ศธ.ประชุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาค 10, 13) แก้ปัญหาหนี้สินครู โดยใช้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูต้นแบบเป็นฐาน
(14 ธันวาคม 2564) นายสุทธิชัย จรูญเนตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ เช่น นายสุทิน แก้วพนา รองปลัด ศธ., นายวัลลภ สงวนนาม รองเลขาธิการ กพฐ., นายไพศาล วุทฒิลานนท์ ผู้ตรวจราชการ ศธ. ตลอดจนผู้แทนกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธนาคารออมสิน, กรมส่งเสริมสหกรณ์, บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ประชุมโครงการ “แก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา ” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 2 โดยใช้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูกำแพงเพชร – สมุทรปราการ เป็นฐาน ร่วมกับผู้จัดการ/ผู้แทนสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 9 จังหวัด ในพื้นที่ภาค 10 และภาค 13 ได้แก่ สอ.ครู อุดรธานี หนองคาย เลย บึงกาฬ หนองบัวลำภู นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยภูมิ และสุรินทร์ ณ โรงแรมสบาย โฮเทล จังหวัดนครราชสีมา
ที่ปรึกษา รมว.ศธ. กล่าวว่า การลงพื้นที่ประชุมครั้งนี้ เพื่อประชาสัมพันธ์ ชี้แจง แนะนำ และร่วมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินครู กับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 108 แห่งทั่วประเทศ เนื่องจากรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การนำของ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศธ. และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา มีเป้าหมายให้ครูได้ชำระหนี้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือการรวมหนี้ครูมาไว้ในสถาบันการเงินแหล่งเดียว รวมทั้งกำหนดมาตรการที่เหมาะสมกับการผ่อนชำระหนี้ให้ได้มากที่สุด ตลอดจนพัฒนาครูบรรจุใหม่ และครูทุกกลุ่มให้มีความรู้ สร้างวินัยการบริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเริ่มต้นจากการถอดบทเรียน สอ.ครู ต้นแบบ (สมุทรปราการ และกำแพงเพชร) ทำให้รับทราบภาพรวมของปัญหา อาทิ 1 ใน 4 ของครูหรือสองแสนกว่าคน ทั้งที่เกษียณแล้วและยังสอนอยู่ มีภาระหนี้ที่สูงกว่าศักยภาพที่จะจ่ายคืนด้วยเงินเดือนหรือบำนาญ บางรายมีเงินเดือนคงเหลือ 34 บาท บางรายอายุมากถึง 103 ปี ยังคงต้องผ่อนชำระหนี้อยู่
ซึ่งอาจจะแก้ไขได้ ด้วยการใช้สินทรัพย์และรายได้ในอนาคต (เงินสะสมของสมาชิก กบข./เงินบำเหน็จตกทอด/หุ้นสหกรณ์) ที่มี มายุบยอดหนี้ให้ลดลง อีกทั้งครูต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าความเสี่ยง ทำให้เงินที่ชำระหนี้ส่วนใหญ่ถูกนำไปตัดแต่ดอกเบี้ย ทำให้เหลือตัดเงินต้นน้อย จึงต้องปฏิรูปการกำหนดดอกเบี้ยเงินกู้ให้สอดคล้องกับเป็นสินเชื่อตัดเงินเดือน เป็นต้น
“ศธ.ตั้งเป้าจัดโครงการฯ ให้ครอบคลุมทั้ง 4 ภาคทั่วประเทศ พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ สอ.ครูที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ ได้ จนถึงสิ้นปี 2564 เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีสภาพคล่องในการชำระหนี้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี เป็นสมาชิก สอ.ครูที่มีคุณภาพ มีวินัยทางด้านการเงิน เกิดขวัญกำลังใจในการทำงาน ส่งผลในด้านบวกต่อคุณภาพการศึกษาและคุณภาพสังคมต่อไป”
รองปลัด ศธ. ได้ชี้แจงแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู 8 แนวทาง แก่ สอ.ครู ในพื้นที่ ภาค 10 และภาค 13 ทั้ง 9 แห่ง ได้แก่
- ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของ สอ.ครูให้ต่ำลงไม่เกิน 3% ปัจจุบันอยู่ในระดับ 3.5 – 4% ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูง เป็นต้น
- ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สอดคล้องกับสินเชื่อที่มีอัตราความเสี่ยงต่ำ 4.5 – 5.0% ซึ่งปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ สอ.ครู เฉลี่ยอยู่ที่ 6 – 9% ในขณะที่สถาบันการเงินเฉลี่ยอยู่ที่ 4 – 11%
- จัดสรรผลกำไรมาเพิ่มเงินเฉลี่ยคืนเงินกู้ให้มากขึ้น ไม่น้อยกว่า 30% ของผลกำไร โดยลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น เช่น ลดเงินปันผลหุ้น งบบริหารจัดการ เงินโบนัส และค่าตอบแทนกรรมการ รวมทั้งสวัสดิการที่ไม่จำเป็น และงบลงทุน เป็นต้น
- การบริหารความเสี่ยง การสร้างหลักประกันเงินกู้ การปรับลดบุคลค้ำประกัน และปรับลดการซื้อประกันในส่วนที่ไม่จำเป็นลง ซึ่ง ศธ. สามารถต่อรองให้เบี้ยประกันภัยลดลง เช่น สวัสดิการประกันชีวิตกลุ่ม/หมู่ เหลือชำระเบี้ย 2,400 บาท ต่อทุนประกันภัยหนึ่งล้านบาท/ปี
- ปรับโครงสร้างหนี้ อาทิ ชะลอการฟ้อง-บังคับคดี ใช้การไกล่เกลี่ยให้มากที่สุด
- ให้จัดทำฐานข้อมูลสมาชิก และการเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับสถาบันการเงินและต้นสังกัด (เครดิตบูโร)
- ร่วมกับส่วนราชการต้นสังกัด หัก ณ ที่จ่าย ควบคุมยอดหนี้ไม่ให้เกินความสามารถในการชำระหนี้ของสมาชิกสหกรณ์ ให้มีเงินเดือนเหลือไม่น้อยกว่า 30%
- สร้างระบบพัฒนาดูแลสมาชิก ให้ความรู้เสริมสร้างวินัยและการวางแผนทางด้านการเงิน การสร้างอาชีพเสริม ลดรายจ่าย เพิ่มการออม ไม่ก่อหนี้เพิ่ม
“จากปณิธานและความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันระดมสมองในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ทำให้กล้าคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนี้ของครูจะหมดไปภายในไม่เกินสิบปีข้างหน้านี้”
สำหรับการประชุมครั้งนี้ มีผู้บริหารภายนอก ศธ. และ สอ.ครู ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชี้แจงในประเด็นและแนวทางต่าง ๆ อาทิ
- ประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสมุทรปราการและกำแพงเพชร ให้แนวทางเกี่ยวกับแผนการแก้ไขหนี้สินครู เพื่อเป็นแนวทางและถอดบทเรียนในการบริหารจัดการของสหกรณ์ออมทรัพย์ครู โดยแบ่งลูกหนี้และมาตรการช่วยเหลือเป็น 4 กลุ่ม (เงินเดือนติดลบ, เงินเดือนไม่พอใช้ 1,000 บาท หรือน้อยกว่า 30%, เงินเดือนเหลือเกิน 30%, ไม่มีหนี้)
- ผู้แทนจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ให้แนวทางการบริหารและจัดเก็บฐานข้อมูลหนี้สิน โดยการสนับสนุนข้อมูลจากเครดิตบูโร
- นายประเสริฐ บุญเรือง ประธาน สอ.ครูบุรีรัมย์ ขอให้คณะกรรมการฯ เร่งหาแนวทางในการผลักดันการใช้หุ้นสหกรณ์ ให้สามารถนำมาชำระเงินกู้ได้