ถ้าบอกว่าตอนนี้กำลังเรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงภาพนักเรียนใส่ชุดกาวน์ขาวคอห้อย Stethoscope ทำงานตรวจคนไข้ ดูคนไข้อยู่ในโรงพยาบาลเป็นแน่ แต่จริงๆ แล้วสาขานี้มีอะไรให้เรียนให้ทำมากกว่าที่คุณคิดค่ะ
วิทยาศาสตร์การแพทย์ มีความหมายกว้างมาก มันครอบคลุมศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องการการทำงานของร่างกายมนุษย์ ตั้งแต่สารเคมีต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกาย โครงสร้างพันธุกรรมหรือที่เรารู้จักกันว่าดีเอ็นเอ เซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย จนไปถึงการทำงานเชื่อมโยงของร่างกายมนุษย์ นี่ยังไม่รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งที่ช่วยให้ร่างกายเราดำเนินไปได้อย่างเป็นปกติ และที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เมื่อไม่สบายแล้วก็ต้องมีการนำยาหรือสารเคมี เข้ามาช่วยให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาวะปกติ รวมไปถึงการป้องกันไม่ให้เกิดโรคต่างๆ อีกด้วย ทีนี้ พอจะนึกกันออกแล้วใช่ไหมค่ะว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์นั้นมีเนื้อหากว้างมากเพียงใด
ทำไมถึงเลือกมาเรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ประเทศญี่ปุ่น
หลายๆคนคงอยากรู้ว่า ทำไมถึงเลือกมาเรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ประเทศญี่ปุ่น มันมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง
ข้อดี
1. ประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจในการศึกษาและวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ค่อนข้างมาก จึงมีสาขาให้เลือกเรียนหลากหลาย และมีหลายสาขาที่ดังติดอันดับโลก
2. เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการวิจัยค่อนข้างทันสมัย ในบางสาขาประเทศญี่ปุ่นถือเป็นผู้ผลิต และคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ อีกด้วย
3. รัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายเปิดกว้างวิทยาศาสตร์สู่ระดับนานาชาติ จึงมีเงินทุนสนับสนุนให้นักเรียนต่างชาติแบบให้เปล่าค่อนข้างมาก เช่น ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ทุนจากสถาบันวิจัยต่างๆ ทุนจากมหาวิทยาลัย และทุนจากภาคเอกชน รวมไปถึงมีเงินทุนสนับสนุนนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยต่างชาติด้วย
4. ระยะเวลาในการเรียนค่อนข้างสั้น โดยประมาณ 2 ปี สำหรับปริญญาโท และ 3-4 ปี สำหรับปริญญาเอก
5. เมื่อเรียนจบแล้ว มีโอกาสในหางานในประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทย หรือต่างประเทศได้สูง เนื่องจากสถาบันในประเทศญี่ปุ่นเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
ข้อเสีย
1. เนื่องจากระบบการเรียนการสอนของประเทศญี่ปุ่นจะใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก และศัพท์ทางวิทยาศาสตร์จะใช้เป็นภาษาญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด ซึ่งอาจจะทำให้ลำบากและเสียเวลาบ้างในช่วงต้น
2. เนื่องจากระยะเวลาในการเรียนค่อนข้างสั้น จึงต้องเรียนหนักพอสมควร รวมถึงวันหยุดค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับระบบการเรียนในประเทศอื่น
ที่ญี่ปุ่นเค้าเรียนกันอย่างไร
ที่ญี่ปุ่นเรียนกันอย่างไรบ้าง เรียนยากหรือไม่ คงเป็นคำถามที่หลายๆคนคงมีอยู่ในใจ และไม่รู้ว่าจะหาคำตอบได้จากที่ไหน
อย่างไร ขอเน้นที่การเรียนในระดับปริญญาโทและเอกเป็นหลักนะค่ะ
การเรียนโดยทั่วไปจะไม่แตกต่างไปจากการเรียนที่ประเทศไทยมาก คือหลักๆก็จะมี
การทำงานวิจัย
ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหลักในการเรียนระดับปริญญาโทและเอก โดยจะต้องมีงานวิจัยเป็นของตัวเอง เพื่อใช้ในการนำเสนอตอนจบ ทั้งนี้ความยากง่ายของงานวิจัย ก็ขึ้นกับว่าเป็นระดับปริญญาโท หรือปริญญาเอกด้วย
การเรียนในห้องเรียน
การเรียนในห้องเรียนจะเป็นวิชาบังคับที่ต้องลงสำหรับนักเรียนระดับปริญญาโท สำหรับปริญญาเอกจะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้ ขึ้นกับความสมัครใจ การเรียนในห้องเรียนต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า การเรียนการสอนส่วนใหญ่จะเป็นภาษาญี่ปุ่น มีบ้างที่จะมีการเรียนการสอนด้วยภาษาอังกฤษ ดังนั้นใครจะมาเรียนระดับปริญญาโท ควรจะมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นบ้างพอสมควร แต่บางทีก็ไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นตลอด บางสถาบันจะผ่อนผันให้ว่าสามารถส่งรายงาน หรือสอบเป็นภาษาอังกฤษได้
การสัมมนา
หรือในภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่าการเข้าเซมิ เป็นกิจกรรมที่ห้ามขาด ซึ่งแต่ละที่จะแตกต่างกันไป บางที่เป็นสัมมนาในภาควิชาบางที่เป็น สัมมนาในห้องวิจัย ส่วนจะสัมมนาบ่อยแค่ไหน สัมมนาด้วยภาษาอะไร ก็ขึ้นกับภาควิชาและห้องวิจัยนั้นๆ ซึ่งการเข้าสัมมนานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะอาจารย์จะประเมินว่าจะจบได้หรือไม่ได้จากการเข้าสัมมนานี่แหล่ะค่ะ
ส่วนเงื่อนไขในการจบรวมถึงวิธีการสอบก็จะแตกต่างกันระหว่างของปริญญาโทและเอก รวมถึงจะแตกต่างกันไปในแต่ละคณะ แต่ละสถาบันด้วย ซึ่งโดยรวมแล้ว การจะจบหรือไม่จบสำหรับญี่ปุ่นนั้น ขึ้นกับความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนต่างๆที่กล่าวไปแล้วเป็นหลักค่ะ
ข้อแนะนำก่อนตัดสินใจมาเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น
เนื่องจากวิทยาศาสตร์การแพทย์มีความหลากหลายในสาขาเรียน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทราบก่อนว่าอยากจะเรียนทางด้านไหน และทำเรื่องอะไรอย่างเฉพาะเจาะจงเสียก่อน โดยเฉพาะคนที่สนใจจะมาเรียนต่อในระดับปริญญาโท และเอก รวมถึงควรจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสถาบัน หรือห้องวิจัยที่เราสนใจที่จะไปเรียนด้วย เพราะการสอบเข้าในแต่ละที่ ต้องการคุณสมบัติ และมีวิธีการสอบที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงการสมัครทุน ที่บางทุนจะต้องระบุสถาบันที่ต้องการไปเรียนตั้งแต่แรก จึงอยากจะแนะนำให้หาข้อมูลเหล่านี้ไว้ก่อนล่วงหน้าค่ะ
ผู้เขียน
พญ.นวลกันยา สถิรพงษะสุทธิ (ส้ม)
นักศึกษาปริญญาเอก ปีที่ 3
Laboratory of Functional Genomics
Department of Medical Genome Sciences
Graduate School of Frontier Sciences
The University of Tokyo
ที่มา : วิชาการ.คอม