั้งสองประเทศเข้าร่วม อาทิ ดร.อิซาโอะ ทานิกุชิ ประธานสถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Institute of Technology) หรือ KOSEN ประเทศญี่ปุ่น, นายอัมพร พินะสา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.), ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.), รองศาสตราจารย์ ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ตลอดจนผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา เข้าร่วมงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 ณ ห้องกมลทิพย์ บอลรูม 3 โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพ

นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของประเทศไทย และถือเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับการเริ่มต้นจัดตั้ง “สถาบันไทยโคเซ็น” ซึ่งเป็นโรงเรียนทางวิศวกรรมที่มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนโคเซ็น ที่เปิดทำการเรียนการสอนจำนวน 51 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น สถาบันไทยโคเซ็นจึงเป็นการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นครั้งแรกนอกประเทศญี่ปุ่น โดยจะจัดตั้งที่ สจล. และ มจธ.
สำหรับสถาบันไทยโคเซ็น มีระยะเวลาการดำเนินโครงการ 13 ปี คาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวน 800 ล้านบาท สำหรับเป็นเงินอุดหนุนการศึกษาของนักศึกษาในสถาบันไทยโคเซ็น และงบดำเนินงานของสำนักงานโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็นจำนวน 1,200 ล้านบาท ตลอดจนเงินนอกงบประมาณ จำนวน 2,700 ล้านบาท จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA)
โดยจะเริ่มดำเนินการรับสมัครนักเรียนที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าศึกษาต่อที่สถาบันไทยโคเซ็น ในปีการศึกษา 2562 ด้วยวิธีการสอบคัดเลือกเช่นเดียวกับการสอบเข้าเรียนของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์และโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ซึ่งเชื่อว่าโครงการนี้จะทำให้ใน 13 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีวิศวกรนักปฏิบัติกว่า 1,000 คน ที่เป็นกำลังคนสำคัญของประเทศ
ในส่วนของการบริหารงานของสถาบันไทยโคเซ็นนั้น อยู่ระหว่างการเตรียมการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร เพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะช่วยบริหารงานในเบื้องต้น และในท้ายที่สุดจะส่งต่อการบริหารงานของสถาบันไทยโคเซ็นในรูปแบบของ องค์การมหาชน และมีอิสระในการดำเนินงาน
“ขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองเชื่อมั่นและมั่นใจในคุณภาพของสถาบันไทยโคเซ็น ซึ่งทัดเทียมกับโคเซ็นญี่ปุ่นอย่างแน่นอน เพราะมีครูที่มีความเชี่ยวชาญมาสอน อีกทั้งผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของโคเซ็นประเทศญี่ปุ่นก็เป็นที่ยอมรับอย่างมาก และมีบริษัทมาเสนองานให้ผู้ที่จบการศึกษากว่า 30 บริษัท ดังนั้น เด็กไทยที่จบสถาบันไทยโคเซ็น นอกจากจะมีงานทำแน่นอนแล้ว ยังเป็นบุคลากรที่สามารถสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีได้ด้วย”

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โคเซ็นเป็นระบบการศึกษาที่มุ่งเน้นการผลิตนักนวัตกรรมที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่น โดยนักนวัตกรรมนั้น ฃมีความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในประเทศ ดังนั้น เด็กที่จบการศึกษาจากสถาบันไทยโคเซ็นตามหลักสูตรและมาตรฐานของโคเซ็นประเทศญี่ปุ่น จะมีทักษะและความสามารถที่จะไปสร้างนวัตกรรมต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้ การจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็นจึงถือเป็นก้าวสำคัญที่เป็นความภาคภูมิใจของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“ขอขอบคุณความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่ร่วมกันดำเนินงานให้สถาบันไทยโคเซ็นมาถึงจุดนี้ได้ ซึ่งถือเป็นการปลดล็อกการขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมชั้นสูงในภาคอุตสาหกรรมของประเทศด้วย”

ดร.อิซาโอะ ทานิกุชิ ประธานสถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ KOSEN ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า โคเซ็นเป็นสถาบันที่ผลิตวิศวกรและนักนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงระดับโลกของประเทศญี่ปุ่น เป็นระบบการจัดการเรียนการสอนที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเด็กที่จบการศึกษาจากโคเซ็น จะมีทักษะด้านต่าง ๆ เมื่อเจอปัญหาหรือความท้าทายจะไม่พูดว่าทำไม่ได้ แต่จะลองทำและยอมรับความท้าทายนั้น
นอกจากนี้ โคเซ็นยังมุ่งหวังให้เด็กที่จบการศึกษาออกไป ทำหน้าที่เสมือนหมอที่รักษาและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม (Social Doctors) ทำให้เด็กที่จบโคเซ็น 1 คน มีบริษัทกว่า 30 แห่งติดต่อเข้ามาจ้างงาน ในขณะที่เด็กสามารถเลือกบริษัทที่จะทำงานได้เพียง 1 แห่งเท่านั้น จึงเป็นโอกาสดีของนักเรียนไทยที่จะเข้าเรียนในสถาบันไทยโคเซ็นซึ่งใช้มาตรฐานเดียวกันกับโคเซ็นประเทศญี่ปุ่น ในการที่จะมีโอกาสเลือกทำงานหลังจบการศึกษาเช่นเดียวกัน สำหรับ สจล. และ มจธ. ที่จะเป็นสถานที่จัดตั้ง และเปิดทำการเรียนการสอนของสถาบันไทยโคเซ็นนั้น ก็มีประวัติศาสตร์ด้านการอุดมศึกษามาอย่างยาวนาน
“ขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไทย ที่เดินทางไปเยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนโคเซ็นที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้เกิดความร่วมมือในการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็นในครั้งนี้ อีกทั้งขอขอบคุณ สพฐ. สสวท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่ช่วยดำเนินการต่าง ๆ เพื่อผลักดันการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ซึ่งสถาบันไทยโคเซ็นและโคเซ็นประเทศญี่ปุ่นเปรียบเสมือนเป็นพี่น้องกัน และจะร่วมกันดำเนินงานให้ประสบผลสำเร็จต่อไป”

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สสวท. กล่าวว่า จากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 มีมติเห็นชอบ “โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค” โดยมอบให้ สพฐ. และ สสวท. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ซึ่งโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น จำนวน 2 วิทยาเขต ได้แก่ สถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และสถาบันโคเซ็นแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เพื่อพัฒนาหลักสูตรการผลิตวิศวกรนักปฏิบัติ (Practical Engineer) ที่ตอบโจทย์การจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายวิชาการของสถาบันไทยโคเซ็นในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ รวมทั้งสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักศึกษาไทยในหลักสูตรโคเซ็นทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนส่งเสริมงานด้านวิชาการ งานวิจัย และเผยแพร่เทคโนโลยีต่าง ๆ
“โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) โดยพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ จะนำไปสู่ความร่วมมือในการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น อันจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ของประเทศต่อไป”

ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สจล. กล่าวว่า สถาบันโคเซ็นทั้ง 51 แห่งในประเทศญี่ปุ่น มีการบริหารงานและจัดการศึกษาที่มีความเป็นเอกลักษณ์และประสบผลสำเร็จอย่างสูง โดยให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรม ด้วยการบ่มเพาะวิศวกรชั้นเลิศ ซึ่งตลอดระยะเวลา 58 ปีที่ผ่านมา สจล. ก็ได้มีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ความร่วมมือและความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่นและองค์กร JICA จนกระทั่งมาถึงความร่วมมือครั้งสำคัญในปัจจุบันนี้ ซึ่งก็คือการร่วมกันจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็นที่ถือเป็นการเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตของประเทศไทย
โดย สจล. มีแนวทางที่จะเปิดสอนหลักสูตรวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ หลักสูตร 5 ปี ในปีการศึกษา 2562 ซึ่งจะรับเด็กที่จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 24 คน เมื่อจบการศึกษาแล้วจะได้รับประกาศนียบัตรจากโคเซ็น และอนุปริญญาวิศวกรรมศาสตร์จาก สจล. อีกทั้งยังสามารถเลือกศึกษาต่อหลักสูตรปริญญาตรีอีก 2 ปี ได้ทั้งในและต่างประเทศ หลังจากนั้นในปีการศึกษาต่อไปจะเปิดหลักสูตรเพิ่มเติมตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
“ขอขอบคุณกระทรวงศึกษาธิการ สพฐ. และ สสวท. ที่ช่วยผลักดันและดำเนินการให้เกิดพิธีลงนามความร่วมมือครั้งนี้ขึ้น นอกจากนี้ สจล. และ มจธ. จะช่วยกันดำเนินการให้สถาบันไทยโคเซ็นเกิดผลสำเร็จยิ่งขึ้นไป”

รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดี มจธ. กล่าวว่า การร่วมจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น ทำให้ มจธ. ได้เรียนรู้และพัฒนาต่อยอดสิ่งที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง นั่นคือการสร้างวิศวกรนักปฏิบัติที่มีพื้นฐานความรู้ที่เข้มแข็งและมีทักษะการปฏิบัติที่ดี ตามหลักสูตรห้องเรียนวิศวกรรม-วิทยาศาสตร์ (Engineering – Science Classroom) ซึ่งเป็นห้องเรียนที่พัฒนาเด็กที่มีความรู้ความสามารถพิเศษทางวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์
“การที่ มจธ. ได้ร่วมทำงานกับโคเซ็นประเทศญี่ปุ่น ยังเป็นการต่อยอดทักษะด้านวิศวกรรมให้กับ มจธ. ในการพัฒนาวิศวกรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมของโลก ผลิตบุคลากรที่สร้างนวัตรรมได้ ซึ่ง มจธ. จะพัฒนาโคเซ็น วิทยาเขต มจธ. ให้เหมาะสมกับบริบทของไทยมากที่สุด เพื่อผลิตบัณฑิตให้ออกไปสร้างและช่วยให้สังคมดีขึ้น ลดช่องว่างของสังคม และแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานของโคเซ็น ขอขอบคุณทุกท่านที่ทำให้เกิดโครงการที่มีคุณค่าและมีความหมายกับประเทศไทยอย่างมาก”















Written by อรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Credit ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร