ข่าว ศธ. 360 องศา

กระทรวงศึกษาธิการ จับมือกระทรวงแรงงาน MOU ส่งเสริมการศึกษาและการมีงานทำให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ

กระทรวงศึกษาธิการ จับมือกระทรวงแรงงาน MOU ส่งเสริมการศึกษาและการมีงานทำให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ

(19 มกราคม 2565) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษาและการมีงานทำให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ ณ ห้องประชุมราชวัลลภ

โดยนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายสุทธิชัย จรูญเนตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยหลังพิธีลงนามความร่วมมือว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้กำหนดนโยบายการจัดการศึกษาซึ่งมีผู้เรียนเป็นเป้าหมายแห่งการพัฒนา โดยให้ผู้เรียนมีวิธีคิดและทักษะที่เป็นสากล สอดคล้องกับศตวรรษที่ 21 ควบคู่ไปกับสำนึกและความเข้าใจในความเป็นไทย ผ่านการมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี ทั้งในเชิงโครงสร้างและในเชิงการเรียนรู้ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการศึกษาให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพในทุกมิติให้กับผู้เรียนทุกช่วงวัย การศึกษาเพื่ออาชีพ ตลอดจนสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อให้ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาและอาชีวศึกษา มีอาชีพ และรายได้ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพ และคุณภาพชีวิตที่ดี มีส่วนช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้

ทั้งนี้ การพัฒนาทักษะทางอาชีพ ส่งเสริมการจัดการศึกษาที่เน้นพัฒนาอาชีพของผู้เรียนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างอาชีพและรายได้ที่เหมาะสม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ การพัฒนาการจัดทำฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ (Big Data) เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานนโยบายที่เป็นวาระเร่งด่วน สอดคล้องกับเป้าหมายของการลงนามความร่วมมือที่จะบูรณาการภารกิจการทำงานร่วมกันในครั้งนี้

ขอบคุณกระทรวงแรงงาน ที่เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ทักษะฝีมือที่ตรงกับความต้องการ เป็นการสร้างความเข้มแข็งเพื่อให้ก้าวเดินและเติบโต โดยมีทักษะในการประกอบอาชีพฝีมือที่ได้มาตรฐานตรงกับความต้องการของสถานประกอบกิจการ พร้อมร่วมกันในการพัฒนาประเทศต่อไป

 data-attachment-id=

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมพัฒนาทักษะทางอาชีพ ส่งเสริมการมีงานทำ และให้ความสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในวัยกำลังแรงงานที่จะต้องได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือให้สูงขึ้น สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้ความสามารถ และทักษะฝีมือที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ

ทั้งสองหน่วยงานจึงขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวโดยใช้แนวทางประชารัฐในการสร้างความร่วมมือ โดยจะร่วมกันพัฒนาระบบฐานข้อมูล (Big Data) ด้านอุปสงค์/อุปทานของตลาดแรงงาน เพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาพัฒนาทักษะทางอาชีพและการมีงานทำ จัดฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้แก่บุคลากรและครูผู้สอน เพื่อนำความรู้ไปขยายผลให้แก่นักเรียน นักศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และแรงงานทุกระดับ พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมฝีมือแรงงานไปสู่การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติและการประเมินความรู้ความสามารถ ร่วมกันจัดการแข่งทักษะฝีมือระดับภูมิภาค ระดับประเทศ ระดับอาเซียน และระดับนานาชาติ เผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีงานทำ การคุ้มครองแรงงาน และด้านประกันสังคม เป็นต้น

ทั้งนี้ ช่วงปี 2562-2564 กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจัดฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติให้นักศึกษาอาชีวศึกษาปีสุดท้ายในหลักสูตร เช่น ช่างเขียนแบบเครื่องกลด้วยคอมพิวเตอร์ ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ช่างเชื่อม พนักงานการใช้คอมพิวเตอร์ เป็นต้น มีผู้ผ่านการฝึกอบรมและทดสอบฯ ทั้งสิ้น 23,891 คน รวมทั้งส่งเสริมให้สถานศึกษาเป็นศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน 114 แห่ง และศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถอีก 16 แห่ง นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ โดยมีผู้ผ่านการฝึกอบรม 1,178 คน

ดังนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้จะมีส่วนสนับสนุนให้ภารกิจที่จะดำเนินการในปี 2565 และปีต่อไปบรรลุเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น สามารถแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานคุณภาพ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพได้อย่างแท้จริง

 data-attachment-id=
Top