ทุกโรงเรียนจะมีศูนย์ข้อมูล ของตนเองเพื่อรวบรวมข้อมูลหลายอย่าง เช่น ผลการสอบปลายภาค ผลการสอบระหว่างภาค ผลการสอบ O-Net, A-Net หรือ ผลการประเมินของหน่วยงานภายนอกระดับจังหวัดหรือระดับเขต แต่มีการนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ในการบริหารและการเรียนการสอนน้อย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าครูไม่ตระหนักว่า โรงเรียนมีข้อมูล หรือครูขาดทักษะในการแปลความหมายข้อมูล หรือการเก็บข้อมูลบางประการใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ คะแนนจากผลการสอบนักเรียนก็เพื่อเลื่อนชั้น แต่ไม่มีการนำมาวิเคราะห์หาจุดแข็งจุดอ่อนของนักเรียน หรือผลการสอนของครู แล้วเปลี่ยนเป็นวิธีการสอนเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ครูอาจจะขาดทักษะการเก็บรวบรวมข้อมูล หรือไม่มีบุคลากรเพียงพอที่จะเก็บข้อมูลเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม โรงเรียนควรจะมีคลังข้อมูลของตน เขตการศึกษาควรมีศูนย์ข้อมูลของตนรวบรวมข้อมูลทุกโรงเรียนในเขต เพื่อให้โรงเรียนสามารถเข้าถึงปละใช้ประโยชน์ได้ในการเปรียบเทียบและเรียนรู้จากกันและกัน
การเก็บข้อมูลและการนำข้อมูลที่เก็บไว้ไปใช้ควรเริ่มต้นด้วยคำถามที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับการบริหารและสอนในโรงเรียน เช่น
- ผลการสอบของเด็กที่มีสภาพเศรษฐกิจ สังคมและที่อยู่อาศัยแตกต่างกัน มีความแตกต่างกันหรือไม่
- โปรแกรมการเรียนต่างๆ การสอนเสริม กิจกรรมค่ายวิชาการ และอื่นๆ ช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กหรือไม่
- การติดตามผลการเรียนของเด็กกลุ่มหนึ่ง จากโรงเรียนจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีผลต่อการพัฒนาการเรียนการสอนหรือไม่
- เด็กที่สอบได้ค่าเฉลี่ย 2.50 ขึ้นไป มีบุคลิกภาพแตกต่างจากเด็กที่สอบได้ค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 2.50 หรือไม่ พวกเขามีอะไรเหมือนกันบ้าง
- งานบริหารด้านไหนที่โรงเรียนทำได้ก้าวหน้ามากที่สุด
- การขาดเรียนและการหนีเรียนมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างไร
- ผลการสอบของเด็กที่โรงเรียน มีความสัมพันธ์กับผลการสอบของเด็กในระดับจังหวัดหรือระดับประเทศหรือไม่
คำถามเช่นนี้ช่วยให้ครูและผู้บริหารสนใจในปัญหาสำคัญมองหาข้อมูลมาตอบคำถาม เก็บรวบรวมข้อมูลของตนและค้นหาข้อมูลจากแหล่งอื่น หรือโรงเรียนอื่น การนำข้อมูลไปใช้ ควรระวังในเรื่องต่อไปนี้
- ควรใช้ข้อมูลด้วยความรอบคอบ เช่น ผู้อำนวยการเขตการศึกษาท่านหนึ่งคิดจะย้ายครูจากโรงเรียนที่เด็กสอบได้คะแนนสูงไปสอนในโรงเรียนที่มีคะแนนสอบต่ำ โดยหวังว่าจะทำให้ผลการสอบของโรงเรียนดีขึ้น แต่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ ครูคนนี้สอนได้ดีในห้องเรียนนี้จะสอนได้ดีในห้องเรียนอื่นหรือไม่ ผลการสอบของเด็กเป็นตัวชี้วัดคุณภาพครูได้ดีแค่ไหน ถ้าหากจะย้ายครูจริงๆ ขั้นตอนควรจะเป็นอย่างไร จึงจะเกิดผลดีด้วยกันทุกฝ่าย
- ต้องใช้ผลการวิจัยอย่างรอบคอบ ตัวอย่าง รัฐแคลิฟอร์เนีย นำผลการวิจัยของรัฐเทนแนสซีที่ทำกับเด็กอนุบาล และประถมปีที่ 1 ห้องเรียนละ 15 คน สอนโดยครูอาวุโสระดับเชี่ยวชาญ ผลสัมฤทธิ์ของเด็กผิวดำสูงขึ้น แต่ในแคลิฟอร์เนียนำไปใช้กับทุกระดับชั้นขนาดห้องเรียน 20 คน สอนโดยครูทั้งใหม่และเก่า ใช้งบประมาณไป 800 ล้านดอลล่าร์ ผลที่ได้ไม่แตกต่างจากเดิม
- ไม่มองข้ามข้อมูลสำคัญ เช่นเด็กของโรงเรียนนี้สอบได้ต่ำกว่าเกณฑ์เกือบครึ่งโรงเรียนจะมองว่าเป็นความบกพร่องของครูผู้สอนก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาเช่น สุขภาพเด็ก ฐานะทางครอบครัว ภาวะผู้นำในการสอนของครูใหญ่ การพัฒนาครู สื่อการสอน แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนและท้องถิ่น การสนับสนุนจากเขตการศึกษา สภาพแดล้อมของโรงเรียน ภาวะงานอื่นๆ ที่ครูต้องทำและไม่เกี่ยวกับการสอน เป็นต้น ผลการสอบของเด็กเป็นตัวชี้วัดเพียงว่าเด็กทำได้ดีแค่ไหน แต่ไม่ตอบคำถามว่า ข้อสอบถามสิ่งที่เด็กเรียนมามากน้อยแค่ไหน โรงเรียนได้ตำราเรียนมาเมื่อไร ผู้บริหารกำหนดนโยบายการเรียน การสอนอย่างไร เป็นต้น
ผู้บริหารต้องเป็นผู้นำในการเรียนการสอน การรวบรวมข้อมูลและการนำข้อมูลไปใช้ ดังนั้นผู้บริหารควรมีบทบาท ดังนี้
- ใช้ข้อมูลโดยมองไปข้างหน้า อย่างน้อยที่สุดต้องพิจารณาว่า ถ้านำผลการวิจัยของโรงเรียนอื่นมาใช้กับโรงเรียนของตนเองแล้วผลจะออกมาอย่างไร
- ผู้บริหารควรเสาะหาข้อมูลและผลการวิจัยที่สอดคล้องกับสภาพ บริบท และปัญหาของโรงเรียนของตน ไม่ใช่เห็นข้อมูลและผลการวิจัยที่ออกมาดีแล้วนำมาใช้เลย
- ข้อมูลควรมีคุณภาพ วิธีการเก็บข้อมูลถูกต้อง ตามหลักการทางสถิติ ข้อมูลต้องแยกแยะให้ตอบคำถามได้ชัดเขน แสดงในรูปแบบการนำเสนอที่เข้าใจง่าย และได้มาในระยะเวลาที่เหมาะสมกับการนำไปใช้ เช่น แยกตามเพศ ภูมิลำเนา ขนาดของโรงเรียน ผลการเรียนรายวิชา ผลการเรียนแยกเป็นรายหัวข้อ ผลการเรียนแยกตามสภาพของเด็ก เป็นต้น
- โรงเรียนจัดให้มีทีมข้อมูลของตน กำหนดวันให้ครูส่งข้อมูลให้ทีมงาน ฝึกทีมงานและครูให้สามารถตีความหมายและวิเคราะห์ข้อมูลได้และนำเสนอข้อมูลได้ ถ้าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเด็กรายบุคคล ควรมีผลการเรียนตั้งแต่เริ่มเรียน กิจกรรมเพื่อโรงเรียน บุคลิกภาพ ความชอบ ภูมิหลังทางบ้าน และพฤติกรรมส่วนตัว เป็นต้น
- เมื่อมีข้อมูลให้ใช้ ทุกคนต้องพูดเกี่ยวกับข้อมูล เป็นวัฒนธรรมของโรงเรียน ใช้ข้อมูลในการวางแผนใช้ข้อมูลในการเตรียมการสอน เปรียบเทียบข้อมูลที่มีอยู่กับโรงเรียนอื่น ระดับเขต และระดับชาติ เป็นต้น
- ใช้ข้อมูลเป็นแนวทางในการปรับปรุงการเรียนการสอน เช่น นักเรียนที่สอบได้ต่ำกว่าเกณฑ์ของเขตโรงเรียน จะแก้ไขปัญหาอย่างไร การให้คำปรึกษานักเรียนก็ต้องใช้ข้อมูล การพัฒนาครุ และการบริหารก็ต้องใช้ข้อมูลเกี่ยวกับครูและผู้บริหาร โรงเรียนต้องปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยเสมอและควรเก็บข้อมูลทุกภาคเรียน
ความรับผิดชอบในการพัฒนาให้โรงเรียนเป็นโรงเรียนที่ดีเลิศ ต้องเกิดจากความต้องการของบุคลากรทุกคนในพื้นที่ และสอดคล้องกับนโยบายของเขตและประเทศ ลักษณะของโรงเรียนที่ดีมี ดังนี้
- ครูและนักเรียนทุกคนมีความปลอดภัย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และทรัพย์สิน
- นักเรียนมีความพอใจในการเรียนและมีความสุข
- ผู้บริหารและครูเอาใจใส่นักเรียนดี กระตุ้นและให้กำลังใจในการเรียน และร่วมมือกับผู้ปกครองและหน่วยงานในท้องถิ่น
- โรงเรียนเตรียมเด็กให้เป็นประชากรที่ดีของประเทศ และมีทักษะชีวิตสูง
- โรงเรียนมีระบบการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ที่ดี
- โรงเรียนมีความสะอาด เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน และมีสภาพที่เอื้อต่อการเรียนการสอน
- นักเรียนที่จบจากโรงเรียนสามารถเข้าเรียนต่อได้ในมหาวิทยาลัย
- โรงเรียนมีความหลากหลายทางวิชาการ และยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมของนักเรียนและชุมชน
- โรงเรียนมีระบบช่วยเหลือนักเรียนและกิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพของนักเรียนอย่างหลาหลาย
ลักษณะของเด็กที่สำเร็จจากโรงเรียนเป็นเครื่องชีวัดคุณภาพของการเรียนการสอน ดังนี้
- เด็กที่จบจากโรงเรียนมีสมรรถภาพ มีความรอบรู้ มีทักษะการแก้ปัญหา ทักษะทางสังคม การตัดสินใจ ความร่วมมือ และการยอมรับนับถือคนอื่น
- เด็กที่สำเร็จจากโรงเรียนมีทักษะทางปัญญา เช่น การคิดวิเคราะห์ เรียนรู้วิธีการเรียน ทำการวิจัยง่ายๆ ได้ สามารถเรียนต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- เด็กที่สำเร็จจากโรงเรียนสามารถจัดข้อมูลประเมินข้อมูล และนำไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้
- เด็กที่สำเร็จจากโรงเรียนมีความสามารถทางวิชาการ เช่น การพูด การสื่อสาร การเขียน การอ่าน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทันตามความก้าวหน้าของโลก