ม.พะเยา สร้างต้นแบบการใช้ไฟฟ้าระบบสมาร์ทกริด
ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน “ไฟฟ้า” ได้กลายเป็นพลังงานที่มีความจำเป็นสำหรับมนุษย์อย่างมาก เพราะไม่ว่าจะการใช้ชีวิตประจำวัน อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ หรือการทำงานในแต่ละวัน ล้วนอาศัยพลังงานไฟฟ้าทั้งสิ้น เหตุนี้พลังงานไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่จึงนับวันจะลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ
มหาวิทยาลัยพะเยา (มพ) ภายใต้การนำของ ศ.พิเศษ ดร.มณฑล สงวนเสริมศรี อธิการบดี เป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่ตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า ล่าสุด มพ. ได้ลงนามความร่วมมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา ในการสร้างต้นแบบการใช้ไฟฟ้าระบบสมาร์ทกริด (Smart Grid) หรือระบบโครงข่ายสำหรับส่งไฟฟ้าอัจฉริยะแบบครบวงจรโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยมี รศ.ดร.วัฒนพงศ์ รักษ์วิเชียร คณบดีวิทยาลัยพลังงานและสิ่งแวดล้อม มพ. และตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมเป็นพยานในการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้
ผศ.ดร.ณภัทร จักรวัฒนา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพลังงานทดแทนและสิ่งแวดล้อม มพ. กล่าวถึงการลงนามความร่วมมือดังกล่าวว่า มพ เล็งเห็นความสำคัญในการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากขณะนี้ระบบผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 70% และก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยกำลังจะหมดไปในระยะเวลาไม่นานนี้แล้ว ทำให้เราต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่า ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก และสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศที่กำลังเริ่มเข้าขั้น วิกฤติหากไม่มีการคิดค้นศึกษาวิจัย หรือนำระบบพลังงานทดแทนมาใช้แทนก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติ
มหาวิทยาลัยซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ในการจัดทำงานวิจัยด้านพลังงานประมาณ 30 ล้านบาท โดยมหาวิทยาลัยได้ในจัดทำระบบพลังงานไฟฟ้าสมาร์ทกริด (Smart Grid) ภายในมหาวิทยาลัย 500 กิโลวัตต์ ซึ่งการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นการดำเนินการระยะที่ 2 ในการขยายพลังงานไฟฟ้าระบบสมาร์ทกริดสู่ชุมชน จ.พะเยา โดยในส่วนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเป็นสนับสนุนด้านเทคนิค เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ โดยในอนาคตจะมีความร่วมมือกับทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยาเพิ่มอีกด้วย
“มพ ต้องการสร้างระบบสมาร์ทกริดต้นแบบขึ้นใน จ.พะเยา โดยเริ่มใช้ในมหาวิทยาลัย ซึ่งระบบสมาร์ทกริด เป็นระบบสายส่งไฟฟ้าอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกัน และสามารถควบคุมการใช้พลังงานด้วยระบบไอที ทำให้การส่งไฟฟ้าระหว่างผู้ใช้ และผู้ผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสูญเสียการส่งไฟฟ้าโดยสิ้นเปลือง และลดค่าไฟได้จำนวนมาก โดยมหาวิทยาลัยเอง แม้ไม่มีปัญหาในการส่งกระแสไฟฟ้า แต่ปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าในแต่ละเดือนค่อนข้างมาก ค่าไฟฟ้าประมาณ 1 ล้านกว่าบาทต่อเดือน ซึ่งระบบไฟฟ้าสมาร์ทกริดนี้จะช่วยประหยัดค่าไฟได้มากขึ้น” ผศ.ดร.ณภัทร กล่าว
สำหรับระบบสมาร์ทกริด เป็นระบบโครงข่ายสำหรับส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอที มาบริหารจัดการควบคุมการผลิตส่ง และจ่ายพลังงานไฟฟ้า ทำให้ใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบสมาร์ทกริด สามารถตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าได้ตามเวลาจริง (Real Time) ของแต่ละครัวเรือนได้ จุดไหนใช้ไฟฟ้ามากหรือน้อย ทำให้ช่วยคำนวณการแจกจ่ายกระ
แสไฟของแต่ละพื้นที่ได้
ระบบสมาร์ทกริด เกิดขึ้นเนื่องจากแนวโน้มของโลกที่หันมาใช้พลังงานสะอาดจากพลังงานแสงอาทิตย์จากการติดตั้ง เซลล์แสงอาทิตย์ พลังงานลมจากกังหัน ในการผลิตกระแสไฟฟ้า เมื่อผลิตได้เกินความต้องการในขณะนั้น จึงต้องมีการจัดเก็บไว้เพื่อนำมาใช้ในระบบช่วงเวลาที่ต้องการอีกครั้ง ระบบสมาร์ทกริดจึงเข้ามาช่วยบริหารจัดการ จัดเก็บ และจัดสรรการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และช่วยในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
“ในประเทศไทยยังเป็นเพียงระบบนำร่องในบางหน่วยงาน เป็นการทดลองใช้ ยังไม่ได้ใช้อย่างจริงจังและแพร่หลาย เนื่องจากเป็นระบบใหม่ แต่หากมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้น คาดว่าระบบนี้จะใช้มากขึ้น ซึ่งการวิจัยระบบสมาร์ทกริดของมหาวิทยาลัยถือเป็นต้นแบบในการนำระบบสมาร์ทกริดมาใช้จริง โดยจัดทำระบบสมาร์ทกริดอย่างเต็มรูปแบบ มีการจัดทำระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบไอทีคอนโทรล สมาร์ทโฮม ติดตั้งสมาร์ทมิเตอร์เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผ่านการศึกษาทดลองวิจัยจนระบบใช้ได้จริง มีความเสถียร และในอนาคตเมื่อมหาวิทยาลัยวิจัยสำเร็จ ก็จะเป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดองค์ความรู้ไปทั่วจ.พะเยา ก่อนจะขยายไปสู่ในระดับประเทศ”
ผศ.ดร.ณภัทร กล่าวต่อว่า ระบบนี้จะเป็นอนาคตของโลก เพราะทำให้เรามีการผลิต มีการใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ลดการสูญเสีย ลดใช้พลังงานไฟฟ้า และหันมาใช้พลังงานทดแทนโดยต่อเข้ากับระบบไฟฟ้าได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนั้น การที่มหาวิทยาลัยได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่จัดระบบสายส่ง ได้มีแผนต้องการเพิ่มระบบสมาร์ทกริดมากขึ้น การที่นักวิจัย อาจารย์ และนักศึกษาได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องดังกล่าวก็เท่ากับว่า เป็นการศึกษาวิจัยที่นำไปสู่การปฏิบัติ ก่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นจริง ไม่ใช่งานวิจัยอยู่ในหิ้ง หรือในตำราอย่างเดียว