ทีมวิจัยจากภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โชว์เครื่องต้นแบบระบบสแกนม่านตาสำหรับใช้ยืนยันตัวบุคคล หลังทดสอบพบค่าความผิดพลาดจดจำเพียงเศษเสี้ยว ตั้งเป้าใช้ทดแทนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่ลายนิ้วมือที่มีโอกาสถูกลอกเลียนแบบได้
นายจิรายุทธ ศรีชลเพ็ชร ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) และทีมวิจัยประสบความสำเร็จพัฒนาเครื่องสแกนม่านตา โดยมีค่าความผิดพลาดในการรู้จำเพียง 1.4 คนจาก ตัวอย่างม่านตา 1 หมื่นตัวอย่าง หรือคิดเป็น 0.0014 % เท่านั้น น้อยกว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดอื่นที่ใช้กันทั่วไป แม้แต่ลายพิมพ์นิ้วมือที่อาจถูกลอกแบบไปใช้งานได้
ระบบจดจำม่านตา เป็นเทคโนโลยียืนยันความถูกต้องของตัวบุคคลที่เริ่มนำมาใช้งานจริงในหลายสถานที่ เช่น สถานทูต กองหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต สนามบิน ตลอดจนสถานที่ป้องกันความปลอดภัยสูง
การทำงานของระบบจดจำบุคคลด้วยม่านตาเริ่มจากการเก็บภาพตัวอย่างม่านตา โดยบันทึกด้วยกล้องและแสงอินฟราเรดที่ไม่เป็นอันตรายถ่ายภาพม่านตาเก็บไว้ จากนั้นจึงนำเฉพาะลวดลายของม่านตาที่เป็นเอกลักษณ์ มาเข้ารหัสเพื่อเก็บข้อมูลไว้ในระบบ ส่วนการตรวจสอบเพื่อยืนยันตัวบุคคลทำได้โดยเปรียบเทียบภาพม่านตาของตัวเจ้าของกับภาพที่เก็บไว้ในฐานข้อมูล
นักวิจัย กล่าวว่า ระบบดังกล่าวยังจำเป็นต้องปรับปรุงโปรแกรมการทำงานและระบบให้ใช้ได้ง่ายขึ้น เช่น การรับภาพของม่านตา เพื่อการทำงานที่แม่นยำสูงสุด
“การนำลักษณะเฉพาะบุคคล หรือลักษณะเด่นที่มีอยู่ในตัวบุคคลมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับยืนยันตัวบุคคล จะลดปัญหาการขโมยข้อมูล เช่น รหัสผ่าน หมายเลขบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่ลายนิ้วมือได้ จากงานวิจัยของนักคณิตศาสตร์ต่างประเทศพบว่า โอกาสที่ม่านตาคนเราจะเหมือนหรือคล้ายกันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” ผู้ร่วมทีมวิจัย กล่าว
เครื่องสแกนม่านตาที่ห้องปฏิบัติการประมวลผลสัญญาณและภาพเกษตรศาสตร์ (KSIP) พัฒนาขึ้นนี้ ได้รับทุนวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติในปี 2546 ถึงปี 2549 ภายใต้โครงการไบโอเมทริกส์ และฮาร์ดแวร์ระบบประมวลผล
ปัจจุบันเก็บตัวอย่างไปแล้วจำนวน 1920 ภาพม่านตา พบค่าความผิดพลาดในการรู้จำเพียง 0.0014% เท่านั้น หากวิจัยและพัฒนาสำเร็จ คาดว่าคนไทยจะมีทางเลือกด้านระบบการยืนยันตัวบุคคลได้มากขึ้นไม่ต่างจากต่างประเทศ ที่ผ่านมาโรงพยาบาลในสหรัฐนำไปใช้สแกนม่านตาของพ่อและแม่เพื่อมารับลูกหลังคลอด ป้องกันปัญหาขโมยเด็ก
“ทีมวิจัยพัฒนาเครื่องสแกนม่านตาด้วยต้นทุนต่ำกว่าของต่างประเทศครึ่งหนึ่ง และยังไม่มีคู่แข่งในประเทศ หากพัฒนาสำเร็จอาจมีความเป็นไปได้สูงที่จะพัฒนาเชิงพาณิชย์ หรือถึงขั้นส่งออกจำหน่ายต่างประเทศก็ได้” นักวิจัย กล่าว
ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com