จังหวัดนนทบุรี – 9 ธันวาคม 2568 / ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้แทน ศธ. เข้าร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “HERO OF THE TRUTH” ร่วมหยุดคอร์รัปชัน ณ ฮอลล์ 4 ศูนย์การประชุม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี
โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านการทุจริต และมีนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตลอดจนผู้แทนภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทยและระหว่างประเทศ) ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ก่อนเริ่มงานได้มีการยืนสงบนิ่งถวายความอาลัย และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล เป็นวันที่ประชาคมโลกแสดงจุดยืนร่วมกันในการขจัดการทุจริตในทุกรูปแบบ เพราะการทุจริตเป็นปัญหาที่ลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชน ในนามนายกรัฐมนตรีขอประกาศเจตจำนงอย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า รัฐบาลจะยืนหยัดกับการต่อสู้การทุจริตด้วยความเด็ดขาด ไม่ลังเล ไม่ประนีประนอม ไม่ผ่อนปรน ไม่มีข้อยกเว้นให้กับผู้ที่บ่อนทำลายผลประโยชน์ของประเทศชาติ และพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรม
ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านความโปร่งใสที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยดัชนีชี้วัดสำคัญในการรับรู้การทุจริต หรือคอร์รัปชัน CPI ปี 2567 ของประเทศเดนมาร์กสูงถึง 90 คะแนน เป็นอันดับ 1 ของโลก สิงคโปร์ประเทศเพื่อนบ้านได้ 84 คะแนน เป็นอันดับ 3 ของโลกและเป็นอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก ส่วนประเทศไทยของเรานั้นได้ 34 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศของเรายังมีช่องโหว่ที่จะต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง รัฐบาลนี้จะเร่งดำเนินการแก้ไข และจะมุ่งมั่นในการยกระดับความโปร่งใสของประเทศให้สูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
เราต้องมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้สถิติของประเทศไทยดีขึ้นในเวทีโลก แต่เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถสร้างระบบรัฐที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยืนอยู่บนหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง เพื่อให้ประเทศไทยพัฒนาก้าวหน้าในทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และมีความเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ มีระบบธรรมาภิบาลที่ดี สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทยและชาวต่างชาติ
เพื่อให้เป้าหมายสำเร็จตามเป้าหมายจึงขอมอบนโยบายในการเสริมสร้างระบบการป้องกันการทุจริตให้ทุกหน่วยงาน กำหนดมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงรุก โครงการที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก ต้องผ่านการประเมินความเสี่ยง ต้องสร้างระบบการตรวจสอบภายในที่เข้มข้น ไม่ใช่เพียงการทำตามรูปแบบแต่ต้องดำเนินการตามความเป็นจริง และให้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การบริการภาครัฐ การลดขั้นตอนการบริการประชาชน ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น เพิ่ม e service และระบบ one stop service ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตและประพฤติไม่ชอบ สร้างความโปร่งใส ลดการใช้อำนาจและดุลยพินิจ และลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแทรกแซง และเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐให้ประชาชนได้รับทราบ สามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โปร่งใส และเสมอภาค ผู้ใดที่ทำการทุจริตต้องรับผิด ผู้ที่เอื้อประโยชน์ต้องรับผิด หากมีการค้นพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการสนับสนุนให้เกิดการทุจริต โดยไม่มีการละเว้น ไม่มีการใช้อภิสิทธิ์ไม่ว่าตำแหน่งใดหรือฝ่ายใด ส่วนผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต รัฐบาลจะให้การปกป้อง คุ้มครองและให้การสนับสนุนในความก้าวหน้าในอาชีพการงานอย่างเต็มที่
จะต้องมีการเสริมสร้างวัฒนธรรมความซื่อสัตย์สุจริตในสังคมไทยปลูกฝังจิตสำนึกด้านจริยธรรม และความโปร่งใส ตั้งแต่ในสถานศึกษาและหน่วยงานของรัฐ ให้ทุกคนมีความซื่อสัตย์สุจริต ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน เพื่อเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริต รวมทั้งการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส อย่างจริงจัง เพื่อให้ผู้ที่กระทำความดีได้รับการคุ้มครองอย่างจริงจัง
การป้องกันและปราบปรามการทุจริตต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย และเชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายเราจะต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อร่วมกันปราบปรามและลดความเสี่ยงต่อการทุจริต
ขอให้ทุกหน่วยงานตั้งเป้าหมายในการยกระดับการลดการทุจริต ด้วยการจัดทำแผนปฏิบัติราชการที่ส่งผลต่อการเพิ่มคะแนน CPI รัฐบาลจะดำเนินการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายคือเพื่อให้ประเทศไทยมีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ และมีอนาคตที่มั่นคงสำหรับทุกฝ่าย
“ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ร่วมมือกันปกป้องผลประโยชน์ของพวกเราทุกคน และทุ่มเทในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตของประเทศไทย ในวันนี้เป็นวันที่สำคัญที่พวกเราได้มาร่วมกันแสดงพลังที่มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริต เพื่อร่วมกันปลุกกระแสสังคมและจุดยืนของคนไทยว่า พวกเรา “ไม่ทำ ไม่ทน และไม่เฉย” ในการทุจริตอีกต่อไป มาร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริตพร้อมกันเพื่อเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกและเป็นสิ่งที่พวกเราพึงจะต้องปฏิบัติ”
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้นำผู้เข้าร่วมงานประกาศเจตจำนงต่อต้านการทุจริต ความว่า “ข้าพเจ้า นายอนุทิน ชาญวีรกูล (…) ขอประกาศเจตจำนงว่า ข้าพเจ้าจะประพฤติปฏิบัติตน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำการทุจริต ข้าพเจ้าจะยึดมั่นในความยุติธรรม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน ข้าพเจ้าจะปกป้องเทิดทูน สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน และเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยจิตอาสา พร้อมทำความดีด้วยหัวใจ”

ในการนี้ นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร ในฐานะผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวภายในงานด้วยว่า กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการปลูกฝังค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริตแก่เด็กและเยาวชนมาอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทาง “เรียนดี มีคุณธรรม” ของศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
โดยเน้นการบูรณาการเรื่องการต่อต้านการทุจริตไว้ในกระบวนการเรียนการสอนและกิจกรรมของสถานศึกษา เพื่อสร้างผู้เรียนให้เติบโตเป็น “HERO of the TRUTH” ที่กล้ายืนหยัดในความถูกต้อง ไม่ยอมรับและไม่เพิกเฉยต่อการทุจริตในทุกรูปแบบ
การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดและจิตสำนึก ให้ผู้เรียนสามารถแยกแยะถูกผิด และใช้ความรู้ควบคู่กับคุณธรรมจริยธรรมในการดำเนินชีวิต ขณะเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการยังมุ่งส่งเสริมการบริหารจัดการในหน่วยงานและสถานศึกษาให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต
“เยาวชนถือเป็นพลังสำคัญของประเทศ การปลูกฝังแนวคิดต่อต้านการทุจริตตั้งแต่ในระบบการศึกษา จะช่วยสร้างสังคมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต และร่วมกันขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน”
อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
ภารุจ พูลอำไภย์ / ภาพ
ภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1BwUetCut1/
