เด็กไทย ไม่แพ้ใครในโลก ด้วย Digital Content
ความร่วมมือของ โครงการ “เด็กไทย ไม่แพ้ใครในโลก ด้วย Digital Content“
ที่เป็นการรวมพลังจากทุกภาคส่วน
คณะผู้จัดทำโครงการดังกล่าว ซึ่งมาจากทุกภาคส่วนของสังคม จึงได้ร่วมกันจัดทำโครงการและออกแบบกิจกรรมต่างๆ ในครั้งนี้ขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการรวมพลังภาคประชาชนให้มีการสนับสนุนการสร้างสื่อการสอน และการเรียนรู้แห่งชาติ (Thailand Digital Education Content Kick Off Campaign) เพื่อให้เด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ รวมทั้งกระบวนการศึกษา สอดคล้องกับยุคสมัยของโลกที่ไร้พรมแดน โดยมีเครือข่ายร่วมสนับสนุนโครงการ
ความจำเป็นจะต้องมีการลงทุนทางด้านการศึกษา
ประการสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการศึกษา คือ จำเป็นจะต้องมีการลงทุนทางด้านการศึกษา ซึ่งหลายประเทศชั้นนำของโลกที่ลงทุนในเรื่องการศึกษามาก ก็จะได้รับผลตอบแทนสูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้ลงทุนทางด้านการศึกษา เช่น ทำให้ส่งออกเทคโนโลยีที่มีคุณภาพราคาต่ำ หรือสูญเสียความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยก็ถือว่ามีจุดอ่อนมากทางด้านการลงทุนเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ซึ่งส่งผลถึงผู้ที่อยู่ในวัยแรงงานที่มีคุณภาพต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศชั้นนำของโลก เพราะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ไม่ทัน (catch up) ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่เคยเกาะกลุ่มเศรษฐกิจใกล้ๆ กัน ตอนนี้เปลี่ยนไป ในขณะที่บางประเทศซึ่งต่ำกว่าไทยมากๆ ก็ไล่มาในระดับที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น ดังนั้นการลงทุนทางด้านการศึกษาจึงมีผลสำคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของคนในประเทศด้วย
โลกปัจจุบันมีข้อมูลใหม่เกิดขึ้นทุก 60 วินาที
นอกจากนี้ โลกปัจจุบันมีข้อมูลที่เกิดขึ้นใหม่ในทุกๆ 60 วินาที เพราะมีการใช้ Twitter Facebook หรือการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารกันอย่างรวดเร็ว มีแอพพลิเคชั่นที่ใช้ในการเรียนรู้ในอาชีพต่างๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากมายเช่นกัน บางบริษัทมี
ตัวอย่างของ
Digital Content ที่นำมาใช้เพื่อการศึกษา
รมว.ศธ.ได้ยกตัวอย่างถึงการนำเสนอเนื้อหาว่า Digital Content ในปัจจุบัน อาจเรียนรู้ได้จากของจริง เช่น การเรียนวิชาเคมี ไม่จำเป็นต้องให้เด็กท่องจำสูตรหรือสมการเหมือนสมัยก่อน แต่สามารถให้เด็กเห็นสาร 2 ชนิดทำปฏิกิริยากัน เห็นว่าการปรับเปลี่ยนโมเลกุลเป็นอย่างไร น้ำและคาร์บอนไดออกไซด์เป็นอย่างไร เด็กสามารถเอากล้องมาส่องดูได้ และสรุปเป็นสมการได้จากของจริง โดยไม่จำเป็นต้องให้เด็กท่องจำสมการเหล่านั้น
นอกจากนี้ อาจเรียนรู้ได้จากชีวิตจริง ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากข่าวสาร
ควรมี
แผนแม่บท ICT เพื่อการศึกษา
เน้น 4 ด้าน คือ Connectivity – Content – Teacher – Hardware
รมว.ศธ.ได้กล่าวถึงวิธีการ (Action) ในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มาใช้เพื่อการศึกษาว่า อาจมีการจัดตั้งองค์กรอิสระ เพื่อกำหนดแผนแม่บท ICT เพื่อการศึกษา (Masterplan for Education) ซึ่งประกอบด้วย 4 ด้านที่สำคัญ คือ Connectivity – Content – Teacher – Hardware
ในเรื่องนี้ รมว.ศธ.อธิบายว่า บางประเทศได้มีการวางเป้าหมายให้ปี 2020 เป็นปีแห่ง PC Infrastructure Complete คือ มีการวางโครงสร้างพื้นฐานทาง ICT เพื่อการศึกษาที่สมบูรณ์ แต่ของไทยที่ผ่านมามีเฉพาะการวางแผนการวางระบบ Wi-fi และเครือข่ายความเร็วสูงไปถึงโรงเรียนและทุกบ้านกันเท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนของฮาร์ดแวร์ (Hardware) และการเชื่อมโยงเข้าสู่อินเทอร์เน็ต (
ในส่วนของความพร้อมของครู (Teacher) ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนบทบาทและวิธีการสอน เพราะหากครูสอนโดยตั้งคำถามไม่ถูก ก็เหมือนจะเป็นการวัดความสามารถของเด็กในการค้นหา (search) จากอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แต่เด็กก็ยังขาดการเรียนรู้ด้วยการคิดวิเคราะห์ ดังนั้นครูจะต้องเปลี่ยนบทบาทการสอน จากการบรรยาย มาเป็นผู้ตั้งคำถามที่กระตุ้นให้เด็กได้คิดวิเคราะห์ ใช้วิธีสอนแบบใหม่ ซึ่งขณะนี้ ศธ. กำลังรวบรวมวิธีการสอนที่ประสบผลสำเร็จมาให้ครูด้วย เพราะบทบาทการสอนของครูเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่ไม่ใช่เพียงให้ครูใช้เทคโนโลยีเป็น แต่ครูจะต้องเป็นผู้นำที่ฝึกให้เด็กคิดวิเคราะห์ได้ ซึ่งในแผนแม่บท ICT เพื่อการศึกษาของแต่ละประเทศก็ต้องครอบคลุมเรื่องเหล่านี้ไว้ด้วย
ในส่วนของไทย ก็ได้มีการจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และการจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อส่งเสริมการผลิต วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งเพื่อสามารถใช้และรับเงินสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มากขึ้น และช่วยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ให้สอดคล้องกับความต้องการของการศึกษาชาติ มีการกำหนดมาตรฐานต่างๆ ในการใช้ ICT เพื่อการศึกษา โดยเฉพาะ Content ที่ต้องร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาสื่อการเรียนการสอนแบบ Digital ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
ต้องตั้งเป้าหมายดำเนินการตามแผนแม่บท ICT ให้ชัดเจน
ดังนั้น การจัดทำแผนแม่บท ICT เพื่อการศึกษา นอกจากจะต้องนำ 4 ด้านที่สำคัญ คือ
MOU เพื่อรวมพลังภาคประชาชน
ในการสร้างสื่อการสอนและการเรียนรู้แห่งชาติ
จากนั้น รมว.ศธ. ได้เป็นสักขีพยานการลงนาม
รมว.ศธ.กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้
สรุป/รายงาน
7/12/2556