สัญญาณ “ยาเสพติด” วิกฤติมหานคร!
เผยรัฐ-ชุมชนอ่อนแอ ส่งผลปัญหาฟื้นคืนอีกครั้ง
จากกรณีที่ ศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน (ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC ANCHOR POLL) ได้นำเสนอผลการสำรวจระหว่างวันที่ 2-7 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อประมาณการจำนวนผู้ใช้ยาเสพติดในยุคต้นรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสถานการณ์ปัญหาของประชาชนในชุมชนเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.)
ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างประชาชนอายุระหว่าง 12-65 ปี จาก 2,452 ครัวเรือน พบตัวเลข (ประมาณการตามหลักสถิติ)ประชาชนในกทม.กว่า 256,388 คน จาก 4,274,757 คน ใช้ยาเสพติดในช่วง 1 ปี (12 เดือน) ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวเลขสองแสนห้าหมื่นกว่าคนที่ว่ายังไม่น่าสนใจเท่ากับตัวเลขจำนวนผู้ที่เคยทดลองใช้สารเสพติด (โดยไม่นับรวมเหล้าและบุหรี่) ที่มีทั้งหมด 593,314 คน หรือเกือบหกแสนคน และอีก 197,338 คน หรือราว 2 แสนคนที่ยังคงใช้ยาเสพติดในช่วง 30 วันที่ผ่านมานี้เอง…!!!
คนสองแสนคนที่กำลังใช้ยาเสพติดหรือเป็นคน “ติดยา” อยู่ในกทม. ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ ที่จะสามารถมองข้ามกันได้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน และกลุ่มวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12-24 ปี จำนวน 84,517 หรือเกือบครึ่งของทั้งหมด ที่ยังคงใช้ยาอยู่ในช่วง 1 เดือนนี้ แบ่งเป็นผู้เสพกัญชา 23,981 คน เสพยาบ้า 22,226 คน ยาไอซ์ 18,168 คน กระท่อม 13,347 คน และสารระเหย (กาว-ทินเนอร์) 6,795 คน
ดร.นภดล กรรณิกา ผอ.ศูนย์วิจัยเอแบคโพลให้ความเห็นถึงผลการวิจัยชิ้นนี้ว่า ปัจจุบันปัญหายาเสพติดในชุมชนได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมารุนแรงอีกครั้ง เหมือนดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีตซึ่งหยุดชะงักพักร้อนชั่วคราวสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร การระบาดของยาเสพติดระลอกใหม่นี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ท้าทายรัฐบาลประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมไปถึงผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ชนิดหลีกเลี่ยงไม่ได้
พร้อมกันนี้ ผอ.เอแบคโพลฯ ยังได้วิเคราะห์ถึง สาเหตุที่ทำให้ยาเสพติดระบาดหนักในเขตมหานครแห่งนี้ว่า มีองค์ประกอบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ
หนึ่ง คือ การที่ประเทศไทยในห้วงเวลาที่ผ่านมามีการเปลี่ยนรัฐบาลหลายครั้ง ทำให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องขาดความต่อเนื่องในการแก้ปัญหา อีกทั้งกรณีการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องฆ่าตัดตอนและละเมิดสิทธิมนุษยชนในช่วงสงครามยาเสพติด ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ยังไม่เต็มที่นัก
สอง การที่เจ้าหน้าที่รัฐในระดับท้องถิ่น-ท้องที่ชุมชนละเลยปัญหา ไม่สนใจการแจ้งเบาะแสของประชาชนอย่างจริงจัง การทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่มีระบบติดตามแก้ปัญหาแบบถอนรากถอนโคนและไม่รวดเร็วฉับไว ทั้งหมดส่งผลให้ประชาชนขาดความไว้เนื้อเชื่อใจการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ
สาม การแก้ปัญหายาเสพติดภาคประชาชนอ่อนแอลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแตกแยกของผู้คนในสังคม ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนพื้นที่กทม.ที่แต่เดิมไม่ค่อยจะสู้ดีอยู่แล้วให้แย่และเลวร้ายลงไปอีก
สังเกตได้จากผลการวิจัยที่ระดับความเป็นมิตรต่อกันของคนในชุมชน, การช่วยกันดูแลสอดส่อง-ป้องกันอาชญากรรมและทรัพย์สิน ตลอดจนการช่วยป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดในชุมชนร่วมกัน ทั้งหมดกว่าครึ่ง (เกินร้อยละ 50) อยู่ในระดับ “น้อยมากถึงไม่มีเลย” ส่งผลให้ปัญหาเรื่องยาเสพติดกลับมากลายเป็นปัญหาใหญ่ ที่มีขบวนการและอิทธิพลผลประโยชน์เกินขอบเขตความสามารถของภาคประชาชนจะจัดการเองได้
ทางเอแบคโพลได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดขณะนี้ คือ ให้รัฐบาลประกาศให้พื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดรอยต่อเป็น “เขตภัยพิบัติด้านยาเสพติด” ยกให้เป็น “วาระแห่งชาติ” อีกวาระ
ด้วยเพราะ กทม. กำลังกลายเป็นพื้นที่ผลประโยชน์ของขบวนการค้ายา ซึ่งนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่จะต้องถูกถามหาสภาวะความเป็นผู้นำในการเร่งป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขฟื้นฟูสถานการณ์อย่างต่อเนื่องด้วยความรวดเร็ว พร้อมๆ ไปกับการสร้างความเข้มแข็งในภาคประชาชนให้กลับมาอีกครั้งหนึ่งให้ได้
ทีมข่าวกทม. สยามรัฐ ได้มีโอกาสพูดคุยกับแหล่งข่าวระดับสูงในหน่วยงานตรงที่รับผิดชอบด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งหลายคนยอมรับตรงกันว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของยาเสพติดในเขตกทม.เป็นไปตามที่โพลล์ระบุจริงๆ แม้จะคลาดเคลื่อนบ้างในทางสถิติ แต่ก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมาก
แหล่งข่าวยังได้เปิดเผยอีกด้วยว่า ปัจจุบัน ปริมาณยาเสพติดที่หมุนเวียนในประเทศ ปรากฏว่า กทม.มีสัดส่วนมากที่สุด คือ 36% หรือราว 1 ใน 3 ของทั้งประเทศไทย
ทั้งนี้ เนื่องจากเมืองหลวงมีปัจจัยที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติดได้ง่ายกว่าชนบทมาก แต่การเกิดขึ้นของปัญหาที่ง่ายนี้กลับแก้ไขได้ยาก ด้วยเพราะมีประชากรแฝงหมุนเวียนเข้าออกมาก อีกทั้งมีเมืองที่หนาแน่น หลากหลายกลุ่มคนและชนชั้น ตลอดจนมีปัญหาที่ซ้ำซ้อนกับปัญหายาเสพติดอีกมากมาย อาทิ เศรษฐกิจ สังคม การว่างงาน เป็นต้น
พร้อมกับระบุถึงการทำงานของ กทม. ซึ่งเป็นหน่วยงานปกครองในฐานะเจ้าของพื้นที่ว่า ที่ผ่านมายังทำหน้าที่ค่อนข้างผิวเผิน ละเลยการดูแลเอาใจใส่สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะใส่ใจแต่เรื่องการเมืองมากกว่าการแก้ปัญหาทำให้ความแตกแยกในชุมชนรุนแรงยิ่งขึ้น การแก้ปัญหาจึงยากขึ้นไปด้วย
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่รัฐเองก็ทำหน้าที่แบบไม่น่าเชื่อถือไว้วางใจ จนชาวบ้านทั้งไม่อยากและไม่กล้าที่จะให้ข้อมูล เป็นเหตุให้ช่องว่างระหว่างประชาชนกับรัฐยิ่งห่างจากกันออกไปอีก…
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังจะปรับแผนการทำงานด้านการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน บูรณาการการทำงานร่วมกันของภาครัฐและภาคประชาชนอย่างเข้มแข็ง เพื่อเอาชนะภัยพิบัตินี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ