ปลัด ศธ. “สุเทพ” เป็นประธานเปิดงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” 2568 เน้น “ส่งเสริมกลุ่มเปราะบาง ทำงานเชิงรุก และผลิตสื่อกระชับ ชัดเจน ตรงเป้าหมาย”

8 กันยายน 2568/นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ประจำปี 2568 ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร

วันที่ 8 กันยายนของทุกปี นับเป็นวันสำคัญยิ่ง ที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้กำหนดให้เป็น “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ตามมติที่ประชุมรัฐมนตรีศึกษาโลกว่าด้วย “การขจัดการไม่รู้ หนังสือ”
ณ ประเทศอิหร่าน เมื่อปี พ.ศ. 2508 และได้ประกาศเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเป็นครั้งแรก

ในปี พ.ศ. 2509 เพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการรู้หนังสือและความท้าทายจากปัญหาการไม่รู้หนังสือที่ส่งผลต่อการพัฒนาสังคม ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกยูเนสโก ได้เข้าร่วมการเฉลิมฉลองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 โดยกองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น และได้สืบสานการจัดกิจกรรมมาโดยต่อเนื่องจนปัจจุบัน

สำหรับปี 2568 กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้กำหนดจัดงาน ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์แห่งนี้ ภายใต้แนวคิด “การส่งเสริมการรู้หนังสือในยุคดิจิทัล” เพื่อสะท้อนความสำคัญของการปรับตัวด้านการเรียนรู้ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัล โดยมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย คณะผู้แทนจากสำนักงานยูเนสโก้ส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ภาคีเครือข่ายด้านการศึกษา คณะผู้บริหารและบุคลากรกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดจนผู้เข้ารับรางวัลประกาศเกียรติคุณ ประจำปี 2568 รวมทั้งสิ้นกว่า 400 คน

ในการเปิดงานครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา สำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพมหานคร (คุณริกะ โยโรส) มาร่วมอ่านสารของผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก และปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้อ่านสารนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสดังกล่าว มีใจความสำคัญว่า

…๘ กันยายนของทุกปี เป็น “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรู้หนังสือ และการศึกษาเพื่อการพัฒนาบุคคล ชุมชนและสังคมของทุกประเทศทั่วโลก โดยในปีนี้ องค์การยูเนสโก ได้กำหนดแนวคิดหลัก “Promoting Literacy in the Digital Era” หรือ “การเสริมการรู้หนังสือในยุคดิจิทัล” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งของการเตรียมความพร้อมให้ประชาชนสามารถพัฒนาทักษะพื้นฐานด้านการรู้หนังสือควบคู่กับทักษะด้านดิจิทัล เพื่อให้สามารถมีส่วนร่วมอย่างมีความรับผิดชอบในโลกยุคใหม่

การรู้หนังสือในศตวรรษที่ 21 ต้องสามารถนำพาแต่ละบุคคลให้เข้าถึง วิเคราะห์และสื่อสารข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเปิดรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านสื่อดิจิทัล แม้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล นำมาทั้งโอกาสและความท้าทาย หากปราศจากการเข้าถึงและทักษะที่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดช่องว่างทางโอกาสและการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน การพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัยให้มีศักยภาพเพื่อเป็นพลังในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะการส่งเสริมการรู้หนังสือซึ่งถือเป็นพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของประชาชนทุกคน

รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการศึกษาและการใช้นวัตกรรมทางการศึกษาเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานเหมาะสำหรับผู้เรียนในทุกช่วงวัย รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานติจิทัลควบคู่กับการสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อลดช่องว่างทางการศึกษา ทำให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และสามารถใช้สื่อดิจิทัลกับการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด อันจะช่วยให้ประชาชนทุกคนได้เพิ่มพูนศักยภาพของตนเองสามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ ตลอดจนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ นวัตกรรมสร้างความสามารถในการแข่งขัน

ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงก้าวหน้าสืบไป เนื่องในโอกาส “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ประจำปี 2568 ผมขอส่งความปรารถนาดีมายัง ครู ผู้เรียนและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจด้านการส่งเสริมการศึกษาเพื่อการรู้หนังสือ พร้อมทั้งขอเชิญชวนทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ ตลอดจนพี่น้องประชาชนทุกคนร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการกิจการสร้างโอกาสแห่งการรู้หนังสือ เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืนตลอดไป…

ปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวในพิธีการเปิดงานว่า “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” เพื่อย้ำเตือนประชาคมโลก ถึงความสำคัญของการรู้หนังสือในฐานะที่เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นรากฐานของการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาที่ยังยืน และสันติภาพในสังคมในบริบทของโลกยุคใหม่

แม้เทคโนโลยีจะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการเข้าถึงความรู้ แต่ก็ยังมีความท้าทายในการลดช่องว่างและการกีดกันช้ำช้อน โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรชายขอบและผู้ที่ยังขาดทักษะการรู้หนังสือขั้นพื้นฐานในบริบทของโลกยุคใหม่ การรู้หนังสือไม่ได้หมายถึงเพียงการอ่านออกเขียนได้ ในความหมายแบบดั้งเดิมเท่านั้น หากแต่รวมถึงความสามารถในการเข้าถึง เข้าใจ และใช้ข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะผ่านสื่อดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ จึงกล่าวได้ว่า “การรู้หนังสือในยุคดิจิทัล” คือทักษะจำเป็นของพลเมืองโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังและทั่วถึง

กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความท้าทายดังกล่าว จึงได้กำหนดนโยบายและมุ่งส่งเสริมการรู้หนังสือในทุกมิติ โดยเฉพาะการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้การยกระดับทักษะของครูและผู้เรียน การจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ยืดหยุ่น ทันสมัย และเข้าถึงผู้เรียนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม โดย กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้ดำเนินกิจกรรม”วันที่ ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ”มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2510 ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จากสำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพฯ ผู้บริหารและบุคลากรในสังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ทั่วประเทศ ตลอดจนภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่ได้ผนึกกำลังกันในการส่งเสริมการรู้หนังสือของประชาชน และในโอกาสนี้จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันผนึกพลังเพื่อให้การรู้หนังสือในยุคดิจิทัล เป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยทุกคนต่อไป

นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ในอดีตที่ผ่านมาเราเคยได้รับฟังว่า คนไทยอ่านหนังสือไม่เกินปีละ 8 บรรทัด เป็นอะไรที่สะท้อนว่า คนไทยเราไม่สนใจอ่านหนังสือขนาดนั้นหรือ…แต่ในข้อเท็จจริงนั้น ในการสำรวจเมื่อปี 2567 มีข้อมูลพบว่าอัตราการรู้หนังสือของคนไทยเพิ่มขึ้น 98.83% ซึ่งขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นของกลุ่มประเทศอาเซียน

ถ้าหากเรามาย้อนดูพฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนไทยแล้ว คนไทยส่วนใหญ่ปัจจุบันส่วนใหญ่ อ่านหนังสือจากกระดาษเฉลี่ยประมาณ 51.37 นาที/วัน แต่ว่าสิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็น คือ เราอ่านหนังผ่านสื่อออนไลน์เฉลี่ยประมาณ 152.10 นาที/วัน แสดงให้เห็นได้ว่าพวกเราชอบอ่านหนังสือและหาความรู้ผ่านสื่อดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการจัดกิจกรรมในวันนี้ โดยเฉพาะสื่อต่าง ๆ ที่เป็นแพลตฟอร์มต่าง ๆ บนสื่อออนไลน์

ซึ่งในปัจจุบันนี้ กระบวนการเรียนรู้จะมีเรื่องของภาษามาร่วมด้วย ทั้งวัจนภาษา และอวัจนภาษา จึงไม่ได้สนับสนุนให้คนไทยอ่านหนังสืออย่างเดียว แต่ว่าเรามีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เราจะต้องไม่ลืม คือ กลุ่มผู้พิการ ซึ่งพวกเขาจะต้องเรียนรู้ผ่านทางสื่อต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้พิการทางสายตา ก็จะเป็นสื่ออักษรเบรลล์ ควรจะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ขาดโอกาสทางการศึกษาให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่จะต้องส่งเสริมให้ตลอดชีวิต และเติบโตมาที่จะเรียนรู้ได้ จนถึงผู้สูงวัย

ทำอย่างไรให้ห้องสมุดประชาชนเข้าถึงประชาชนได้ทุกคนและทุกช่วงวัย จึงขอฝากประเด็นนี้ไว้กับพวกเราให้ทำหน้าที่ทั้งเชิงรุกและเชิงรับควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นการตั้งรับบริการที่ห้องสมุด หรือห้องสมุดเคลื่อนที่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสอดรับกับภารกิจของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ที่สำคัญในโลกยุคปัจจุบัน สื่อดิจิทัลมีความสำคัญอย่างยิ่ง สื่อยาว ๆ มักจะไม่ค่อยมีคนสนใจเท่ากับสื่อสั้น ๆ ดังนั้น ในเรื่องของการผลิตสื่อ ควรเน้นที่กลุ่มเป้าหมาย กระชับ ชัดเจนขึ้น เชื่อว่าพวกเราทุกคนมีความสามารถในการผลิตสื่ออยู่แล้ว จึงขอให้ดำเนินการต่าง ๆ สอดรับกับการเปลี่ยนของโลกและในศตวรรษที่ 21

สุกัญญา จันทรสมโภชน์ /สรุป กราฟิก
อินทิรา บัวลอย/ภาพ