‘อิสลามศึกษาโมเดล’กับการสอนคุณธรรมในโรงเรียน
ฟาฏินา วงศ์เลขา
ปัญหาวิกฤติของสังคมไทยในยุคกระแสโลกาภิวัตน์คือ ปัญหาคุณธรรม จริยธรรม ที่มีการพูดถึงกันมากมาย บ่อยครั้งที่เราได้พบเห็นข้อมูลข่าวสารหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบุคคลผ่านสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาเสียดสีด่าทอด้วยคำหยาบคาย การสาดโคลนใส่กัน การเสียบบัตรแทนกันของนักการเมืองไทยในรัฐสภาคลิปฉาวของนักเรียนวัยรุ่นที่ออกมาแพร่หลายในเครือข่ายสังคมทางอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่ล่าสุดที่เป็นข่าวอยู่ในกระแสคือ “โกหกสีขาว” หรือ “White Lie”ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั่นเอง
ปัจจุบันมีหลายกลุ่มคนได้เรียกร้องให้มีการนำ ‘วิชาศีลธรรม” กลับเข้ามาบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักสูตรระดับขั้นพื้นฐานตั้งแต่ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาซึ่งระดับประถมศึกษาเป็นช่วงวัยที่จำเป็นต้องปูพื้นฐานที่ดีให้กับผู้เรียน อีกทั้งเป็นช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อในระดับมัธยมศึกษา
ศีลธรรมเป็นชื่อวิชาหนึ่งในโรงเรียนที่กำหนดให้นักเรียนทุกคนต้องเรียนมาตั้งแต่สมัยโบราณเรียกว่า ‘วิชาศีลธรรม” แต่ปัจจุบันเรียกว่า ‘วิชาพระพุทธศาสนา” แต่กรณีที่นักเรียนนับถือศาสนาอิสลามก็จะได้เรียน ‘วิชาอิสลามศึกษา” ซึ่งศาสนานับว่าเป็นวิชาที่สำคัญและมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตเป็นอันมาก เป็นความจำเป็นชนิดที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยทีเดียว
ศาสนาถือเป็นกฎเกณฑ์เบื้องต้นของการอยู่ร่วมกันในสังคม เป็นหลักประกันสังคมที่สำคัญแห่งความสุข เพราะสังคมจะเกิดความสงบน่าอยู่ หากเพื่อนร่วมสังคมมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ร่วมกัน เช่น ไว้วางใจกันได้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ไม่เบียดเบียน ไม่ทะเลาะ ไม่กดขี่ข่มเหง ไม่เอารัดเอาเปรียบกันซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากการที่สมาชิกของสังคมยึดมั่นอยู่ในหลักธรรมคำสอนของศาสนา
อิสลามศึกษาได้เข้ามาในโรงเรียนเกือบ 40 ปีมาแล้ว ในช่วงแรกจัดสอนเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีนักเรียนนับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 50 ขึ้นไป แต่ปัจจุบันมีการเปิดกว้างโดยได้บรรจุอยู่ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จึงถือเป็นหน้าที่ของสถานศึกษาทั่วประเทศต้องจัดการเรียนการสอนอิสลามศึกษาให้กับผู้เรียนที่นับถือศาสนาอิสลาม
การจัดการเรียนการสอนอิสลามศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางฯ มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจ มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยม ที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตนตามหลักธรรมศาสนาที่ตนนับถือ โดยกำหนดให้เรียน 80 ชั่วโมงต่อปี หรือ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยจัดเป็นรายวิชาพื้นฐาน 40 ชั่วโมง และรายวิชาเพิ่มเติมตามความพร้อมและจุดเน้นอีก 40 ชั่วโมงต่อปี
ผู้เรียนที่เรียนวิชาอิสลามศึกษาในโรงเรียน ต้องมีสมรรถนะสำคัญเพิ่มเติม จากผู้เรียนคนอื่น ๆ คือ มีความสามารถในการอ่านอัล-กุรฺอาน เนื่องจากอัล-กุรฺอานเป็นธรรมนูญแห่งการดำเนินชีวิตมีความจำเป็นต่อมุสลิมทุกคนที่จะต้องเรียนรู้เพื่อนำไปปฏิบัติและยัง ต้องมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติม คือ รักการอ่านอัล-กุรฺอาน รักการละหมาด รักความสะอาด มีมารยาทแบบอิสลาม และมีความรับผิดชอบ
หลายท่านคงเกิดความสงสัยว่า สถานศึกษาจะจัดสอนอิสลามศึกษาได้อย่างไรในเมื่อโรงเรียนไม่มีครูที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะสอนวิชาเฉพาะที่มีความละเอียดอ่อนอย่างมาก ซึ่งในส่วนของผู้สอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร หรือสังกัดเทศบาล ล้วนเปิดโอกาสให้สถานศึกษาที่เปิดสอนได้เลือกสรรผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมาสอนที่เรียกว่า ‘วิทยากรอิสลามศึกษา” โดยมีการจัดสรรงบประมาณค่าตอบแทนให้เป็นรายชั่วโมง
ในส่วนของ สพฐ. นั้น ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นวิทยากรอิสลามศึกษา คือ มีวุฒิปริญญาตรีทางศาสนาอิสลามที่หน่วยงานของรัฐรับรอง หรือวุฒิปริญญาตรีสาขาอื่น แต่มีวุฒิทางศาสนาอิสลามไม่ต่ำกว่าระดับอิสลามศึกษาตอนปลายหรือษานะจากวียะฮฺ ปัจจุบันจ่ายค่าตอบแทนให้ชั่วโมงละ 200 บาท แต่ละคนสอนได้ไม่เกิน 16 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งสามารถสอนในโรงเรียนเดียวหรือสอนหลายแห่งก็ได้
นอกจากการจัดการเรียนการสอนอิสลามศึกษา 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ตามหลักสูตรแกนกลางฯ แล้ว ปัจจุบันยังมีการจัดการเรียนการสอนวิชาสามัญควบคู่ศาสนาอิสลามหรือที่เรียกว่า “หลักสูตรอิสลามศึกษาแบบเข้ม” ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการให้สถานศึกษาสามารถจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการและอัตลักษณ์ของชุมชน
หลักสูตรอิสลามศึกษาแบบเข้มกำหนดให้เรียน 8-10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์แต่ผู้เรียนต้องเพิ่มเวลาเรียนเพียงวันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากมีการบูรณาการโครงสร้างเวลาเรียนกับหลักสูตรแกนกลางฯ และเมื่อผู้เรียนจบหลักสูตรจะได้รับวุฒิการศึกษาทั้งด้านสามัญและศาสนา ขณะนี้มีโรงเรียนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา เขต 3 และสตูล เข้าร่วมโครงการ 350 แห่ง
หลักสูตรอิสลามศึกษาแบบเข้มนับเป็นหลักสูตรที่สนองตอบความต้องการที่แท้จริง และคิดว่าในอนาคตการจัดการศึกษาในลักษณะเช่นนี้จะต้องขยายผลออกไปยังพื้นที่อื่น ๆ ด้วย เนื่องจากเป็นการจัดการศึกษาที่ผู้ปกครองเกิดความพึงพอใจและเป็นที่ยอมรับของชุมชนท้องถิ่นเป็นอย่างมาก
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนอิสลามศึกษาที่กล่าวมาน่าจะเป็น “โมเดล” ในการจัดการศึกษาเพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่สังคมไทยต้องการให้เกิดขึ้นกับเด็กและซึ่งเยาวชนไทย ก่อนที่สังคมไทยจะเกิดวิกฤติทางคุณธรรมจริยธรรมยิ่งไปกว่าที่เป็นอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้.
–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 2 ต.ค. 2555 (กรอบบ่าย)–