โรงแรมแอมบาสเดอร์ กรุงเทพฯ – นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมเสวนาเพื่อประกาศและขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษสู่การปฏิบัติ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยมี ดร.อ่องจิต เมธยะประภาส รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.เบญจลักษณ์ น้ำฟ้า พร้อมด้วยผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ ผู้ทรงคุณวุฒิ และครูสอนภาษาอังกฤษ เข้าร่วมการเสวนากว่า 120 คน เมื่อวันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม 2556 ณ ห้องศาลาไทย ชั้น 3
ประกาศนโยบายการปฏิรูปการสอนภาษาอังกฤษ เพื่อต้องการเห็นความสามารถการใช้ภาษาในการสื่อสาร และนำไปแสวงหาความรู้ในวิชาต่างๆ ได้ดีขึ้น
รมว.ศธ.กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมการเสวนาที่มาร่วมกันคิด หาวิธีที่จะปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้น จากการที่ได้ประชุมและเสวนาติดต่อกันมาหลายครั้ง ทำให้มีความคืบหน้าไปมาก ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่ได้จากการเสวนาในวันนี้จะนำไปสู่ข้อสรุปที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม และนำไปปฏิบัติได้ หากนโยบายหรือแนวปฏิบัตินี้มีการนำไปใช้อย่างจริงจัง เชื่อว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สามารถผลิตผู้เรียนที่มีความสามารถทั้งการใช้ภาษาในการสื่อสาร และใช้ความรู้ของภาษาอังกฤษในการไปแสวงหาความรู้ในวิชาต่างๆ ได้ดีขึ้น
ควรมีการวางยุทธศาสตร์หรือระบบการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของประเทศ
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษมีความสำคัญ เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีคนใช้มากที่สุด เป็นภาษาที่เราสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการค้นหาและแสวงหาความรู้ได้มากที่สุดด้วย แต่ปัญหาที่ใหญ่มากคือ ผู้เรียนส่วนใหญ่สื่อสารไม่ได้ ผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อหาความรู้ก็มีอยู่พอสมควรแต่ไม่มากนัก เราไม่ค่อยคิดเรื่องการวางยุทธศาสตร์หรือระบบการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เช่น ไม่เคยมีการตั้งประเด็นว่าประเทศไทยต้องการคนที่รู้และใช้ภาษาอังกฤษได้ในลักษณะต่างๆ อย่างไร และจะผลิตคนให้มีคุณลักษณะตรงกับที่สังคมและประเทศต้องการได้อย่างไร
ต้องเปลี่ยนระบบการทดสอบวัดผลภาษาอังกฤษของประเทศ
การปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนเป็นหัวข้อที่มีการหารือกันมาแล้ว เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งคือ เราจะทดสอบวัดผลทั้งระบบอย่างไร ในการทดสอบวัดผลภาษาอังกฤษของโทเฟล (Test Of English as a Foreign Language – TOEFL) ย้อนหลังไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ได้มีการวัดผลแบบหนึ่งที่ทำให้ค้นพบว่าเด็กที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะเด็กเอเชียทำคะแนนได้ดี แต่มีปัญหาอยู่ 2 ข้อ คือ 1) พูดไม่ได้ และ 2) เขียนไม่ได้ จึงได้มีการเปลี่ยนวิธีการทดสอบวัดผล
ดังนั้น หากการทดสอบวัดผลของประเทศไม่เปลี่ยน การเรียนการสอนก็เปลี่ยนไม่ได้ และจะเชื่อมโยงไปถึงการทดสอบวัดผลของ ศธ. การทดสอบวัดผลโอเน็ต (O-NET) ของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติฯ (สทศ.) รวมถึงการทดสอบวัดผลของมหาวิทยาลัยต่างๆ ด้วย
การเปลี่ยนแปลงการทดสอบวัดผลของระบบการศึกษาของประเทศไทย หากจะบอกว่าทำยากก็ยาก แต่สถาบันทดสอบวัดผลแบบโทเฟลก็ทำได้แล้ว เพราะหากไม่ดำเนินการเรื่องการทดสอบวัดผลกันใหม่ ครูและนักเรียนก็จะไม่มีแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอน เพราะคิดว่าการเรียนไวยากรณ์และคำศัพท์มาก ทำให้ได้คะแนนดี เรียนพูดไปก็ไม่ได้เอาไปสอบ หรือเรียนเขียนไปก็ไม่ได้เอาไปเขียน ตรงนี้เป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลา แต่การเปลี่ยนการเรียนการสอนสามารถทำได้เลย และจะมีผลดีแน่นอนสำหรับเด็กไทยในการใช้ภาษาในการสื่อสารและหาความรู้ได้ดีขึ้น และเมื่อไปสอบในการทดสอบวัดผลระดับนานาชาติที่ได้มาตรฐานก็จะได้ผลดีขึ้น
ศธ.พร้อมจะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนเต็มศักยภาพตามความพร้อมของสถานศึกษา
นอกจากนี้ ศธ.จะมีการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนเต็มศักยภาพตามความพร้อมของสถานศึกษา ในส่วนของสถานศึกษาระบบทวิภาษา (Bilingual School) หรือสถานศึกษาที่มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ (English Program) ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก แต่ก็จะส่งเสริมให้มีการดำเนินการให้ได้มาตรฐานมากขึ้น สถานศึกษาที่มีความพร้อมในแง่ของครู อาจารย์ที่เป็นเจ้าของภาษา หรือสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี จะมีการเพิ่มหรือปรับปรุงในเรื่องของการเรียนการสอนแบบเข้มข้น และสามารถจะเรียนเพิ่มเติมในลักษณะที่เป็นวิชาเลือก นอกเหนือจากการที่ต้องเรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ
ควรเน้นให้มีการสนทนาในห้องเรียนมากขึ้น
การที่จะให้มีวิชาสนทนามากขึ้นถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่า ที่ผ่านมาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ หากไม่นับ Bilingual School หรือ English Program แล้ว เราสอนกันมาโดยที่เด็กส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 เรียนภาษาอังกฤษโดยไม่มีวิชาสนทนา หากจะเปลี่ยนให้มีวิชาสนทนาจะทำกันได้มากน้อยเพียงใด และที่นำเสนอมาทั้งหมดก็มีเรื่องที่น่าสนใจ คือ การจะให้มีวิชาสนทนา การเรียนภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น และการเรียนภาษาอังกฤษในลักษณะที่เป็นวิชาเลือก
นโยบายลักษณะนี้เกี่ยวโยงถึงการจัดระบบวิชาเลือก และการจัดห้องเรียน หากจะจัดให้มีการเรียนวิชาสนทนากันอย่างจริงจัง จำนวนนักเรียนในห้องไม่ควรเกิน 20 คน เพราะการจัดห้องเรียนที่มีนักเรียนมากถึง 45-50 คน ถึงแม้ว่าจะเรียกว่ามีวิชาสนทนา แต่ก็นับไม่ได้ว่ามี จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ในการเรียนภาษาต่างประเทศอื่น ก็มีปัญหาเดียวกัน คือความต้องการที่จะให้มีวิชาเลือก และห้องเรียนที่มีขนาดเล็กลงสำหรับการเรียนภาษาต่างประเทศ ที่น่ายินดีคือ มีผู้อำนวยการโรงเรียนบางท่านได้ดำเนินการในเรื่องการกำหนดให้มีชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น และการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในฐานะที่เป็นวิชาเลือกแบบเข้มข้น ซึ่งได้ผลดีโดยผลการสอบโอเน็ตวิชาภาษาอังกฤษของโรงเรียนนี้สูงมาก มีเด็กสอบได้คะแนนเต็มหลายคน เป็นเรื่องที่จะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีกำลังใจ เห็นลู่ทางในการที่จะเปลี่ยนระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศอื่นๆ ด้วย
ย้ำให้มีการเรียนภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น
การเรียนแบบเข้มข้น เช่น การมีค่ายฤดูร้อน หรือค่ายระหว่างปิดเทอมที่ใช้เวลานาน ตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ ไปจนถึง 4-6 สัปดาห์ จะต้องส่งเสริมให้มีมากขึ้น เรื่องของการเพิ่มชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษ ในขั้นต้นอาจจะใช้สำหรับโรงเรียนที่มีความพร้อมพอสมควรจนถึงพร้อมมากเท่านั้น แต่โจทย์ข้อใหญ่คือ โรงเรียนส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อม ก็ต้องไปคิดว่าหากจะเพิ่มชั่วโมงเรียน จะมีครู แบบเรียน และวิธีการสอนที่เหมาะสมที่จะเป็นประโยชน์หรือไม่ การเรียนภาษาต่างประเทศทุกภาษามีปัญหาร่วมกันอย่างหนึ่งคือ เมื่อมีเวลาเรียนน้อยก็จะไม่ได้ผล จึงต้องมาคิด วางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจน
พร้อมวางแผนพัฒนาครู สื่อสมัยใหม่ จัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาให้เหมาะสม เป็นขั้นตอน
อีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องให้ความสนใจก็คือ เด็กส่วนใหญ่ของประเทศที่มีความพร้อมในแง่ครูและสื่อการเรียนการสอนน้อย จะมีการดำเนินการอย่างไร เพื่อไม่ให้เด็กถูกทอดทิ้ง จึงต้องมาคิดเรื่องการพัฒนาครู การใช้สื่อที่ทันสมัยให้เป็นประโยชน์ และหาทางพัฒนาการเรียนการสอนในสถานศึกษาให้เหมาะสมและเป็นขั้นตอน การอบรมพัฒนาครูต้องเกิดขึ้น จะต้องมีการทดสอบและประเมินผลความรู้ภาษาอังกฤษของครูทั่วประเทศ จากนั้นจึงเลือก กำหนด และหาวิธีอบรมพัฒนาครูแบบติวเข้ม ไม่ใช่การอบรม 2-3 วันแล้วกลับบ้าน ซึ่งไม่ได้ประโยชน์ การอบรมพัฒนาครูสอนภาษาต่างประเทศ จะต้องอบรมเป็นเดือน และทำให้ครูรู้จักการสอนโดยใช้สื่อสมัยใหม่ ให้ครูเรียนไปพร้อมกับนักเรียน เช่น เรื่องของการออกเสียง อาจจะต้องให้ครูกับนักเรียนเรียนจากเครื่องมือหรืออุปกรณ์ไปพร้อมๆ กัน
ทั้งนี้ การเรียนการสอนโดยใช้สื่อสมัยใหม่และบทบาทของครู จะมีผลต่อโรงเรียนที่มีครูที่พูดภาษาอังกฤษได้เป็นจำนวนจำกัดหรือไม่มีเลย เรื่องเหล่านี้เป็นประเด็นที่ฝากให้คิดเพิ่มเติม สำหรับสถานศึกษาส่วนใหญ่ที่มีความพร้อมน้อย ได้มีการให้โจทย์ไปว่า จะมีการใช้สื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา แบบเรียน การเรียนทางไกล และการเรียนร่วมกันระหว่างโรงเรียน มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนแก่ผู้เรียนส่วนใหญ่ของประเทศได้อย่างไร ในโครงการดังกล่าวจะต้องมีการอบรมพัฒนาครูแบบเข้มข้น และใช้สื่อการเรียนการสอนสมัยใหม่เข้ามาช่วย
ประเด็นต่างๆ ที่ยกมานี้ หากไม่มีความชัดเจนเพียงพอ เมื่อประกาศให้เป็นนโยบายออกไปก็อาจจะไม่เกิดการปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ได้ จึงต้องการให้ฝ่ายปฏิบัติและฝ่ายที่ดูแลการปฏิบัติ ฝ่ายที่ดูแลเรื่องการเรียนการสอน ช่วยเสนอความเห็น เพื่อที่ฝ่ายวิชาการและฝ่ายที่เข้าใจเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในเชิงวิชาการ หรือศึกษาระบบการจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศในประเทศต่างๆ จะได้ช่วยให้คำตอบ หรือช่วยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้
ยุ ท ธ ศ า ส ต ร์ ก า ร ป ฏิ รู ป ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ 1. ปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอน 2. พัฒนาครู – ฝึกอบรมครู (Teaching Training) ระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา 3. ส่งเสริมการใช้ ICT และพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน – ผลิต/สรรหา e-Content แบบโต้ตอบ (Interactive) ด้วยเนื้อหาแบบ Content-based เพื่อช่วยครูที่ไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษ 4. ขยายโครงการพิเศษ – ขยายโครงการพิเศษต่างๆ ได้แก่ 1) English Program (EP), 2) Mini English Program (MEP), 3) International Program (IP) สำหรับนักเรียนที่มีความสามารถทางวิชาการสูง 4) English Bilingual Education (EBE) ด้วยการสอนภาษาอังกฤษผ่านวิชาวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษาและศิลปศึกษาสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา และ 5) English for Integrated Studies (EIS) ด้วยการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา – เทียบกรอบมาตรฐาน CEFR (Common European Framework of Reference) เพื่อวัดความรู้ความสามารถครูและนักเรียน 6. เพิ่มเวลาเรียน – เพิ่มชั่วโมงเรียนจาก 40 ชม. เป็น 120 ชม.ต่อปี (ป.1-ม.3 และเพิ่มขึ้นในระดับ ม.ปลาย) ตามโครงสร้างเวลาของหลักสูตรที่จะออกใหม่ 7. จัดกลไกขับเคลื่อนที่เข้มงวดและคอยช่วยเหลือสนับสนุน – พัฒนา Teaching Mobile Unit ประจำศูนย์ PEER (Primary English Education Resource)
ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2556-2561)
– ปรับจากการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นไวยากรณ์ เป็นการสอนที่เน้นการสื่อสาร (Communicative Language Approach – CLA)
– เพิ่มกิจกรรมการอ่าน (Extensive Reading)
– จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่กระตุ้นความสนใจให้หลากหลาย
– ออกแบบหลักสูตรที่เหมาะสมกับความพร้อมและความแตกต่างของโรงเรียน
– ฝึกอบรมเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู (Professional Development – PD)
– พัฒนาระบบติดตามช่วยเหลือ แก้ปัญหา และกลไกการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน (Coaching and Mentoring)
– กำหนดมาตรฐานด้านภาษาอังกฤษ สำหรับใช้เป็นเกณฑ์กำหนดคุณสมบัติของครู
– ผลิต/สรรหา Learning App. แบบต่างๆ เช่น ฝึกออกเสียง บทสนทนาเรียนรู้ด้วยตนเอง และบทสนทนาที่เรียนรู้เพื่ออาชีพ
– อบรมและส่งเสริมการใช้ ICT ศึกษาวิธีการสอนและเนื้อหาต่างๆ จากเว็บไซต์
– พัฒนาห้องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ (Enrichment Class)
– พัฒนาห้องเรียนสนทนาภาษาอังกฤษ (Conversation Class)
– พัฒนาหลักสูตรและห้องเรียนภาษาอังกฤษแบบเข้มเพื่ออาชีพ สำหรับนักเรียนที่กำลังจะจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
5. สอบวัดระดับความรู้ความสามารถภาษาอังกฤษตามมาตรฐานสากล
– บริการข้อสอบวัดความรู้รายเดือนสำหรับครูและนักเรียนทางเว็บไซต์
– ออกแบบการบ้านแบบสร้างสรรค์ให้นักเรียนทำนอกเวลา
– จัดค่ายภาษาอังกฤษแบบเข้ม ระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ (84-130 ชม.) ในช่วงปิดภาคเรียน
– พัฒนากลไกการพัฒนาวิชาการด้วยชุมชนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) อย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
– พัฒนาระบบ Coaching ประจำโรงเรียน เพื่อเป็นกลไกคอยช่วยเหลือครู ให้คำแนะนำ ติดตามสอดส่องปัญหา และนำการแก้ไข
กุณฑิกา พัชรชานนท์
บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
8/12/2556