|
 |
รูปแบบของโปรแกรมดังกล่าวถูกออกแบบให้คล้ายคลึงกับหลักสูตรพัฒนาผู้บริหารระดับแนวหน้าที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในเมืองจีน แต่…สิ่งที่แตกต่าง ก็คือ ผู้เรียนที่เป็นหนูน้อยเท่านั้น กิจกรรมในแต่ละวันจะแน่นเอี๊ยด เพื่อให้เด็กๆ เตรียมความพร้อมสำหรับเป็นผู้บริหารตัวน้อยตั้งแต่เล็ก เด็กเหล่านี้ไม่มีเวลาไปวิ่งเล่นซนอย่างเด็กทั่วไป เพราะต้องทำตามตารางเวลาที่โปรแกรมกำหนดอย่างเคร่งครัด โปรแกรมยอดฮิตนี้มีหลักสูตร 2 ปี เริ่มเปิดตั้งแต่ปี 2549 มีจำนวนนักเรียน 1,500 คน และมีแนวโน้มจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เหตุที่เด็กๆ ต้องหน้าดำคร่ำเครียดเรียนทั้งวัน ก็เพราะพ่อแม่ชาวจีนมีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า หากอยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้นต้องเตรียมความพร้อมให้ลูกตั้งแต่วัยนี้ อีกทั้งพ่อแม่ชาวจีนในปัจจุบันมีความคาดหวังในตัวลูกสูงมาก ไม่น่าเชื่อว่าครอบครัวชาวจีน 60% ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ยอมทุ่มเงินไปกับการศึกษาของลูก เป็นจำนวน 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด ค่านิยมของพ่อแม่ไม่ได้คาดหวังว่าลูกจะต้องได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี หรือมีบ้านหลังใหญ่โตเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่ต้องการให้ลูกสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่มีชื่อเสียงที่ดีที่สุดให้ได้ ปัจจุบันเด็กนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาของจีนจะต้องรู้จักตัวอักษรจีนอย่างน้อย 1,000 ตัว และต้องท่องสูตรคูณได้คล่อง พร้อมกับต้องแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์สัปดาห์ละ 100 ข้อ ด้วยการคำนวณเลขอย่างรวดเร็วให้ได้ด้วย จริงอยู่ว่าแม้พ่อแม่จะพยายามเร่งลูกอย่างไร แต่ก็มีความกดดันอย่างหนัก เพราะกลัวลูกจะเครียดเกินไปเหมือนกัน กังวลว่าลูกจะมีปัญหาทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม เนื่องเพราะข่าวคราวเรื่องเด็กเครียดและจบปัญหาชีวิตเรื่องการฆ่าตัวตายจากทั่วโลก ก็มีให้ชาวจีนเห็นจำนวนไม่น้อย แต่…เมื่อนำมาชั่งน้ำหนักดูแล้ว พ่อแม่ชาวจีนต้องก้มหน้ายอมจำนนให้กับเป้าหมายความคาดหวังในตัวลูกและพร้อมที่จะเสี่ยง…!! ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนโยบายลูกคนเดียวของประเทศจีน ทำให้คนเป็นพ่อแม่ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกก้าวสู่เป้าหมายในชีวิตในรูปแบบนี้ และกลายเป็นค่านิยมพ่อแม่รุ่นใหม่ที่พอมีอันจะกินไปซะแล้ว ล่าสุด รัฐบาลจีนยอมผ่อนปรนนโยบายมีลูกคนเดียว โดยให้ชาวจีนซึ่งเริ่มจากเมืองเซี่ยงไฮ้ สามารถมีลูกเพิ่มได้อีกหนึ่งคน ในกรณีที่ลูกคนแรกเป็นผู้หญิง และมีฐานะดีพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้ ซึ่งต้องได้รับการประเมินรายได้ก่อน แต่ดูเหมือนจะช้าไป เพราะปัญหาเรื่องอยากให้ลูกเป็นคนเก่งได้ลงรากลึกพอสมควร ปัญหาที่น่าเป็นห่วงอีกประเด็น ก็คือ พ่อแม่ชอบที่จะอวดความสามารถของลูก ถ้าลูกเก่งก็ช่วยให้พ่อแม่มีหน้ามีตาขึ้น จนถึงกระทั่งเคยเกิดเหตุการณ์ความไม่พอใจของลูกที่เข้าใจว่าที่พ่อแม่ทั้งผลักทั้งดันให้ลูกเก่ง ไม่รู้เป็นเพราะพ่อแม่อยากให้คนอื่นชื่นชม หรือเพราะอยากให้ลูกเก่งเป็นเลิศจริงๆ แนวโน้มนี้ก็เกิดขึ้นในประเทศเกาหลีใต้เช่นกัน จะว่าไปแล้วที่เกาหลีใต้ระห่ำเรื่องวิชาการหนักกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียก็ได้ เด็กเล็กเรียนหนังสือตั้งแต่เช้า และไปเรียนกวดวิชากันถึงสองทุ่มในแต่ละวัน ส่วนเด็กที่เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องเตรียมตัวหนักขึ้นไปอีก เรียนกันถึงสี่ห้าทุ่มทุกวัน ที่สำคัญ วิถีชีวิตที่ว่านี้ได้กลายเป็นชีวิตปกติของเด็กๆ ชาวเกาหลีใต้ไปซะแล้ว ใครที่ไม่ได้เรียนกวดวิชาต่างหากที่กลายเป็นว่าผิดปกติ เหลียวมามองปัญหาในบ้านเรา ความจริงก็ไม่แตกต่างกันสักเท่าไร อาจจะเริ่มมาก่อนและมากกว่าประเทศจีนด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่ได้เรียกชื่อเป็นเรื่องเป็นราวว่า EMBA แต่รูปแบบวิถีชีวิตของพ่อแม่ชาวไทยก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าของเขา บ้านเราไม่มีนโยบายลูกคนเดียว เรียกว่า มีลูกกี่คน พ่อแม่ก็ปรารถนาอยากให้ลูกเก่งทุกคน ปัญหาเรื่องการเร่งรัดเรียนวิชาการเกิดขึ้นมานานแล้ว เรื่องส่งลูกไปเรียนกวดวิชาทั้งหลังเลิกเรียน ทั้งวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งปิดเทอมก็มีให้เห็นมายาวนาน เด็กบางคนก็มีโปรแกรมการเรียนไม่ต่างจากเด็กชาวเกาหลีใต้ที่เรียนตั้งแต่เช้ายันค่ำ เด็กเล็กๆ ต้องเรียนหนังสืออย่างหนัก เพราะค่านิยมต้องการให้ลูกได้เข้าเรียนโรงเรียนชื่อดัง ก็ยังคงอยู่มาทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่รูปแบบการพยายามทุกวิถีทางที่เปลี่ยนแปลงไป ทัศนคติที่ว่าโรงเรียนมีชื่อเสียงเท่านั้น คือเป้าหมายสูงสุดของคนเป็นพ่อแม่ยุคนี้ เพราะค่านิยมเรื่องความเก่งของลูกคือเป้าหมายวัดความสำเร็จของคนเป็นพ่อแม่ จะว่าไปแล้วคนเป็นพ่อแม่ต่างก็ปรารถนาอยากให้ลูกของตนเก่งด้วยกันทุกคน เพียงแต่ความหมายของความเก่งนั่นแหละที่เป็นปัญหา เพราะความเก่งที่ถูกให้ค่าและความสำคัญมักจะไปสิ้นสุดที่เรื่องวิชาการ ทั้งที่เรื่องความเก่งมีมากมายหลายแขนง ความเก่งในการใช้ชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุข ความเก่งในเรื่องทักษะการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ ก็มีความจำเป็นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการได้เรียนในโรงเรียนชื่อดัง หรือเรียนเก่งเท่านั้น บอกตามตรงอ่านข่าวเรื่องโปรแกรม EMBA ในเด็กเล็กแล้วหงุดหงิดใจไม่น้อย เพราะผู้ใหญ่ในวันนี้กำลังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่เน้นเรื่องชีวิตด้านนอกมากกว่าชีวิตด้านใน และมันกำลังระบาดไปสู่เด็กเล็กลงเรื่อยๆ
โดย สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน ผู้จัดการออนไลน์ |