Amazon Digital Library ห้องสมุดออนไลน์ขนาดยักษ์


  • หอสมุดอเล็กซานเดรีย …หอสมุดโบราณแห่งอียิปต์


Amazon Digital Library


ความฝันอันบรรเจิดที่สุดในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารก็คือการสร้างแหล่งรวมความรู้ มีโครงการที่ชื่อว่า โครงการอเล็กซานเดรีย ตั้งชื่อตามหอสมุดอเล็กซานเดรียในอียิปต์โบราณที่สร้างโดยกษัตริย์เพาลีมีที่หนึ่ง เมื่อ 286 ปีก่อนคริสตกาล หอสมุดโบราณแห่งนี้ เคยเป็นที่เก็บรวบรวมตำรากว่า หนึ่งแสนเล่ม เมื่ออียิปต์ถูกรุกรานในปี ค.ศ. 641 ผู้บุกรุกใช้ตำราเหล่านี้รวมทั้งม้วนกระดาษกก ที่ใช้บันทึกเรื่องราวต่างๆ มาใช้เป็นเชื้อฟืนของเตาที่ให้ความร้อนในห้องอาบน้ำสาธารณะ เล่ากันว่าตำราเหล่านี้ นำมาทำเป็นเชื้อเพลิงได้นานถึงหกเดือน Brewster Kahle ผู้ก่อตั้งบริษัทอินเตอร์เนต อาร์ไควฟ์ กล่าวว่า“บทเรียนจากเรื่องนี้ก็คือ ควรจะมีมากกว่าหนึ่งสำเนา”

เมื่อเร็วๆ นี้ Brewster Kahle ได้มีโอกาสไปที่เมืองอเล็กซานเดรีย ในประเทศอียิปต์ และเข้าพบนางซูซานนี มูบารัก ภรรยาของประธานาธิปดีอียิปต์ เพื่อมอบหนังสือดิจิตอลซึ่งมีความจุถึงหนึ่งร้อยล้านหน้าเพื่อให้เป็นของขวัญแก่หอสมุดสร้างใหม่ในเมืองอเล็กซานเดรีย เขาได้อธิบายถึงคุณประโยชน์ของ[font color=08551A size=4]หนังสือดิจิตอลในฐานะที่เป็นแหล่งข้อมูลอีเลคโทรนิค ในแง่ของความทันสมัย ง่ายแก่การสืบค้น และยังสามารถทำซ้ำเท่าไรก็ได้ นางมูบารัก แสดงทีท่าประทับใจตามมารยาททางการเมือง แต่ก็ยังยืนยันว่า “ดิฉันชอบที่เป็นหนังสือมากกว่า”


76


ปัญหาก็คือว่า หนังสือคือสิ่งที่ครองใจคน และเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ แต่เนื่องจากลักษณะทางกายภาพ ทำให้ไม่มีหอสมุดแห่งใดจะเก็บข้อมูลในรูปหนังสือได้มากมายมหาศาลเท่ากับข้อมูลที่เก็บไว้ในโครงการอเล็กซานเดรีย การเก็บหนังสือยังมีข้อเสียในเรื่องความยุ่งยากในการเคลื่อนย้าย เมื่อหนังสือเก่า ตัวหนังสือก็จะจาง กระดาษก็จะยุ่ย และที่สำคัญที่สุดการค้นหาข้อมูลจากหนังสือก็ยุ่งยาก ถึงแม้ว่าการค้นหาด้วยอินเตอร์เนตจะง่ายขึ้น และ Google ก็ดูจะช่วยให้คำตอบแก่ผู้ที่ต้องการค้นหาข้อมูลได้แทบทุกชนิด แต่หนังสือก็ยังคงเป็นเหมือนจักรวาลอันลี้ลับของแหล่งข้อมูล เราอยากให้หนังสือเป็นสิ่งที่หยิบใช้ได้ง่าย สืบค้นได้ง่าย เหมือนกับเว็บไซด์ แต่จะพูดอีกทีก็คือว่า เราชอบหนังสืออยู่ดี

บริษัทอเมซอน(Amazon.com) พยายามจะพิชิตจักรวาลอันลี้ลับนี้ให้ได้ นับถึงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนที่ผ่านมา บริษัทได้สร้างแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ที่ไม่มีใครเทียบได้ด้วยการนำเอาหนังสือกว่าสองหมื่นเล่ม มาสร้างเป็นหนังสือดิจิตอลไว้ในฐานข้อมูล บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มหนังสืออีกหลายล้านเล่มในฐานข้อมูลภายในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาสืบค้นชื่อหนังสือที่ต้องการและมีหนังสือให้เรียกดูได้ถึงสามสิบสามล้านหน้า




  • จากกระดาษสู่หนังสือดิจิตอล








ในการสร้างหนังสือดิจิตอลนี้ Jeff Bezos ผู้บริหารของบริษัทอเมซอนจำเป็นต้องเอาชนะอุปสรรคมากมาย ทั้งในเรื่องเทคโนโลยี และเรื่องลิขสิทธิ์หนังสือ วิธีการแก้ปัญหาก็คือ การแสดงชื่อสำนักพิมพ์เจ้าของหนังสือให้ลูกค้าเห็นด้วย และนี่ก็คือข้อได้เปรียบของอเมซอนเหนือคู่แข่งอย่าง Yahoo, Google และ eBay แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับหนังสือดิจิตอลก็คือ การที่มันยังคงไว้ซึ่งรูปลักษณ์ทางกายภาพของหนังสือ ขณะเดียวกันก็เป็นข้อมูลที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้อย่างไม่มีขีดจำกัด

เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้ขับรถไปหา Udi Manber ที่บ้านของเขาที่ซิลิคอล วาเลย์ และใช้เวลาสองสามชั่วโมงที่นั่นเพื่อค้นหาหนังสือจากอินเตอร์เนต Manber เป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เชื้อสายยิว และเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ Introduction to Algorithms : A Creative Approach ย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน สมัยที่เขายังทำงานเป็นผู้พัฒนาโปรแกรมสืบค้นข้อมูลชื่อ agrep ของบริษัทยูนิกซ์ เขาเกิดความคิดที่จะสร้างโปรแกรมที่เก็บข้อมูลต่างๆ สิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดก็คือ การสร้างโปรแกรมที่สามารถสืบค้นข้อมูลวัตถุต่างๆ ได้ เมื่อพบกันครั้งแรกเขาตั้งคำถามกับผมว่า “ทำไมเราไม่ถ่ายรูปหนังสือทุกเล่มให้ลูกค้าซะเลยล่ะ เราก็แค่สแกนหนังสือให้ลูกค้าทั้งเล่ม ทุกเล่ม เก็บไว้ตามชื่อหนังสือ แล้วเวลาลูกค้าต้องการใช้ก็สามารถสืบค้นข้อมูลหนังสือของตัวเองได้จากโปรแกรม”

Manber ได้เสนอความคิดนี้ให้ Bezos ผู้บริหารของบริษัทอเมซอน ในการให้บริการสแกนหนังสือทั้งเล่ม ทุกเล่มของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาสืบค้นข้อมูลในหนังสือของตนเองได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีท่ามกลางอุปสรรคในการสร้างหนังสือดิจิตอล อุปสรรคนั้นก็คือการถือครองลิขสิทธิ์ตีพิมพ์ของสำนักพิมพ์และผู้เขียนกว่าหมื่นราย แต่เมื่อ Bezos ได้ฟังความคิดนี้ เขากลับคิดที่จะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือต้องการสร้างแหล่งข้อมูลที่ลูกค้าสามารถเข้ามาสืบค้นอะไรก็ได้อย่างไม่จำกัด

ผมและ Manber นั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะใกล้ๆ ห้องครัวในบ้านไร่หลังเล็กของเขา เขาพิมพ์คำที่ผมต้องการสืบค้นในคอมพิวเตอร์แลปทอปที่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลหนังสือดิจิตอล ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีในเวลานั้น แต่จะพร้อมใช้งานได้จริงในอีกสองสามสัปดาห์ต่อมา ภายในเวลาไม่กี่วินาที หน้าจอก็แสดงผลการสืบค้น ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ผลนึกย้อนไปถึงความรู้สึกเมื่อสิบปีก่อน ที่ผมเริ่มค้นข้อมูลด้วยเว็บ ตอนนั้นข้อมูลในเว็บยังมีน้อย และผมต้องใช้เวลามากมายนั่งจ้องโฮมเพจของพวกนักฟิสิกซ์ และวิศวกรเพื่อหาข้อมูลที่ต้องการ เน็ตเวิร์คยุคปัจจุบันมีศักยภาพที่น่าทึ่งมาก แต่จริงๆแล้ว สิ่งที่สร้างความตื่นตาตื่นใจนั้น ไม่ใช่เนื้อหาบนหน้าจอ แต่เป็นโครงสร้างของเว็บที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและได้ผลเที่ยงตรง

หนังสือดิจิตอลในอเมซอนรูปแบบใหม่ มีมากกว่าที่มีในเว็บยุคแรกๆ ก็จริง แต่ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ หนังสือกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นเล่มที่มีอยู่ในขณะนี้ เปรียบได้กับการมีคลังหนังสือขนาดใหญ่ แต่ก็มีที่ว่างมากพอที่จะสร้างอาณานิคมแห่งข้อมูลตำราอันยิ่งใหญ่

ยิ่งสืบค้นเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ก็จะยิ่งได้ข้อมูลลึกขึ้น ตัวอย่างเช่น ในระยะหลังๆ นี้ ผมสนใจเรื่องของ Boss Tweed ชาวนิวยอร์กผู้โด่งดังขึ้นมาในฐานะนักปล้นเงินสาธารณะ Manber พิมพ์คำว่า ‘Boss Tweed’ ให้โปรแกรมค้นหา หน้าจอก็แสดงชื่อหนังสือสองสามเล่มที่มีชื่อ Boss Tweed อยู่ในชื่อเรื่อง แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือโปรแกรมยังแสดงผลจากหนังสือเล่มอื่นๆ ที่ไม่ได้มีชื่อ Boss Tweed อยู่ในชื่อเรื่องแต่มีเรื่องเกี่ยวกับ Boss Tweed อยู่ในเนื้อหา ซึ่งถ้าเป็นปกติแล้วผมคงนึกไปไม่ถึง เช่นหนังสือเรื่อง A Confederacy of Dunces เขียนโดย John Kennedy Toole , American Psycho เขียนโดย Bret Easton Ellis, Forever: A Novel เขียนโดย Pete Hamill ผมรู้สึกได้ทันทีถึงอำนาจการได้มาซึ่งข้อมูลในวงกว้าง ยิ่งจำนวนหนังสือในฐานข้อมูลมีเพิ่มขึ้น เราก็จะสามารถสืบค้นและติดตามเรื่องราวของบุคคลและเหตการณ์ใดๆ ก็ตามที่ได้เคยถูกตีพิมพ์ไว้

ผมเลือกหนังสือของ Hamill จากผลการสืบค้นและได้ลิงค์เข้าไปดู Hamill ได้อ้างถึงหนังสือเล่มอื่นๆ อีกหลายเล่มที่นักเขียนคนอื่นๆ เขียนและมีเรื่องของ Boss Tweed ในหนังสือเหล่านั้น หนังสือพวกนี้บางเล่มไม่มีขายในท้องตลาดแล้ว แต่ลูกค้าก็สามารถสั่งซื้อได้จากอเมซอนที่มีให้เลือกทั้งหนังสือใหม่และหนังสือมือสอง

ถ้าผมจะยอมสละเวลาและใช้ความพยายามจริงๆ แล้ว ผมก็อาจหาหนังสือพวกนี้เจอได้เองในห้องสมุด แต่การสืบค้นหนังสือจากอเมซอน ช่วยให้ได้ผลลัพท์ที่เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการค้นหาได้มากกว่าและยังได้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการเมื่อมันถูกอ้างถึงในหนังสือเล่มอื่นๆ การสืบค้นด้วยวิธีนี้ทำให้ได้ผลเร็วกว่า ลึกกว่า และกว้างกว่า เปรียบเหมือนกับแผนที่ชนิดใหม่

การจะมาถึงขั้นนี้ได้จะต้องอาศัยความสามารถทางเทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญ วัตถุดิบส่วนใหญ่ของข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากการสแกนหนังสือทั้งเล่ม หลายคนอาจไม่รู้ว่าในการตีพิมพ์หนังสือแต่ละเล่มในสมัยนี้ ผู้เขียนจะพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ แล้วส่งอีเมล์ให้สำนักพิมพ์ ซึ่งสำนักพิมพ์จะจัดหน้า และรูปเล่มด้วยคอมพิวเตอร์ แต่ถึงกระนั้นหลายสำนักพิมพ์ก็ไม่ได้เก็บข้อมูลหนังสือที่ตัวเองตีพิมพ์ไว้เป็นกิจจะลักษณะ ถ้าต้องการหาข้อมูลหนังสือสักเล่ม พวกเขาต้องวุ่นวายค้นดูใน เครื่องคอมพิวเตอร์ของเหล่าบรรณาธิการบ้าง ดีไซน์เนอร์ที่ออกแบบรูปเล่มบ้าง หรือเครื่องพิมพ์บ้าง หนังสือบางเล่มที่ตีพิมพ์แล้วนานกว่าสองสามปี ไฟล์ข้อมูลที่เป็นดิจิตอลอาจจะหายไปหมดแล้ว ตัวอย่างเช่นสำนักพิมพ์ John Wiley & Son เป็นเจ้าของหนังสือถึงห้าพันเล่มในโครงการนี้ของอเมซอน ทุกเล่มมาในรูปหนังสือล้วนๆ




  • ก้าวสำคัญที่จะทำให้ห้องสมุดในฝันเป็นจริง






เมื่อมีหนังสือมากก็มีจำนวนเจ้าของลิขสิทธิ์มากมายนับไม่ถ้วน จะนำข้อมูลจากฐานข้อมูลนี้สู่สายตาสาธารณะได้อย่างไร โดยที่จะไม่มีปัญหากับเจ้าของลิขสิทธิ์ที่มีอยู่หลากหลาย อเมซอนมีคำตอบอันชาญฉลาด นั่นก็คือการยืนกรานปฏิเสธว่า บริษัทไม่ได้สร้างห้องสมุดอีเลคโทรนิค Manber กล่าวว่า “นี่ไม่ใช่โครงการอีบุ๊ค” และก็ถูกอย่างที่เขาว่า เพราะหนังสือในฐานข้อมูลจะปรากฏ ไม่ครบทั้งเล่ม เมื่อสืบค้นข้อมูล โปรแกรมจะแสดงผลเป็นภาพ ไม่ใช่ข้อความ แต่เป็นภาพถ่ายของหน้าหนังสือ ลูกค้าจะสามารถค้นหาหน้าในหนังสือที่ตรงกับคำที่ต้องการสืบค้น สามารถเลือกดูย้อนไปข้างหน้า หรือข้างหลังได้อีกสองสามหน้า แต่จะไม่สามารถดาวโหลด์ข้อมูล ทำสำเนา หรืออ่านหนังสือทั้งเล่มได้ ลูกค้าจะเลือกไปที่หน้าใดหน้าหนึ่งของหนังสือโดยใส่เลขหน้าก็ไม่ได้ ถ้าต้องการอ่านทั้งเล่มจริงๆ ก็ต้องซื้อเป็นหนังสือ และแน่นอนว่าการสั่งซื้อก็ทำได้ง่ายดายโดยผ่านอเมซอน ลูกค้าจะต้องให้หมายเลขบัตรเครดิตก่อนถึงจะเข้ามาดูหนังสือได้ และไม่สามารถเข้ามาดูหนังสือได้เกินสองถึงสามพันหน้าในหนึ่งเดือน และจะเรียกดูหนังสือแต่ละเล่มได้ไม่เกิน 20% ของเล่ม ด้วยวิธีนี้ Manber ได้สร้างข้อจำกัดแต่ในเวลาเดียวกันก็ยั่วยุให้ลูกค้าอยากอ่านหนังสือมากขึ้น เขากล่าวว่า “จุดประสงค์หลักของโปรแกรมนี้ก็คือการช่วยให้ลูกค้าหาหนังสือที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่สร้างแหล่งข้อมูลใหม่”

Bezos ยืนยันในหลักการนี้อย่างหนักแน่น เขาเสนอแนวคิดนี้แก่สำนักพิมพ์ต่างๆ โดยยืนยันว่า ข้อมูลหนังสือในรูปแบบดิจิตอลนี้จะไม่ทำลายรูปแบบการขายหนังสือแบบเดิม เขาให้สัมภาษณ์ที่สำนักงานใหญ่ของอเมซอนในซีแอตเติลว่า “นี่จะเป็นการช่วยให้สำนักพิมพ์และผู้เขียนเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น” เขายังกล่าวอีกด้วยว่า “เราก็เหมือนกับสำนักพิมพ์พวกนี้ ก็คืออยากขายหนังสือให้ได้มากๆ”

Bezos มีหลักฐานที่ช่วยยืนยันคำพูด ดังจะเห็นได้จากการที่อเมซอนได้เพิ่มลูกเล่นที่ช่วยเพิ่มยอดขายหนังสือ เช่น มีการเพิ่มความคิดเห็นจากผู้อ่าน การซื้อขายหนังสือมือสอง และมีส่วนวิจารณ์หนังสือ มีการแนะนำหนังสือออกใหม่ให้ลูกค้ารู้จัก เป็นต้น อเมซอนเป็นเหมือนสื่อที่กระตุ้นให้ผู้อ่านอยากซื้อหนังสือ ตามความสนใจของแต่ละบุคคล แต่อเมซอนจะไม่มีประโยชน์เลยหากผู้อ่านต้องการเพียงหนังสือในรูปแบบดิจิตอล หนังสือดิจิตอลของอเมซอนอยู่บนรากฐานความคิดที่ว่า ข้อความอีเลคโทรนิคช่วยยกระดับหนังสือได้จริง แต่จะไม่มีสิ่งใดจะแทนหนังสือเป็นเล่มได้

ถึงแม้ Bezos จะปฏิเสธว่า โครงการอเมซอนหรือที่เรียกว่า “ค้นในหนังสือ” เป็นเครื่องแสดงถึงก้าวสำคัญที่จะทำให้ห้องสมุดในฝันเป็นจริงขึ้นมา แต่วิธีการที่อเมซอนใช้จำหน่ายหนังสือก็ช่วยให้เห็นห้องสมุดอเล็กซานเดรียในฝันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ ความสำเร็จของบริษัทในการสร้างหนังสือดิจิตอลจำนวนมหาศาล เป็นเหมือนพลังที่กระตุ้นให้เกิดการล้มล้างระบบลิขสิทธิ์สำนักพิมพ์ในที่สุด

ผมพบกับ Kahle ครั้งแรกเมื่อสิบสองปีที่แล้วในแฟลตของเขาที่ซานฟรานซิสโก เขาใช้ห้องพักนี้เป็นสำนักงานใหญ่ของ WAIS โปรแกรมสืบค้นข้อมูลในยุคแรกๆ Kahle รับประทานอาหารเย็นกับผมและพวกลูกน้องของเขา ผมจำได้ว่ามื้อเย็นวันนั้นเป็นสปาเกตตี้ที่มีรสชาติแย่มาก ตอนนั้นเขาอายุยี่สิบกว่า ผอม ผมหยักศก เป็นคนพูดเร็ว บุคลิกเปิดเผย ในตอนนั้น Kahle ก็นับว่าเป็นผู้คลั่งใคล้ในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากที่สุดคนหนึ่ง ก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน เขาลาออกจากบริษัท Thinking Machines ซึ่งเป็นบริษัทแนวหน้าในการผลิตซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ศักยภาพสูง เพื่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดสร้างสรรค์และขาย WAIS

สำหรับ Kahle แล้ว มีข้อมูลมากมายมหาศาลที่ผู้คนทั่วไปสามารถจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ผ่านทางคอมพิวเตอร์ แต่เนื่องจากยังไม่มีเวบไซด์ ให้เข้าไปค้นหา และฐานข้อมูลส่วนมากก็ยังไม่เชื่อมต่อกัน ดังนั้นการสืบค้นข้อมูลจึงยังทำได้อย่างจำกัด WAIS จึงเป็นเหมือนคำตอบและมันก็ได้พิสูจน์ความสามารถให้เห็นแล้ว อย่างไรก็ตามผลตอบแทนแห่งความสำเร็จที่เกิดจากการทำงานอย่างบ้าคลั่งของ Kahle ก็คือผลพลอยได้จากราคาหุ้นที่พุ่งทะยานสูงขึ้น ในฤดูใบไม้ผลิปี 1995 บริษัท AOL ซื้อหุ้นของ WAIS ด้วยมูลค่า 15 ล้านดอลลาห์ หุ้นของ AOL ทะยานสูงขึ้น และ Kahle ก็กลายเป็นเศรษฐี

ด้วยเงินจำนวนนี้ Kahle ได้ตั้งบริษัทอินเตอร์เนต อาร์ไคฟว์ พร้อมๆ กับตั้งบริษัทสร้างโปรแกรมอัจฉริยะที่ใช้สืบค้นข้อมูลบนเว็บ โปรแกรมนี้ตั้งชื่อว่า อเล็กซ์ ในปี 1999 เมื่อราคาหุ้นยังคงสูงขึ้น Kahle ขายหุ้นของบริษัทให้กับอเมซอนด้วยมูลค่า 250 ล้านดอลลาห์ ทำให้ Kahle ยิ่งรวยขึ้นอีก ปัจจุบันนี้เขาอุทิศตนทำงานเพื่อประโยชน์ของสังคม คอมพิวเตอร์ของอินเตอร์เนต อาร์ไคฟว์ ตั้งอยู่ในโกดังของสำนักงานใหญ่ซึ่งเป็นบ้านสไตล์อเมริกัน คลาสสิก ในเขตทหารใกล้สะพานโกลเด้นเกต สำนักงานนี้เป็นสำนักงานแบบของวิศวกรขนานแท้ทีเดียว แบบที่ว่าโปรแกรมเมอร์จะขึ้นไปชั้นบนต้องใช้บันไดหนีไฟด้านนอกเพราะบันไดในตัวบ้านหัก และถ้าเปิดตู้เย็นดูก็จะพบพิชซ่าที่เก่าจนแทบจะขึ้นรา

เมื่อผมโทรศัพท์ไปหา Kahle เพื่อขอสัมภาษณ์ เกี่ยวกับเรื่องห้องสมุดดิจิตอลเขาตอบว่า “ได้เลย ผมกำลังว่างอยู่พอดี” พอได้พบกันผมรู้สึกว่าเขาไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ เขาตั้งคำถามกับผมว่า “โดยเฉลี่ยแล้วคนเราใช้เวลาหมดไปกับการเข้าเว็บมากแค่ไหน” แล้วเขาก็ตอบเองว่า “หนึ่งร้อยวัน !” เขาพูดด้วยน้ำเสียงประหนึ่งว่าผมมีส่วนสมรู้ร่วมคิดที่จะปกปิดความจริงข้อนี้ หรือราวกับว่า คอมพิวเตอร์ของ อินเตอร์เนต อาร์ไคฟว์ ไม่ได้มีไว้เพื่อประโยชน์ข้อนี้

เป้าหมายของฐานข้อมูลดิจิตอล คือการเก็บข้อมูลต่างๆ ในรูปแบบดิจิตอลและให้นำมาใช้ได้ แต่ข้อมูลดิจิตอลที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ ข้อมูลดิจิตอลอาจอยู่ในรูปแบบของ เพลง ภาพยนตร์ หรือหนังสือก็ได้ ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมบันเทิงอาจต้องได้รับผลกระทบอย่างแรง แต่สำหรับ Kahle แล้วถือว่าเป็นเรื่องดี เขาคิดว่าสิ่งที่สร้างขึ้นจากภูมิปัญญาของมนุษย์ ไม่ควรจะถูกเอาไปเก็บไว้ จนในที่สุดก็ถูกลืม

Kahle เกลียดความคิดที่ว่า ข้อมูลดิจิตอลคืออะไรก็ตามที่คนจะหาได้จาก Google เขาพูดถึงถึงตัวเลขจากหนังสือ 2001 PEW Internet Study ที่อ้างว่า 71% ของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา ใช้อินเตอร์เนตเป็นสิ่งแรกเมื่อต้องการสืบค้นข้อมูล “ในความเห็นของผม ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าที่น่าจะเป็นจริง เพราะนักเรียนสมัยนี้คิดว่าอะไรที่หาจากอินเตอร์เนตไม่เจอ ก็แปลว่าไม่มี”

ในเมื่อหนังสือส่วนใหญ่ ไม่ได้มีอยู่ในอินเตอร์เนต ก็หมายความว่า ไม่ว่านักเรียนหรือใครๆ ก็ยังเข้าไม่ถึงแหล่งความรู้อันสำคัญที่สุด นักเรียนหลายคนคิดว่า อินเตอร์เนตคือโลกแห่งความรู้ เพราะว่ามันบอกอะไรได้ทุกอย่าง ทำให้เด็กๆ ไม่สนใจหนังสือ Kahle กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะเรามีเครื่องมือที่จะช่วยให้คนสามารถอ่านหนังสือได้ทุกเล่มที่ต้องการ แต่ว่ามันต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 ปัจจัย ปัจจัยที่ 1 คือ ที่เก็บข้อมูล ปัจจัยที่ 2 คือการเชื่อมต่อ ที่เก็บนั้นไม่ยาก ด้วยงบประมาณไม่ถึง สิบล้านดอลลาห์ คุณก็สามารถสร้างหน่วยความจำที่สามารถเก็บ งานทั้งหมดที่เคยตีพิมพ์ ย้อนกลับไปถึงศิลาจารึกในสมัยซูเมอร์เรียนได้เลย หอสมุดอเล็กซานเดรียโบราณก็เคยพยายามเก็บทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ พวกเขาได้ประดิษฐ์สิ่งที่จะเอาไว้เก็บข้อมูล ก็คือกระดาษต้นกก ซึ่งดีกว่าศิลาดินเหนียวมาก แต่เราทำได้ดีกว่าห้องสมุดโบราณนี้ ก็เพราะเรามีการเชื่อมต่อ ผมได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศอูกานดา ไปชนบทของประเทศเคนย่า และเคยเดินเป็นวันเพื่อไปอินเตอร์เนตคาแฟ่ มันมีความเป็นไปได้ในทางเทคโนโลยีที่จะทำให้เด็กทุกคนในโลกสามารถเข้าถึงหนังสือทุกเล่มในโลกได้”

ปัจจัยที่ 3 ที่ Kahle กล่าวถึงไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง ในเรื่องนี้ Kahle รู้สึกว่าสถานการณ์ค่อนข้างสับสน เขากล่าวว่า “เราอยู่ในสังคมเปิดที่รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะให้ทุกคนได้รับการศึกษา ลองคิดดูว่า รัฐบาลให้เงินสนับสนุนห้องสมุดสาธารณะ 7.6 ล้านล้านดอลลาห์ต่อปี งบประมาณของหอสมุดในมหาวิทยาลัย 5 ล้านล้านดอลลาห์ต่อปี ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ งบประมาณเป็นเครื่องยืนยันความพยายามที่จะสร้างความรู้สู่สาธารณะ แต่งบประมาณเหล่านี้ แทบจะไม่ได้นำมาใช้กับหนังสือดิจิตอลเลย”

บริษัทอินเตอร์เนตอาร์ไคฟว์ ได้ทำให้ Kahle กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในการจัดการฐานข้อมูลสาธารณะขนาดใหญ่ ขณะนี้บริษัทได้รับความร่วมมือ จากมหาวิทยาลัย Cornegia Mellon มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติอเมริกา รัฐบาลอินเดีย และรัฐบาลจีน เพื่อสร้างหนังสือดิจิตอลจำนวนหนึ่งล้านเล่ม หนังสือมากมายถูกส่งลงเรือจากอเมริกา ไปที่อินเดียโดยบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อทำการสแกนและตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นจะแปรรูปเป็นไฟล์ดิจิตอล ส่งให้อินเตอร์เนตอาร์ไควฟ์ สำหรับหนังสือต้นฉบับก็จะส่งคืนเจ้าของ Kahle และหน่วยงานต่างๆ ที่ให้ความร่วมมือ มีเป้าหมายจะผลิตหนังสือดิจิตอลด้วยวิธีนี้ให้ได้ หนึ่งล้านเล่มในปลายปีนี้ ซึ่งจะทำให้โครงการนี้ใหญ่พอๆ กับอเมซอนในแง่ของจำนวนหนังสือ Kahle กล่าวว่า “เราตั้งเป้าไว้ที่หนึ่งล้านเล่ม เพราะหนึ่งล้านเป็นจำนวนที่มาก มันจะทำให้เรารู้สึกมุ่งมั่น”

แต่ในความเป็นจริงแล้ว หนังสือหนึ่งล้านเล่มก็นับว่ายังตามหลังอเมซอนอยู่มาก สาเหตุหนึ่งก็คือขั้นตอนการยืมหนังสือจากห้องสมุดทำได้ช้า และยิ่งกว่านั้น การสร้างหนังสือดิจิตอลในโครงการนี้ยังจะต้องคำนึงถึงเรื่องลิขสิทธิ์หนังสือ เพราะเป้าหมายของโครงการก็คือการสร้างหนังสือออนไลน์ทั้งเล่ม ไม่เหมือนกับอเมซอนที่จะทำเพียงบางส่วนของหนังสือ ทำให้อินเตอร์เนต อาร์ไคฟว์ ต้องคอยระวังเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์หนังสือ ด้วยข้อแม้ต่างๆ เหล่านี้ทำให้หนังสือดิจิตอลในโครงการหลายเล่ม เป็นเอกสารของราชการ หนังสือเก่า และหนังสือจากอินเดียและจีน ที่ซึ่งกฎหมายลิขสิทธิ์ ยังไม่เข้มงวดนัก

Kahle ไม่ได้ต้องการนำหนังสือขายดีมาทำเป็นหนังสือดิจิตอล เขาไม่เคยปรารถนาจะขวางทางธุรกิจขายหนังสือ แต่สิ่งที่เขาไม่ชอบใจก็คือการที่เขาไม่สามารถนำหนังสืออีกมากมายหลายเล่มมาทำเป็นหนังสือดิจิตอลได้ ทั้งๆที่หนังสือเหล่านี้ก็ขายไม่ได้อยู่แล้ว หอสมุดแห่งชาติอเมริกามีหนังสือกว่า สามสิบล้านเล่ม ไม่มีใครรู้ว่ามีหนังสือกี่เล่มที่อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ และยังมีโอกาสนำมาตีพิมพ์ซ้ำได้อีก Kahle กล่าวว่า “หนังสือพวกนี้เอามาทำเป็นหนังสือดิจิตอลไม่ได้ เพราะไม่มีความชัดเจนเรื่องเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่การจะระบุเจ้าของลิขสิทธิ์ให้ได้นั้นก็เป็นงานใหญ่เกินไป บางคนอาจเรียกมันว่าเป็นหนังสือที่ถูกลืม ผมเรียกมันว่าหนังสือลูกเมียน้อย” เขากล่าวอีกว่า “อเมซอนทำในรูปแบบของธุรกิจ แต่เราทำเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ แต่ใครล่ะจะมาสนใจพวกลูกเมียน้อย ? ไม่มีใครสักคน”

ปัญหาเรื่องนี้ในไม่ช้าจะหมดไป เสียงเรียกร้องของ Kahle ในเรื่องหนังสือลูกเมียน้อยได้ทำให้เกิดข้อต่อรองอันเป็นผลมาจากโครงการอเมซอน อเล็กซานเดรีย นั่นก็คือในการจดลิขสิทธิ์หนังสือต่อไปจะต้องมีข้อแม้ให้อนุญาติให้นำหนังสือมาสร้างเป็นหนังสือดิจิตอลได้ด้วย การนำข้อ กฎหมายเข้ามาช่วยเช่นนี้ จะสามารถเอาชนะอุปสรรคเรื่องหนังสือลูกเมียน้อยได้ในที่สุด




  •  – อุปสรรคของการจัดทำ






อุตสาหกรรมการพิมพ์ได้รับการพัฒนามาเป็นลำดับตั้งแต่ยุคโรมัน ในศตวรรษที่ 11 มีชาวจีนคิดประดิษฐ์แท่นพิมพ์ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1450 ก็มีชาวเยอรมันทำการปรับปรุงให้มันใช้งานได้ดีขึ้น ในปี ค.ศ. 1866 Ottmar Mergenthater ได้สร้างแท่นพิมพ์ออโตเมติกขึ้น พอถึงปี ค.ศ. 1983 เราก็มีแท่นพิมพ์คอมพิวเตอร์ใช้ แต่กระนั้น สำนักพิมพ์ก็ยังติดกับการใช้ดินสอสีตรวจต้นฉบับ และการสร้างหนังสือดิจิตอลสาธารณะก็ทำให้เหล่าสำนักพิมพ์ต่างๆ รู้สึกเหมือนต้องเผชิญกับหายนะ สิ่งต่างๆ ยิ่งแย่ลงเมื่อเร็วๆนี้สำนักพิมพ์ Barnes & Noble ถึงขนาดออกมาประกาศว่าจะเลิกขายหนังสือด้วยวิธีออนไลน์

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ความไม่เข้าใจ และความกังวลเหล่านี้ Bezos ต้องกลายเป็นตัวกลางในการประนีประนอม เมื่อพูดถึงโครงการห้องสมุดดิจิตอล เขาก็ไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เพียงแต่กล่าวว่า “ก็เหมือนกับคุณจะต้องขึ้นไปบนยอดเขาเตี้ยๆ เพื่อที่จะได้มองเห็นเขาลูกต่อไป แต่ถ้าไม่ลองดู คุณก็จะไม่รู้หรอก”

ผมพบกับ Bezos ครั้งแรกในปี 1966 เขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมาก เขาพยายามที่จะพิสูจน์ว่าเว็บไซด์สามารถเป็นศูนย์กลางการขายสินค้าแหล่งใหญ่ที่สุดได้ มีคนมากมายที่สงสัยว่าจะเป็นไปได้จริงหรือ เขายืนยันด้วยการอธิบายให้เห็นภาพในอนาคตได้อย่างชัดเจน พัฒนาการทั้งหมดของอเมซอน เกิดจากการริเริ่มสร้างร้านหนังสือออนไลน์ พัฒนาไปสู่ธุรกิจขายหนังสือขนาดใหญ่ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้มียอดจำหน่ายหนังสือสูงที่สุดที่ไม่เคยมีผู้ขายรายใดทำได้มาก่อน Steve Kessel รองประธานของบริษัทอเมซอนกล่าวว่า “ลองคิดดูถ้าผมมีหนังสือ หนึ่งแสนเรื่อง ที่ขายได้ปีละเพียง 1 เล่ม พอครบสิบปี ผมก็จะมียอดขายหนังสือรวมกันมากเท่ากับยอดขาย แฮรี่ พอตเตอร์ ตอนใหม่ล่าสุดเลยทีเดียว”

ที่จริงแล้ว ความสำเร็จของอเมซอนไม่ใช่เรื่องยากเลย มีหนังสือมากมายที่สำนักพิมพ์ไม่สนใจนอกจากว่า มันจะขายดีจนสามารถนำมาพิมพ์ซ้ำได้ปีละครั้ง ด้วยระบบการตีพิมพ์ในปัจจุบัน หนังสือที่มียอดขายที่หลักพันต่อปี จะไม่ถือว่าเป็นหนังสือขายดี การสร้างหนังสือดิจิตอล ช่วยให้ผู้อ่านสามารถหาหนังสือได้ง่ายขึ้น ซึ่งตรงกับวิสัยทัศน์แรกเริ่มของ Bezos ในการสร้างร้านหนังสือออนไลน์ขนาดใหญ่ อินเตอร์เนตเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยสืบค้นหนังสือ ซึ่งช่วยให้วัฒนธรรมการใช้อินเตอร์เนตหลากหลายขึ้น

ด้วยวิธีการเช่นนี้ จะทำให้ผู้อ่านในอนาคตสามารถสั่งซื้อหนังสือได้ก่อนที่หนังสือจะวางตลาด การพัฒนาการนี้ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วในระดับที่น่าพอใจ แต่สำหรับโครงการหนังสือล้านเล่มของ Kahle นั้น เขาได้สร้างอินเตอร์เนตบุ๊คโมบาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ มันคือรถตู้ฟอร์ด วินสตาร์ ที่ติดตั้งจานดาวเทียม คอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ และปกหนังสือ ลูกค้าสามารถจะเลือกหนังสือจากอินเตอร์เนต และสั่งให้ผลิตหนังสือออกมา ด้วยกระดาษคุณภาพดี พร้อมใส่ปก ในราคาประมาณเล่มละ 1 ดอลลาห์ เท่านั้น เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา บริษัทอเมซอนได้ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท Ingram Industries’ Lightning Source เพื่อผลิตหนังสือตามสั่ง

บริษัทมีหนังสือให้เลือกสั่งกว่า หนึ่งแสนเล่มและเพิ่มจำนวนเป็นร้อยในทุกสัปดาห์ Ingram Industries’ Lightning Source เป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในระดับสูง ตรงกันข้ามกับรถอินเตอร์เนตโมบายของ Kahle ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในราคาถูก แต่ทั้งสองก็ดำเนินงานในรูปแบบเดียวกันก็คือ ลูกค้าสามารถเลือกและสั่งให้พิมพ์หนังสือที่ต้องการได้

ด้วยวิธีการเช่นนี้ จะไม่มี “หนังสือขาดตลาด” อีกต่อไป หนังสือดิจิตอลที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องจะหาได้ง่าย การผลิตหนังสือตามสั่งจะเป็นแรงกระตุ้นทางธุรกิจให้สำนักพิมพ์กลับมาให้ความสนใจหนังสือเก่าที่เลิกผลิตไปแล้ว และสำหรับหนังสือที่ระบุเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ได้ หรือที่ Kahle เรียกว่าหนังสือลูกเมียน้อย ก็ต้องอาศัยการแก้ไขกฎหมาย เพื่อช่วยแก้ปัญหา Lawrence Lessig หนึ่งในผู้คร่ำหวอดกับเรื่องลิขสิทธิ์ (และเป็นหนึ่งในทีมคอลัมนิสต์ของนิตยสาร WIRED ด้วย) ได้เสนอทางแก้ไขที่เป็นไปได้ โดยการเสนอข้อเรียกร้องเข้าสู่สภาให้ร่างญัตติให้ลิขสิทธิ์มีอายุเวลา 50 ปี เพื่อให้มีโอกาสเปลี่ยนผู้ถือครองลิขสิทธิ์ได้ และผู้ที่ไม่ชำระค่าธรรมเนียมในการต่อลิขสิทธิ์ จะต้องเสียสิทธิการครอบครองให้สาธารณะ

แล้วใครล่ะจะเป็นคนนำหนังสือทั้งที่มีเจ้าของลิขสิทธิ์และที่เป็นของสาธารณะมาทำเป็นหนังสือดิจิตอล โครงการ Gutenberg ริเริ่มสร้างหนังสือดิจิตอลเช่นกัน ขณะนี้มีหนังสืออยู่ประมาณ หนึ่งหมื่นเล่ม และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว โครงการหนังสือล้านเล่มของ Carnegie Mellon ดำเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชื่อ Raj Reddy ก็มีความพยายามจะเพิ่มจำนวนหนังสือในโครงการ นอกจากนี้ Lawrence Lessig ยังร่วมมือกับ Michael Keller บรรณารักษ์ของหอสมุดสแตนฟอร์ด ทำโครงการที่จะนำทั้งหนังสือใหม่และหนังสือที่เลิกผลิตแล้ว และเจ้าของลิขสิทธิ์ให้ความยินยอมมาทำเป็นหนังสือดิจิตอลสู่สาธารณะ สำหรับ Manber เองก็ได้เชิญชวนให้เจ้าของลิขสิทธิ์ให้อนุญาติลูกค้าเข้ามาดูหนังสือในอินเตอร์ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย Manber กล่าวว่า “แค่เอาหนังสือมาให้ผมก็พอ ที่เหลือผมจัดการเอง”

วิสัยทัศน์แรกเริ่มที่จะนำเอามวลความรู้ทั้งหมดมาเก็บไว้ในรูปแบบดิจิตอล อาจทำให้หนังสือกลายเป็นสิ่งล้าสมัย เหมือนกับม้วนกระดาษกก หรือศิลาจารึกดินเหนียว แต่ถ้าหนังสือดิจิตอลกลับกลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้หนังสือขายดีขึ้น วิสัยทัศน์เดิมอาจเปลี่ยนไป หลังจากการสัมภาษณ์ Manber ผมได้คุยกับ Kavin Kelly บรรณาธิการของนิตยสาร WIRED ผู้ใช้เวลาช่วงฤดูร้อนพยายามสร้างห้องสมุดดิจิตอลของตนเอง หนังสือที่มีในห้องสมุดดิจิตอลของ Kelly ก็เอามาจากชั้นหนังสือของเขาเอง Kelly กล่าวว่า [font color=08551A size=4]“หลักในการสร้างอีบุ๊ค ก็คือการเลิกใช้กระดาษ แต่พอเอาเข้าจริง เราก็อยากจะมีทั้งหนังสืออีเลคโทรนิค และหนังสือที่เป็นเล่มด้วย ที่จริงแล้วมันก็คือการยกระดับหนังสือนั่นเอง”

ในการยกระดับเช่นนี้ จะทำให้ธุรกิจขายหนังสือเปลี่ยนรูปแบบไป เพราะความสนใจของคนมีขีดจำกัด และมีหนังสือออกมามากมาย หนังสือที่ออกใหม่จะต้องสามารถสืบค้นได้จากบนเว็บ มิเช่นนั้นจะไม่สามารถชนะคู่แข่งได้เลย การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในลักษณะเดียวกับที่อินเตอร์เนตทำให้จำนวนคนดูโทรทัศน์น้อยลง ในอนาคตคนจะหาหนังสือจากเว็บไซด์ที่เสนอข้อมูลให้คนสามารถเข้าไปดูได้ แทนที่จะเลือกหนังสือจากสำนักพิมพ์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ Manber กล่าวถูกต้องว่า อเมซอนไม่ใช่โครงการอีบุ๊ค แต่เป็นเพียงแคตตาล็อกหนังสือเท่านั้น จากที่อินเตอร์เนตเข้ามามีบทบาทในสิบปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่า แคตตาล็อกคือสิ่งที่คนต้องการ


 




  •  – ความสำเร็จจากโครงการอเล็กซานเดรีย ของอเมซอน

เห็นได้ชัดว่า อเมซอนมีบทบาทมากในธุรกิจขายหนังสือ โลกของอินเตอร์เนต ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงลักษณะเช่นนี้กับธุรกิจสินค้าชนิดอื่นๆ บริษัทอินเตอร์เนตมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการที่ผู้บริโภคเข้ามาสืบค้นสินค้าที่ต้องการผ่านอินเตอร์เนตก่อนที่จะตัดสินใจซื้อจริง แม้แต่ Google ที่ไม่ได้ขายสินค้าชนิดใดโดยตรง ก็มีรายได้มากมายจากการขายโฆษณาที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอของผู้ใช้เมื่อผู้ใช้ใส่คำค้นหาเป็นชื่อสินค้าชนิดต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ รถยนต์ หรือหนังสือ Google เป็นเหมือนศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอินเตอร์เนต และเป็นคู่แข่งสำคัญของเว็บไซด์อื่นๆ เพราะมีผู้บริโภคจำนวนมากเข้ามาเลือกหาสินค้าที่นี่เป็นที่แรก ซึ่งโปรแกรมจะแสดงผล เป็นข้อมูลที่ต้องการค้นหาอย่างเพียงพอต่อความต้องการพร้อมทั้งสามารถเปรียบเทียบราคาของผู้ขายแต่ละรายได้ ไม่ว่าจะเป็น Yahoo , eBay, AOL, Microsoft และที่จะลืมไม่ได้คืออเมซอน ต่างก็พยายามจะเป็นที่แรกที่ลูกค้าจะเข้ามาค้นหาสินค้า

เว็บที่เสนอขายสินค้าเฉพาะอย่าง จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่า Google ที่เป็นเว็บไซด์ที่ให้ข้อมูลไม่เฉพาะเจาะจงสินค้าชนิดใดเป็นพิเศษ แต่ Google เป็นเว็บไซด์สืบค้นข้อมูลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เราอาจเปรียบ Google กับหน้าต่างที่เปิดสู่อินเตอร์เนตได้ก็จริง แต่เนื้อเรื่องในหนังสือต่างๆ ที่ถูกนำมาสร้างเป็นข้อมูลสาธารณะคือข้อได้เปรียบของอเมซอนที่ Google ไม่มี นอกจากนี้ Google ยังมีโอกาสพ่ายแพ้ให้กับบริษัทอื่นที่สามารถสร้างเว็บไซด์สืบค้นข้อมูลที่มีความสามารถสูงกว่าได้ หนังสือดิจิตอลของอเมซอนเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นโดยต้องผ่านขั้นตอนการตกลงกับสำนักพิมพ์ อเมซอนสามารถเสนอข้อมูลซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกซ่อนอยู่ในหนังสือ อเมซอนได้สร้างฐานข้อมูลที่เชื่อมต่อกับวัตถุทางกายภาพ ก่อให้เกิดคุณประโยชน์อย่างน่าอัศจรรย์

ในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ อเมซอนประกาศจะตั้งบริษัทใหม่ มีชื่อว่า A 9.com เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อสร้างเทคโนโลยีที่ช่วยในการสืบค้นโดยเฉพาะ Manber คือผู้นำในการก่อตั้งบริษัทนี้ และเป็นผู้คิดชื่อบริษัท A9 จากคำว่า Algorithms คำนี้ขึ้นต้นด้วย A และมีตัวอักษรอีก 9 ตัวตามหลัง Manber อธิบายที่มาของชื่อนี้และยังบอกด้วยว่า มีอีกคำหนึ่งที่เหมือนอย่างนี้โดยบังเอิญ นั่นก้คือคำว่า Alexandria นั่นเอง

โครงการอเล็กซานเดรีย ของอเมซอน เกิดขึ้นจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า หนังสือจริงๆ สามารถจะนำมาทำเป็นข้อมูลอีเลคโทรนิค ส่งเสริมการขาย และย้อนกลับมาเป็นประโยชน์กับหนังสือได้จริง เห็นได้ชัดว่านี่คือแผนทางการตลาด แต่ความแยบยลทั้งหมดนี้ก็เป็นกลวิธีอันชาญฉลาด และเป็นการต่อสู้ที่สร้างสรรค์ อันจะยังผลให้เกิดการสร้างหอสมุด ไม่ใช่การเผาทำลายหอสมุดเหมือนอย่างในครั้งโบราณ


ที่มา : โดยอ้างชื่อผู้เขียนและ วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com)