โดย ปีเตอร์ ดับบลิว ดี ไรท์และพาเมล่า แดร์ ไรท์ (2003)
กฎหมายและกฎข้อบังคับต่างๆ
การตัดสินทางกฎหมาย
เพื่อช่วยให้การศึกษาของคุณเกี่ยวกับ IEP ว่า ควรจะมีอะไรรวมอยู่ใน IEP บ้าง เรารวบรวมจากกรณีที่เป็นจริง แต่ละกรณีที่เลือกจะแสดงให้เห็นถึงจุดเฉพาะเกี่ยวกับ IEP หลังจากคุณอ่านบทนี้แล้ว คุณจะมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับกฎหมายและ IEP (ในสหรัฐอเมริกา)
คณะกรรมการการศึกษาของเขตการศึกษากลางเฮนดริค ฮัดสันต่อกรณีโรว์เล่ย์ ในปี 1982
เมื่อศาลสูงสุด (ของสหรัฐอเมริกา)ได้รับฟังกรณีของเอมี่ โรว์เล่ย์ เธอเป็นเด็กหูหนวกที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่หนึ่ง เมื่อเอมี่เข้าเรียนชั้นเรียนที่หนึ่ง คุณพ่อคุณแม่ของเธอขอล่ามภาษามือให้เอมี่ แม้ว่าเอมี่จะสามารถอ่านริมฝีปากได้ คุณพ่อคุณแม่ก็ยังขอล่ามที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ให้เธอ
ศาลสูงสุดตัดสินว่า เอมี่ไม่ต้องการล่ามภาษามือเต็มเวลาในขณะนั้น พวกเขาลงความเห็นว่า เอมี่เป็น “เด็กที่ปรับตัวได้ดีอย่างเห็นได้ชัด” ซึ่งมีผลการเรียนได้ดีกว่าเด็กโดยเฉลี่ยในชั้นเรียนของเธอและมีความก้าวหน้าในการเรียนจากระดับชั้นหนึ่งขึ้นไปยังอีกระดับชั้นหนึ่งโดยไม่ยากลำบาก ซึ่งถ้าเธอไม่พิการ เอมี่จะแสดงผลการเรียนได้ดีมากกว่านี้เท่าที่เธอควรจะทำได้ ศาลลงความเห็นว่า กฎหมายไม่ได้ต้องการให้โรงเรียนของรัฐให้ทุกๆ บริการพิเศษที่จำเป็นเพื่อจะทำให้เด็กพิการได้แสดงศักยภาพสูงสุด
บรรดาโรงเรียนของรัฐมักจะใช้การตัดสินกรณีของโรว์เล่ย์เป็นแนวในการปฏิเสธที่จะให้โปรแกรมช่วยเหลือเด็กที่มากกว่าการช่วยให้ก้าวหน้าในการเรียนจาก “ระดับชั้นหนึ่งไปสู่อีกระดับชั้นหนึ่ง”
ทั้งบ่อยอีกทีเดียว โรงเรียนจะลดความคาดหวังในตัวเด็กที่เรียนการศึกษาพิเศษ ทำหลักสูตรให้ง่ายขึ้นและ “ส่งเสริมทางสังคม” ให้กับเด็กๆ แทน ดังนั้น พวกเขาจะพากันคิดว่า เพราะว่าเด็กๆ ก็เรียนก้าวหน้าจากระดับชั้นหนึ่งไปยังอีกระดับชั้นหนึ่งแล้ว นี่ย่อมพิสูจน์ว่า เด็กๆ ไม่ต้องการบริการที่เข้มข้นมากขึ้น รวมทั้งการช่วยรักษาในการอ่าน การเขียนและการคิดคำนวณ
“ผลประโยชน์ทางการศึกษา” มากเท่าไรจึงจะเพียงพอ
ในกรณีของโรว์เล่ย์ ศาลสูงสุดลงความเห็นว่า IEP ของเด็กควรจะ “ใคร่ครวญอย่างสมเหตุสมผลแล้ว” เพื่อที่จะให้เด็กสามารถได้รับ “ผลประโยชน์ทางการศึกษา” ตั้งแต่คดีโรว์เล่ย์ถูกพิจารณาตัดสินในปี 1982 คุณพ่อคุณแม่และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนมักตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับ “ผลประโยชน์ทางการศึกษา” ว่า เท่าไรจึงจะ “เพียงพอ” ศาลได้พบว่า เด็กๆ ที่บกพร่องจะมีความต้องการเฉพาะของแต่ละคน การตัดสินใจเกี่ยวกับ “มากเท่าไรจึงจะเพียงพอ” ต้องถูกพิจารณาโดยพื้นฐานเป็นกรณีไป
คะแนนทดสอบมาตรฐานของเอมี่ โรว์เล่ย์อยู่ที่ระดับ 70-80 % เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนในกลุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่คะแนน 50% ในการทดสอบ เธอทำคะแนนได้เกรดระดับ 2-4 เหนือเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน
บางครั้ง เรื่องที่ตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการศึกษาถูกเรียกว่าเป็นข้อพิพาทของ “รถคาดิลแลคและรถเชฟโรเลต” ในกรณีของโรว์เล่ย์ ศาลสูงสุดตัดสินให้เด็กได้รับการศึกษาที่เหมาะสม ซึ่งเทียบกับการได้รถเชฟโรเลต แต่ไม่ใช่เอาเงินซื้อการศึกษาที่ดีที่สุดซึ่งเทียบได้กับการได้รถคาดิลแลค อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รัฐโอไฮโอคนหนึ่งลงความเห็นว่า เด็กคนนั้นถูกตัดสินให้ได้รถเชฟโรเลต แต่เขตการศึกษาให้เขาเพียงมะนาวผลเดียว!
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
งจาก Your Child’s IEP: Practical and Legal Guidance for Parents by Peter W.D. Wright and Pamela Darr Wright (2003) จาก http://www.ldonline.org
แปลและเรียบเรียงโดย : พรรษชล ศรีอิสราพร ส่วนสื่อการศึกษาเพื่อคนพิการ ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา http://www.braille-cet.in.th
