ไทยแช่แข็งน้ำเชื้อเต่าทะเลครั้งแรกในโลก

 src=

 

 src=

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แถลงความสำเร็จในการรีดเก็บน้ำเชื้อเต่าทะเลและทำน้ำเชื้อแช่เย็นและทำน้ำเชื้อแช่แข็งเป็นครั้งแรกในโลก

 src=

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แถลงความสำเร็จในการรีดเก็บน้ำเชื้อเต่าทะเลและทำน้ำเชื้อแช่เย็นและทำน้ำเชื้อแช่แข็งเป็นครั้งแรกในโลก

ภาพประกอบข่าว

ปริมาณการวางไข่ของเต่าทะเลทุกชนิด ทั้งในฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ลดลงอย่างเห็นได้ชัด นักวิจัยม.เกษตรศาสตร์ผสานทุกความรู้เพื่ออนุรักษ์ไว้ นักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประสบความสำเร็จ ในการรีดเก็บน้ำเชื้อเต่าทะเลโดยวิธีกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า รวมทั้งตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำเชื้อและทำน้ำเชื้อแช่เย็น ซึ่งเก็บรักษาน้ำเชื้อได้นานกว่า 4 วัน

ต่อมาได้ขยายความคืบหน้าสู่การทำน้ำเชื้อแช่แข็งได้เป็นครั้งแรกในโลก ความรู้นี้จะเป็นฐานข้อมูลเกี่ยวกับน้ำเชื้อเต่าทะเลในประเทศไทย เพื่อต่อยอดการผสมเทียมในอนาคต

เต่าทะเลที่พบในไทยมี 5 ชนิด ได้แก่ เต่ามะเฟือง เต่าตนุ เต่ากระ เต่าหญ้าและเต่าหัวฆ้อน ในการวิจัยเลือกใช้เต่าหญ้าและเต่ากระ โดยเต่าหญ้ามีอสุจิทั้งหมด 40.9 ล้านตัว (อยู่ในช่วง 1.2 ถึง 82.4 ล้านตัวต่อการหลั่ง 1 ครั้ง) เต่า จำนวนอสุจิทั้งหมด 1,510 ล้านตัว 

 ปัจจุบันพบว่าปริมาณการวางไข่ของเต่าทะเลทุกชนิด ทั้งในฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน  มีจำนวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสาเหตุการลดลงของเต่าทะเลนั้น เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การล่า เพื่อเป็นอาหาร เครื่องประดับ การบาดเจ็บเหรือเสียชีวิตจากเครื่องมือประมง สภาพแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือสูญเสียพื้นที่สำหรับวางไข่จากการคุกคามของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นต้น

จากปัญหาดังกล่าว คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล  ชายฝั่งทะเล  และป่าชายเลน  จ.ภูเก็ต และ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอ่าวไทยฝั่งตะวันออก จังหวัดระยอง  กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเล

ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยการรีดเก็บน้ำเชื้อโดยวิธีกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า  การตรวจคุณภาพน้ำเชื้อในเต่าทะเล  การทำน้ำเชื้อแช่เย็นโดยสามารถเก็บรักษาน้ำเชื้อได้นานมากกว่า 4 วัน  

การศึกษารูปร่างอสุจิโดยใช้กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน และทำท้ำเชื้อแช่แข็งได้เป็นครั้งแรกในโลก    ความรู้นี้จะเป็นฐานข้อมูลขององค์ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับน้ำเชื้อเต่าทะเลในประเทศไทย และเพื่อต่อยอดการผสมเทียมเต่าทะเลในอนาคต

รศ.สพ.ญ.ดร.เกษกนก ศิรินฤมิตร กล่าวว่า ทางโครงการได้คัดเลือกเต่าทะเล 2 สายพันธุ์ คือ เต่าหญ้าและเต่ากระ เพศผู้ ซึ่งอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ จากสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายผั่งทะเล และป่าชายเลน จังหวัดภูเก็ต และ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก จังหวัดระยอง จากนั้นนำมาวัดขนาดกระดอง ชั่งน้ำหนัก และฉีดยาซึม   จากนั้นใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้ากระตุ้นในปริมาณไฟฟ้าต่ำๆ ให้อวัยวะเพศหลั่งน้ำเชื้อออกมา ซึ่งวิธีดังกล่าวมีการใช้ในสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ชนิดอื่น ๆ

จากนั้นนำน้ำเชื้อของเต่าไปตรวจคุณภาพโดยใช้สารละลายน้ำเชื้อที่เหมาะสมและใช้เทคนิคการย้อมสีน้ำเชื้อพิเศษเพื่อให้เห็นตัวอสุจิที่สมบูรณ์ พบว่า น้ำเชื้อเต่าหญ้า มีลักษณะค่อนข้างหนืด มีเมือกปน พบตัวอสุจิร่วมกับส่วนก้อนกลมเรียงติดกันเป็นกลุ่ม ๆ

ส่วนหัวของอสุจิ  มีลักษณะเรียวแหลม บิดเป็นเกลียว ลักษณะการเคลื่อนที่หมุนวนคล้ายเกลียวสว่าน มีปริมาตรน้ำเชื้อเฉลี่ย 1 มล. (อยู่ในช่วง 0.01 ถึง 2.2 มล.) การเคลื่อนไหวของอสุจิเฉลี่ย 28.25% (อยู่ในช่วง 0 ถึง 98%) ความเข้มข้นอสุจิ เฉลี่ย 67.3 ล้านตัวต่อ มิลลิลิตร (อยู่ในช่วง 11.5 ถึง 150 ล้านตัวต่อมิลลิลิตร) และจำนวนอสุจิทั้งหมด 40.9 ล้านตัว (อยู่ในช่วง 1.2 ถึง 82.4 ล้านตัวต่อการหลั่ง 1 ครั้ง)  

 จากนั้นนำน้ำเชื้อเต่าหญ้ามาทำการแช่เย็นพบว่า ภายหลังการแช่เย็นน้ำเชื้อยังมีชีวิตอยู่และเก็บรักษาได้นานกว่า 4 วัน และนำมาศึกษาลักษณะกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน รวมทั้งทำการแช่แข็งซึ่งพบว่าน้ำเชื้อเต่าหญ้าที่แช่แข็งยังมีชีวิตและมีการว่ายที่แข็งแรง

 ในส่วนน้ำเชื้อเต่ากระ พบว่าลักษณะตัวอสุจิคล้ายกับอสุจิของเต่าหญ้า มีปริมาณน้ำเชื้อประมาณ   4.4 มิลลิลิตร การเคลื่อนไหวของอสุจิประมาณ 60% ความเข้มข้นของอสุจิ 512 ล้านตัวต่อมิลลิลิตร และจำนวนอสุจิทั้งหมด 1,510 ล้านตัว

รศ.สพ.ญ.ดร.เกษกนก ศิรินฤมิตร กล่าวเสริมว่า ภารกิจต่อไปของโครงการ คือหาช่วงความสมบูรณ์พันธุ์ทั้งในเต่าเพศผู้และเพศเมีย โดยตรวจฮอร์โมนเต่าตลอดทั้งปีเพื่อ เพื่อการพัฒนาสู่การผสมเทียมต่อไปในอนาคต

แหล่งที่มาของข่าว : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ