รายงานผลการศึกษาวิจัยการติดตามประเมินผลเพื่อตรวจสอบการยกระดับคุณภาพการศึกษาที่มีผลมาจากการเพิ่มงบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

รายงานผลการศึกษาวิจัยการติดตามประเมินผลเพื่อตรวจสอบการยกระดับคุณภาพการศึกษาที่มีผลมาจากการเพิ่มงบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน



การศึกษาวิจัยการติดตามประเมินผลเพื่อตรวจสอบการยกระดับคุณภาพการศึกษาที่มีผลมาจากการเพิ่มงบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัว สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา คือ
      1) เพื่อศึกษาการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ได้รับจากการปรับอัตราค่าเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้น จากส่วนกลางลงไปที่เขตพื้นที่การศึกษา เพื่อจัดสรรให้สถานศึกษา
      2) เพื่อศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ได้รับจากการปรับอัตราค่าเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้นของสถานศึกษา
      3) เพื่อศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับอัตราค่าเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้น ปัญหาอุปสรรค  และข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับงบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
      ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ สถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้รับการประเมินสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาปีการศึกษา 2550 จำนวน 33,188 โรง  กลุ่มตัวอย่างได้แก่สถานศึกษา จำนวน 539 โรง ที่ผ่านการประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา คำนวณหากลุ่มตัวอย่างประชากร โดยใช้วิธี Stratification สุ่มตามภาคภูมิศาสตร์ 4 ภาคภูมิศาสตร์ ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ และกรุงเทพมหานครตามมติที่ประชุมคณะกรรมการวิจัย หาสัดส่วนของเขตพื้นที่การศึกษาได้รวม 16 เขตพื้นที่การศึกษา และกลุ่มตัวอย่างจากการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสัมภาษณ์ลงไปทำการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกในรายละเอียด เลือกสถานศึกษาจากทุกภาคภูมิศาสตร์รวมกรุงเทพมหานคร ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างใน 539 โรง ได้สถานศึกษาจำนวน 18 โรง
      เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ  แบบสอบถาม แบบกำหนดคำตอบ (Check List) และแบบปลายเปิด(Open – Ended) ประกอบด้วย 3 ตอน
      ตอนที่ 1  ข้อมูลทั่วไปของสถานศึกษา
      ตอนที่ 2  ข้อมูลการใช้จ่ายของสถานศึกษา
      ตอนที่ 3  ข้อมูลความคิดเห็นต่อการได้รับงบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้น  และแบบสัมภาษณ์ ซึ่งประกอบด้วยประเด็นการสัมภาษณ์ 10 ประเด็น 
      จากผลการศึกษาวิจัยเชิงสำรวจและสัมภาษณ์  พบว่า
      1) การจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัว สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้รับจากการปรับอัตราค่าเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้น พบว่า สถานศึกษาได้รับทราบการแจ้งการจัดสรรงบประมาณฯ จากส่วนกลางต้นสังกัดภาคเรียนที่ 1/2550 เดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน 2550  และภาคเรียนที่ 2/2550 เดือนธันวาคม 2550 ถึงเดือนมกราคม 2551 ได้รับจัดสรรงบประมาณฯ ภาคเรียนที่ 1/2550  เดือนพฤษภาคม 2550  และภาคเรียนที่ 2/2550 ได้รับเงิน เดือนธันวาคม 2550  ได้รับการโอนเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวฯ เป็นงวดๆ จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยตรง 
      สถานศึกษาของเอกชนได้รับการโอนเงินเป็นรายเดือน  ส่วนภูมิภาคสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนโอนเงินให้สถานศึกษาผ่านทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา  งบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวฯ ที่สถานศึกษาได้รับจัดสรร เท่ากับอัตราค่าใช้จ่ายต่อหัวตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ มีสถานศึกษาบางแห่งได้รับจัดสรรไม่ครบตามจำนวนนักเรียนที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน เนื่องจากนักเรียนมีการย้ายเข้าและย้ายออกระหว่างปี โดยกระบวนการจัดสรรงบประมาณ มีกระบวนการจัดสรรจากส่วนกลางลงไปที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและลงไปสู่สถานศึกษา รวมทั้งสถานศึกษาได้รับคู่มือหรือแนวปฏิบัติการจากหน่วยงานต้นสังกัดและจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา  เอกสารคู่มือแนวปฏิบัติการมีความชัดเจนในการนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง แต่ยังมีสถานศึกษาบางแห่งเห็นว่าคู่มือหรือแนวปฏิบัติการใช้จ่ายเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวมีความชัดเจนในระดับหนึ่งเท่านั้น สถานศึกษาส่วนใหญ่ได้ปฏิบัติตามคู่มือหรือแนวปฏิบัติ ตามหนังสือสั่งการที่กำหนด และตามระเบียบของทางราชการ  ส่วนกลางได้จัดทำหลักเกณฑ์เป็นแนวปฏิบัติในการใช้จ่ายเงินอุดหนุน  ซึ่งมีการตกลงกับกรมบัญชีกลาง 
      2) การใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ได้รับจากการปรับอัตราค่าเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้นของสถานศึกษา พบว่า สถานศึกษานำเงินไปใช้จ่ายในรายการจัดการเรียนการสอนเป็นส่วนใหญ่  รองลงไปคือ การบริหารสถานศึกษาทั่วไป โดยได้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวตามแนวปฏิบัติ และระเบียบของทางราชการทันตามกำหนดเวลาเป็นส่วนใหญ่  มีสถานศึกษาบางแห่งไม่สามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนได้ทันตามกำหนดเวลา เนื่องจากโอนเงินมาล่าช้า และสามารถใช้จ่ายเงินอุดหนุนได้ตามวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินอุดหนุนและตามความจำเป็นพื้นฐานของโครงการสถานศึกษา แต่ไม่ได้ตามความต้องการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา  เพราะสถานศึกษามีงบบริหารทั่วไปและรายจ่ายอื่นที่ต้องจ่ายอีกร้อยละ 20-30  ส่วนสถานศึกษาเอกชนจะต้องใช้เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องเงินเดือนของครูเป็นลำดับแรก 
      3) ผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการปรับอัตราค่าเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการศึกษา ขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้น พบว่า  สถานศึกษาส่วนใหญ่มีการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนมากกว่าเดิม และสถานศึกษาส่วนใหญ่มีการบริหารที่เอื้อต่อการเรียนรู้มากกว่าเดิม
      4) ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับงบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พบว่า  ปัญหาอุปสรรคของสถานศึกษาบางแห่งสรุปได้ ดังนี้
            4.1 สถานศึกษาได้รับเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวล่าช้า ไม่ตรงเวลา 
            4.2 เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวที่สถานศึกษาได้รับไม่เท่ากับที่กระทรวงศึกษาธิการแจ้ง
            4.3 สถานศึกษาได้รับแจ้งการจัดสรรเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวหลังจากที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีแล้ว  ทำให้ไม่ทราบว่าเป็นเงินอะไร  ไม่สามารถจำแนกเงินได้
            4.4 เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวที่สถานศึกษาได้รับเพิ่ม 1 ใน 3 น้อยมาก ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการที่นำไปจัดการเรียนการสอน และการจัดกิจกรรมให้กับนักเรียน รวมทั้งไม่สอดคล้องกับสภาพการดำเนินงานและแผนปฏิบัติการของสถานศึกษา  โดยเฉพาะสถานศึกษาขนาดเล็ก / สถานศึกษาขนาดกลาง
            4.5 สถานศึกษาไม่มีเจ้าหน้าที่การเงินโดยตรง  มีขั้นตอนระเบียบมาก  ทำให้ไม่ชัดเจนในการปฏิบัติบางเรื่องบางรายการ  และเจ้าหน้าที่การเงินระดับสถานศึกษามีการโยกย้าย
            4.6 เงินอุดหนุนต่อหัวส่วนใหญ่ นำมาใช้จ่ายเป็นค่าสาธารณูปโภคเกือบร้อยละ 80 และค่าจ้างบุคลากรชั่วคราว  การที่ต้องนำเงินต่อหัวไปจ่ายค่าสาธารณูปโภคทำให้ไม่เพียงพอที่จะนำไปพัฒนาการเรียนการสอน
            4.7 การจัดทำเอกสารเบิกจ่ายงบประมาณต้องใช้ใบเสร็จห้างร้านซื้อสินค้าทำให้ของที่ชื้อมีราคาแพงกว่าที่ไม่มีใบเสร็จ  เพราะหากซื้อของที่ไม่มีใบเสร็จจะเบิกไม่ได้  การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าไม่เป็นไปตามความต้องการของสถานศึกษา  การจัดซื้อจัดจ้างไม่มีความคล่องตัว
ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข สรุปได้ ดังนี้
            (1) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา  ควรแจ้งจัดสรรทั้งจำนวนให้ครบร้อยละ 100 ในครั้งเดียว  และควรจัดสรรให้สถานศึกษาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม  เพื่อให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการของสถานศึกษา
            (2) ควรโอนเงินให้สถานศึกษาเป็นวงเงินรวมเป็นรายปีการศึกษาหรือรายภาคเรียน  เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการและการวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา
            (3) ควรใช้ข้อมูลจำนวนนักเรียนที่เป็นปัจจุบันในการจัดสรรงบประมาณแต่ละภาคเรียน  และการจัดสรรเงินอุดหนุนต่อหัว ควรคิดค่าใช้จ่ายภายในห้องเรียน จัดสรรจากขนาดของสถานศึกษา  นอกเหนือจากจำนวนนักเรียน
            (4) ควรจัดสรรงบประมาณค่าสาธารณูปโภคให้เพียงพอและทั่วถึง และควรหักค่าสาธารณูปโภคโดยเบิกจ่ายจากรัฐบาลโดยตรง เพื่อจะได้นำเงินอุดหนุนต่อหัวมาใช้เกี่ยวกับการเรียนการสอนของนักเรียน  ซึ่งเป็นการนำมาพัฒนาให้ลงที่ตัวเด็กเต็มจำนวน
            (5)  อัตราค่าใช้จ่ายต่อหัวควรเพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
            (6) ควรจัดสรรตามสภาพพื้นที่ห่างไกลความเจริญยากจนให้เป็นพิเศษ และควรเพิ่มเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวให้โรงเรียนในชนบทมากขึ้น
            (7) ควรกระจายอำนาจให้สถานศึกษาเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณให้มากขึ้น และควรให้เปิดกว้างในการใช้จ่ายเงิน
            (8)  ควรให้อิสระแก่สถานศึกษาในการระดมทรัพยากรจากภายนอก  โดยสถานศึกษาสามารถบริหารจัดการได้ภายใต้กฎระเบียบ
            (9) ควรจัดหาเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาโดยตรง ควรมีบุคลากรเฉพาะด้านการเงินและพัสดุ  และควรจัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้รับผิดชอบงานการเงินระดับสถานศึกษาอย่างสม่ำเสมอ   รวมทั้งอบรมเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ควรจัดอบรมพัฒนาบุคลากรด้านการใช้จ่ายเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวอย่างต่อเนื่อง  และดำเนินการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในแต่ละโรงเรียนอย่างเคร่งครัด
            (10) ควรกำหนดระเบียบปฏิบัติในการจัดซื้อจัดจ้าง ควรเทียบเคียงกับระเบียบการจัดซื้อ จัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  จะทำให้การทำงานมีความคล่องตัวมากขึ้น



   : DOWNLOAD รายงานการวิจัยฯฉบับสมบูรณ์
________________________________________________________________
นายสกนธ์  ชุมทัพ
ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์  สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและยุทธศาสตร์
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
มกราคม 2554


 


แหล่งที่มา : สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์  สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ