นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” พร้อมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยพลังของนิสิตนักศึกษา ร่วมกับสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 2 เมื่อวันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี ม.ร.ว. ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานมูลนิธิรากแก้ว, นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ตลอดจนคณาจารย์ และนิสิตนักศึกษา เข้าร่วมงาน
ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานมูลนิธิรากแก้ว กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้แก่ประชาชนชาวไทยนั้น เป็นหลักปรัชญาที่เป็นที่ประจักษ์ทั้งในหมู่ประชาชนชาวไทยและนานาประเทศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต โดยมุ่งหวังให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในช่วงที่ผ่านมา สามารถทำได้ในระดับหนึ่ง รัฐบาลจึงได้เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (พ.ศ.2557-2560) เพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน จนถึงระดับรัฐ และเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายของหลักการดังกล่าว สถาบันการศึกษาถือเป็นกลไกที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนทั้งในด้านองค์ความรู้ บุคลากร พลังนิสิตนักศึกษา ในการสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งภารกิจเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างมีประสิทธิภาพจากกระทรวงศึกษาธิการ
นอกจากนี้ มูลนิธิรากแก้วในฐานะองค์กรที่มีพันธกิจในการสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพบนพื้นฐานของความเข้าใจปัญหาสังคม ได้ดำเนินงานร่วมกับทุกฝ่าย และพร้อมที่จะร่วมบูรณาการกับกระทรวงศึกษาธิการในการส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษามีจิตอาสา และร่วมพัฒนาชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
โดยที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการ “โครงการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยพลังนิสิตนักศึกษา” และได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ 4 สถาบันการศึกษา ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามหลักการที่กำหนด ซึ่งการดำเนินงานได้มุ่งเน้นการนำศาสตร์พระราชามาผสมผสานกับความรู้ทางเศรษฐกิจ ทฤษฏี และความรู้ทางภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยได้ดำเนินโครงการพัฒนาชุมชนจนบังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งกระทรวงมหาดไทย, จังหวัดที่เป็นพื้นที่เป้าหมาย และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
สำหรับการดำเนินงานในระยะต่อไป มูลนิธิรากแก้วมีแนวทางความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการในการขยายผลการขับเคลื่อนการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพิ่มขึ้นอีก 7 สถาบันการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, มหาวิทยาลัยพะเยา, มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และมหาวิทยาลัยทักษิณ โดยจะลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือของ 7 สถาบันการศึกษาดังกล่าว พร้อมทั้งส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการได้มีโอกาสนำเสนอผลการดำเนินงานและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันประสบการณ์ เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดและขยายผลแก่สาธารณชนต่อไป
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ กล่าวว่า งานมหกรรมพลังนิสิตนักศึกษาขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าและขยายผลไปไกลกว่าเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวคือ กิจกรรมนี้เป็นการวางรากฐานของอุปนิสัยที่ดีงาม (Character) ของนักเรียนนักศึกษา เพื่อให้เป็นพลเมืองที่ดีและมีทัศนคติที่ถูกต้อง ตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่10 โดยภาครัฐต้องร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษาร่วมกิจกรรมกับคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมจิตอาสาหรือโครงการต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนการรับใช้ชุมชน เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยพัฒนาอุปนิสัยที่ดีงามซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ได้ในห้องเรียนได้
รมว.ศึกษาธิการ ได้เน้นย้ำถึงการปลูกฝังให้เด็กทุกวัย รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ เนื่องจากปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตอยู่แล้ว อีกทั้งจะต้องสอนให้เด็กรู้จักคำว่า “พอเพียง” ด้วยการเรียนจากของจริง หรือเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ไม่ใช่เรียนจากคำที่เป็นนามธรรม
โดยต้องส่งเสริมให้เด็กได้มีประสบการณ์ความพอเพียงด้วยตนเอง อาทิ การสอนให้เด็กเล็กซึมซับความพอเพียงจากพ่อแม่ ไม่ใช่ให้เด็กนั่งจินตนาการว่าความพอเพียงคืออะไร หรือการดำเนินชีวิต เพราะเมื่อเด็กโตขึ้นก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในชุมชนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว จึงมีความจำเป็นต้องสอนให้เด็กรู้ว่าการใช้ชีวิตในสังคมจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร เป็นต้น
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
15/9/2560