การจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์

การจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์
โดย อ.นฤมล ปิ่นโต
 

          นับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2549 เป็นต้นมา วงการโทรทัศน์ของเมืองไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญขึ้นอีกครั้ง นั่นคือการกำกับสัญลักษณ์แสดงระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์ประเภทต่างๆ จากทุกสถานีโทรทัศน์อย่างพร้อมเพรียงกัน  ภายใต้การดำเนินงานของกองงานคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กกช.) กรมประชาสัมพันธ์ และหน่วยงานอื่นๆ อีกหลายแห่ง เพื่อเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการพัฒนาระบบการกำกับดูแลกันเองของสถานีโทรทัศน์ (Self-Regulation) ในการพัฒนาระบบที่จะส่งผลให้เกิดการคุ้มครองเด็ก เยาวชน และครอบครัว ในฐานะผู้บริโภคที่จะไปบริโภคสื่อที่ไม่เหมาะสมกับวัยของตน ทั้งยังมีส่วนช่วยให้เด็กและเยาวชน ได้รับประโยชน์จากการบริโภคสื่อโทรทัศน์ได้สูงสุด อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่อีกด้วย (กรมประชาสัมพันธ์ 2551: 1)   
          การจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์โดยการกำกับด้วยสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้ เป็นการจำแนกรายการโทรทัศน์เป็นกลุ่มต่างๆ โดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพเนื้อหา และระบบการจำแนกเนื้อหาตามอายุเป็นเกณฑ์ ซึ่งกองงานคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กกช.) กรมประชาสัมพันธ์ และสถานีวิทยุโทรทัศน์ทั้ง 6 สถานี ได้กำหนดความหมายของสัญลักษณ์ไว้ ดังนี้ (กรมประชาสัมพันธ์ 2551: 11-13)


 รายการสำหรับเด็กปฐมวัยอายุ 3-5 ปี
 รายการสำหรับเด็กอายุ 6-12 ปี
 รายการทั่วไปสำหรับผู้ชมทุกวัย
 รายการที่เหมาะกับผู้ชมที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป ผู้ชมที่มีอายุน้อยกว่า 13 ปี ควรได้รับคำแนะนำ
 รายการที่เหมาะสำหรับผู้ชมที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ผู้ชมที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี ควรได้รับการแนะนำ
 รายการเฉพาะไม่เหมาะสำหรับเด็กและเยาวชน


          แม้จะมีการกำกับสัญลักษณ์ระดับความเหมาะสมของสื่อโทรทัศน์กับรายการโทรทัศน์เกือบทุกรายการมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี  รวมทั้งมีการสื่อสารความรู้ในเรื่องนี้ให้กับประชาชนมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นเรื่องที่น่าขบคิดว่าผู้ปกครองเด็กและเยาวชนซึ่งมีบทบาทอย่างสูงในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานนั้นจะมีการรับรู้ในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะการรับรู้เป็นกระบวนการที่บุคคลเลือกรับและตีความข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งเกิดขึ้นได้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของประสาทสัมผัสที่ช่วยในการรับรู้ และขึ้นอยู่ประสบการณ์ในอดีต ความเชื่อ และทัศนคติของแต่ละบุคคล และแม้ว่าผู้ปกครองเด็กจะมีการรับรู้ที่ถูกต้องต่อเรื่องดังกล่าว แต่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่หลักประกันว่า เด็กๆ จะได้รับคำแนะนำขณะชมรายการโทรทัศน์จากผู้ปกครองได้อย่างเหมาะสมตลอดเวลา เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่มีข้อจำกัดในด้านการใช้เวลาชมรายการโทรทัศน์ร่วมกันกับบุตรหลาน นอกจากนี้รายการที่ถูกกำกับด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ทั้งที่เหมาะสม และไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชนนั้น ยังคงกระจายตัวอยู่ทุกช่วงเวลาของสถานี จึงทำให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงรายการทุกประเภทได้  
          หากมีการจัดระเบียบเวลาออกอากาศใหม่ โดยจัดวางรายการที่ไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชนให้ออกอากาศในช่วงเวลาที่เด็กและเยาวชนเข้าถึงได้ยาก และจัดวางรายการที่เป็นประโยชน์กับเด็กและเยาวชนให้ออกอากาศในช่วงเวลาที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการเปิดรับสื่อโทรทัศน์ของเด็กและเยาวชน ก็จะทำให้ระยะห่างระหว่างเด็กและเยาวชนกับรายการที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมกับวัยของพวกเขามีมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้เข้าถึงเนื้อหาสาระอันเป็นประโยชน์ที่จะได้จากการเปิดรับชมรายการที่เหมาะสมกับวัยได้อย่างมากด้วย
          อย่างไรก็ตาม การจัดวางเวลาออกอากาศตามแนวทางดังกล่าวถือเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน เนื่องจากมีความสัมพันธ์อย่างมากกับอัตราค่าโฆษณาหรือผลประโยชน์ของสถานีโทรทัศน์และผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ ทั้งนี้ รายได้หลักของสถานีโทรทัศน์และผู้ผลิตรายการมาจากการโฆษณา โดยอัตราค่าโฆษณาจะแปรผันตามช่วงเวลาการเปิดรับข่าวสารของผู้ชมรายการโทรทัศน์  คือ ช่วงเวลาใดมีผู้ชมรายการโทรทัศน์มากอัตราค่าโฆษณาจะสูง ช่วงเวลาใดมีผู้ชมรายการโทรทัศน์น้อยอัตราค่าโฆษณาก็จะต่ำตามไปด้วย โดยทั่วไปช่วงเวลาที่มีผู้ชมรายการโทรทัศน์มากจะเป็นช่วงเวลาที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ นั่นคือช่วงเวลาหัวค่ำถึงก่อนเข้านอนที่เรียกกันว่า Prime Time ซึ่งรายการโทรทัศน์ไทยที่ยึดพื้นที่เวลาสำคัญนี้มาโดยตลอด ได้แก่ รายการละครหลังข่าว ที่ได้รับการตอบรับจากผู้ชมในระดับสูงจนมีผลต่อรายได้มหาศาลจากการโฆษณา การนำรายการที่เหมาะสมต่อเด็กและเยาวชน มาไว้ในช่วงเวลา Prime Time หรือการนำรายการละครหลังข่าวที่มีเนื้อหาควรแก่การจำกัดไปไว้ในช่วงเวลาอื่นทีไม่ใช่ Prime Time นั้น ย่อมมีผลทำให้จำนวนผู้ชมลดลงไปจากเดิมอันมีผลกระทบอย่างมากต่อรายได้จากการโฆษณา   
          ดังนั้น ประเด็นเรื่อง “วันและเวลาในการออกอากาศ” ทั้งของรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาที่ควรจำกัด และรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาที่ควรส่งเสริม จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรหาคำตอบหรือทางออกอย่างเร่งด่วนจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ปกครองเด็กและเยาวชน ซึ่งนับเป็นการสะท้อนความคิดเห็นครั้งสำคัญในการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อโทรทัศน์ต่อสังคม อีกทั้งยังเป็นประเด็นที่น่าศึกษาต่อว่า ความคาดหวังต่อการจัดวางเวลาออกอากาศรายการโทรทัศน์ของผู้ปกครองจะอยู่ในระดับใด และความคาดหวังนั้นเป็นผลมาจากการรับรู้ข่าวสารข้อมูลเรื่องการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อโทรทัศน์หรือไม่   
          คำตอบที่ได้จากงานวิจัยครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปอ้างอิง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของจัดทำระบบการกำหนดช่วงเวลาการออกอากาศตามความเหมาะสมของรายการแต่ละประเภท การจัดทำนโยบาย และกฎหมาย เพื่อรองรับระบบของการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ และการสร้างกระแสการมีส่วนร่วมในการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อในภาคประชาชนต่อไป


จุดประสงค์ และสมมติฐานการวิจัย 
          การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาถึงการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์  และความคาดหวังต่อการจัดวางเวลาออกอากาศรายการโทรทัศน์ตามความเหมาะสมของเนื้อหา ของผู้ปกครองนักเรียนระดับประถมศึกษา  โดยได้กำหนดสมมติฐานของการวิจัยว่า ผู้ปกครองนักเรียนมีระดับการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ในระดับสูง ซึ่งระดับการรับรู้ดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับลักษณะทางประชากรศาสตร์ นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดสมมติฐานที่ระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยว่า การรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสม และพฤติกรรมการดูรายการโทรทัศน์พร้อมบุตรหลาน มีความสัมพันธ์กับความคาดหวังต่อการจัดวางเวลาออกอากาศของผู้ปกครอง


วิธีการดำเนินการวิจัย 
          การกำหนดขอบเขตของประชาการนั้น มาจากการที่ผู้วิจัยได้เทียบเคียงจำนวนประชากร ซึ่งได้แก่ผู้ปกครองเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาในกรุงเทพมหานครกับจำนวนนักเรียนระดับประถมศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในกรุงเทพมหานครในทุกพื้นที่เขตการศึกษา โดยกำหนดให้นักเรียน 1 คนมีผู้ปกครองดูแล 1 คน รวมแล้วมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 30,905 คน จากนั้น คำนวณหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมตามสูตรการคำนวณของ ทาโร ยามาเน่   ที่ระดับความเชื่อมั่น 95 เปอร์เซ็นต์ โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 0.05  ดังนี้ 


สูตรการคำนวณ     n    =            N
                                            ————–
                                             1 + Ne2
                             n    =       ขนาดตัวอย่าง
                             N   =       ขนาดของประชากร
                             e    =      ค่าความคลาดเคลื่อนที่ผู้วิจัยยอมรับได้


แทนค่าในสูตร       n    =         30,905
                                             ————–
                                              1 + 77.26
     ขนาดตัวอย่าง         =       394.90   คน


          จากขนาดตัวอย่างดังกล่าว ผู้วิจัยได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างเพิ่มเป็น 400 คน เพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนของข้อมูลน้อยลง ผู้วิจัยเลือกใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบผสมผสานเพื่อให้ได้ขนาดตัวอย่างตามที่กำหนด โดยขั้นแรก ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งพวกแบบกลุ่ม (Statified Cluster Sampling) เนื่องจากในแต่ละพื้นที่เขตการศึกษาต่างประกอบไปด้วยโรงเรียนประถมศึกษาหลายโรงเรียนที่กระจายตัวตามเขตการปกครองของกรุงเทพมหานคร อันมีความแตกต่างในรายละเอียดเหมือนกัน ผู้วิจัยจึงเลือกศึกษาประชากรของแต่ละเขตพื้นที่การศึกษาเพียงบางโรงเรียน โดยนำรายชื่อของโรงเรียนในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษารวมทั้งสิ้น 3 พื้นที่เขตการศึกษา 38 โรงเรียน มาทำสลากแล้ว สุ่มจับขึ้นมาทีละชิ้น หยิบออกตามสัดส่วน 1 ใน 3 ของจำนวนโรงเรียนในแต่ละพื้นที่เขตการศึกษา เหลือโรงเรียนที่ต้องสุ่มตัวอย่างต่อในขั้นต่อไปจำนวน 13 โรงเรียน 
          ขั้นต่อมาใช้การสุ่มตัวอย่างแบบกำหนดโควตา (Quota Sampling) โดยกำหนดจำนวนของกลุ่มตัวอย่างของแต่ละโรงเรียนที่นำมาศึกษาตามสัดส่วนของนักเรียนแต่ละโรงเรียน เมื่อเทียบกับจำนวนนักเรียนทั้งหมด ขั้นสุดท้ายใช้การสุ่มตัวอย่างแบบการสุ่มอย่างง่าย (Sample Random Sampling) โดยสุ่มจากห้องเรียนในแต่ละโรงเรียน ให้ได้จำนวนตัวอย่างตามโควตาที่กำหนดไว้

          ในที่สุดจึงได้กลุ่มตัวอย่าง 400 คนแยกตามพื้นที่เขตการศึกษาได้ ดังนี้
        1. พื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานครเขต 1 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้ปกครองจากโรงเรียน วัดชนะสงคราม ประถมนนทรี    มหาวีรานุวัตร สายน้ำทิพย์ พญาไท และอนุบาลพิบูลเวศน์ รวม 210 คน
        2. พื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานครเขต 2 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้ปกครองจากโรงเรียน วัดใหม่ช่องลม บางบัว และไทยรัฐวิทยา 75 รวม 85 คน
        3. พื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานครเขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ปกครองจากโรงเรียนประถมทวีทาภิเศก วัดนาคปรก  และราชวินิตประถมบางแค รวม 105 คน
          ผู้วิจัยเลือกใช้แบบสอบถามและแบบทดสอบเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลภาคสนามระหว่างเดือน สิงหาคม 2551 – กันยายน 2551โดยแบบสอบถามประกอบไปด้วยคำถามเกี่ยวกับลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ ภูมิหลังของประชากร ปัจจัยด้านสังคมและเศรษฐกิจของกลุ่มตัวอย่าง รวมทั้งคำถามเกี่ยวกับความคาดหวังของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการจัดวางเวลาออกอากาศรายการโทรทัศน์ตามระดับความเหมาะสม ส่วนแบบทดสอบนั้นประกอบไปด้วยคำถามแบบเลือกตอบที่ใช้วัดการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสม


รายการโทรทัศน์ของกลุ่มตัวอย่าง   
          การประมวลผลของการวิจัยเชิงปริมาณครั้งนี้ ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป (SPSS for Windows) โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) อธิบายลักษณะทางประชาศาสตร์ ระดับการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ และความคาดหวังของผู้ปกครองต่อการจัดวางเวลาออกอากาศของรายการโทรทัศน์ โดยนำเสนอในรูปตารางเป็นค่าร้อยละ การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานประกอบคำอธิบายความหมายในรูปความเรียง นอกจากนี้ ยังใช้สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistic) ได้แก่ สถิติ t- test , F- test, Pearson Correlation Coefficient และ Chi-square ในการทดสอบสมมติฐานการวิจัย โดยใช้ระดับนัยสำคัญ 0.05


ผลการวิจัย
          จากการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาในกรุงเทพมหานครมีการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ในระดับปานกลาง โดยได้คะแนนเฉลี่ย 6.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 12 คะแนน ซึ่งระดับการรับรู้ดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับ อายุ การศึกษา อาชีพ โดยประเด็นที่ผู้ปกครองมีการรับรู้ถูกต้องมากที่สุด 3 ลำดับ คือ เรื่องความหมายของสัญลักษณ์ “ท” “น๑๓” และเรื่องผลที่ผู้ชมจะได้รับกรณีไม่เลือกชมรายการตามคำแนะนำของการจัดระดับความเหมาะสม  ส่วนประเด็นที่ผู้ปกครองมีการรับรู้ที่ไม่ถูกต้องมากที่สุด คือ เรื่องความหมายของสัญลักษณ์ “ป” 
          ผู้ปกครองนักเรียนมีความคาดหวังต่อการจำกัดวันเวลาออกอากาศรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาที่ควรจำกัดระดับสูง  ในประเด็นต่อไปนี้
1) การใช้ความรุนแรง 
2) การใช้อาวุธ ยาเสพติด และ
3) การใช้ภาษาที่ก้าวร้าว หยาบคาย และมีความคาดหวังต่อการจำกัดวันเวลาออกอากาศรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาที่ควรจำกัดระดับปานกลาง ในประเด็นต่อไปนี้
1) การแสดงที่ทำให้เกิดความรู้สึกเศร้า หดหู่ สยดสยอง  
2) การล้อเลียนให้เกิดความอาย กลายเป็นตัวตลกในสังคม  และ
3) การแสดงท่าทางที่ไม่เหมาะสมในทางเพศ โดยผู้ปกครองนักเรียนคาดหวังให้นำเสนอเนื้อหาที่ควรจำกัดเหล่านี้ในวันจันทร์ถึงศุกร์ ช่วงเวลา 1.05-5.00 น.และ 22.01-01.00 น.  ตามลำดับ
          ทั้งนี้ ระดับการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์มีความสัมพันธ์กับความคาดหวังดังกล่าว   กล่าวคือ ผู้ที่มีการรับรู้ในระดับสูง มีความคาดหวังต่อการจำกัดวันเวลาออกอากาศรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาควรจำกัดสูง และในทางกลับกัน ผู้ที่มีการรับรู้ในระดับต่ำมีความคาดหวังต่อการจำกัดวันเวลาออกอากาศรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาควรจำกัดในระดับต่ำเช่นกัน 
          ด้านรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาที่ควรมีการส่งเสริมซึ่งได้แก่
1) การพัฒนาความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
2) การส่งเสริมให้คิดเป็นตามความสามารถของสมองในแต่ละวัย
3) การส่งเสริมให้เกิดการยอมรับความหลากหลายในสังคม
4) การส่งเสริมให้เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตในสังคม
5)การส่งเสริมความรู้ในเรื่องภาษา การใช้เหตุผล คณิตศาสตร์ ดนตรี กีฬา ความรู้ด้านวิชาชีพ และ
6) การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาด้านคุณธรรม นั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คาดหวังให้ออกอากาศในวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์มากที่สุดในทุกประเด็นโดยคาดหวังให้มีการออกอากาศรายการโทรทัศน์ในช่วงเวลา 16.01 – 19.00 น. และ 9.00 -12.00 น.ตามลำดับ   
          นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ปกครองนักเรียนใช้เวลาดูโทรทัศน์พร้อมบุตรหลาน มากกว่า 60 นาทีต่อวัน โดยช่วงเวลาที่ดูพร้อมบุตรหลาน คือ ช่วงหัวค่ำของวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และช่วงเช้าวันเสาร์ อาทิตย์ / วันหยุดนักขัตฤกษ์    แต่พบว่าพฤติกรรมการเปิดรับรายการโทรทัศน์พร้อมบุตรหลานดังกล่าว ไม่มีความสัมพันธ์กับความคาดหวังต่อการจำกัดวัน และเวลาออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาควรจำกัด
           
สรุปและอภิปรายผล
อภิปรายผล
        1.  การศึกษาในส่วนของระดับการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์นั้น ผู้วิจัยตั้งสมมติฐานไว้ว่า ผู้ปกครองนักเรียนระดับประถมศึกษาในกรุงเทพมหานครมีการรับรู้เรื่องดังกล่าวในระดับสูง โดยมีกรอบความคิดในการตั้งสมมติฐานดังนี้
              –  พิจารณาถึงระดับการศึกษาของประชากรส่วนใหญ่ในกรุงเทพมหานครที่อยู่ในระดับสูงกว่าประชากรต่างจังหวัด  ซึ่งระดับการศึกษาน่าจะมีผลต่อการรับรู้ในทิศทางที่แปรผันตามกัน ดังข้อค้นพบจากงานวิจัยของ นฤมล หล่อศรีแสงทอง (2544: 113)เรื่อง  พฤติกรรมการสื่อสาร กับความรู้ความเข้าใจเรื่องการเลือกตั้งระบบใหม่ของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ระบุว่า “ผู้ที่มีระดับการศึกษาสูงมีแนวโน้มที่จะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการเลือกตั้งระบบใหม่สูงกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับที่ต่ำกว่า”  ซึ่งแม้ว่าความรู้ดังกล่าวจะไม่ใช่เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ แต่ก็เป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทยในขณะนั้น ซึ่งพอเทียบเคียงได้กับการการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ที่เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ในเวลานี้   
             –  การนำเสนอสัญลักษณ์จัดระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์เกือบทุกรายการได้ดำเนินมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานพอที่การรับรู้ของผู้รับสารจะเกิดขึ้นได้ครบทุกกระบวนการ  นับตั้งแต่ขั้นเลือกเปิดรับ  เลือกรับรู้  และเลือกจดจำ
              –  งานวิจัยหลายชิ้นค้นพบว่า สื่อโทรทัศน์เป็นสื่อที่ประชาชนเลือกเปิดรับมากที่สุด นอกจากนี้ สารเรื่องการระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ยังถูกกำหนดให้นำเสนอทั้งในช่วงต้นของรายการ และที่ด้านล้างขอจอภาพเป็นระยะ ๆ ดังนั้นโอกาสที่ผู้ปกครองจะเข้าถึงสารเรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์จึงมีมาก    
         อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบสมมติฐานข้อนี้ พบว่า ผู้ปกครองนักเรียนระดับประถมศึกษาในกรุงเทพฯ   การรับรู้อยู่ในระดับปานกลาง  โดยได้คะแนนรวมรายบุคคลเฉลี่ย 6.52   คะแนน  ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์แบ่งระดับการรับรู้ระดับสูงที่ได้ตั้งไว้ที่  9 คะแนน 
         หากพิจารณาตามประเด็นเนื้อหาการรับรู้ที่แบ่งเป็น 4 ประเด็น ได้แก่
1. วิธีการแสดงระดับความเหมาะสมในรายการโทรทัศน์  
2. สัญลักษณ์แสดงความเหมาะสม
3. ประโยชน์ของการจัดระดับความเหมาะสม
4. เกณฑ์ที่ใช้พิจารณา และควบคุมการแสดงระดับความเหมาะสม แล้ว ประเด็นเนื้อหาที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ตอบถูกมากกว่าตอบผิดมากที่สุด เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับประโยชน์ของการจัดระดับความเหมาะสมที่วัดด้วยคำถาม 2 ข้อ ข้อคำถามที่วัดการรับรู้เรื่องผลที่ผู้ชมจะได้รับกรณีไม่เลือกชมรายการตามคำแนะนำของการจัดระดับความเหมาะสมซึ่งคำตอบที่ถูกต้องคือบุตรหลานจะมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวจากรายการที่ไม่เหมาะสมนั้น ผู้ปกครองตอบถูกถึงร้อยละ 83.3 ขณะที่ ข้อคำถามที่วัดการรับรู้เรื่อง วัตถุประสงค์ของการจัดระดับความเหมาะสม มีผู้ปกครองที่ตอบถูก และตอบผิด ร้อยละ 50.8 และ 49.3 ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกันมาก ข้อค้นพบนี้สอดคล้องกับทฤษฎีการรับรู้ และกระบวนการเลือกสรรในการรับสารว่า ผู้รับสารจะเลือกเปิดรับ  รับรู้ และจดจำสารที่เป็นประโยชน์กับตน  ผู้ปกครองจึงมีการรับรู้เนื้อหาประเด็นนี้มากกว่าประเด็นอื่นๆ และในประเด็นเดียวกันนี้เอง ที่เห็นได้ชัดเจนว่า ผู้ปกครองมีความสนใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดระดับความเหมาะสมโดยเฉพาะการเป็นเครื่องมือที่ป้องกันผลกระทบด้านลบต่อบุตรหลาน คือช่วยไม่ให้เป็นคนก้าวร้าวจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม มากกว่าสนใจถึงผลกระทบในด้านบวก เช่น ช่วยทำให้เด็กและเยาวชนได้รับประโยชน์จากการชมรายการโทรทัศน์ได้สูงสุด และเป็นการรณรงค์ให้เกิดการมีส่วนร่วมในการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อ  
          ประเด็นเนื้อหาที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ตอบถูกมากกว่าตอบผิดรองลงมาคือ ประเด็นที่เกี่ยวกับสัญลักษณ์แสดงระดับความเหมาะสม ที่วัดด้วยคำถาม 6 ข้อ โดยพบว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่มีการรับรู้ถึงสัญลักษณ์ “ท”  “น๑๓” และ “น๑๘” ได้อย่างถูกต้อง รับรู้สัญลักษณ์ “ฉ” ได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะมีค่าร้อยละของการตอบถูกมากกว่าตอบผิดไม่มากนัก แต่มีการรับรู้ที่ไม่ถูกต้องกับสัญลักษณ์ “ป”  “ด”  และ “ฉ”  ทั้งนี้ ในแบบสอบถามไม่ได้แสดงตัวเลขที่บอกช่วงอายุให้เห็นเพราะจะเป็นการชี้นำให้เห็นคำตอบได้ชัดเจนมากเกินไป การวัดการรับรู้จึงเป็นการวัดจากตัวอักษรหลักของสัญลักษณ์เท่านั้น ประเด็นเนื้อหาส่วนนี้ ผู้ปกครองน่าจะมีการรับรู้ที่ถูกต้องทั้ง 6 สัญลักษณ์ เนื่องจากเกือบทุกรายการพร้อมใจกันนำเสนอ (Set agenda) จึงมีโอกาสเข้าถึงสารดังกล่าวได้มาก ด้วยความถี่ในการนำเสนอสูง และด้วยพฤติกรรมการเปิดรับสื่อของคนไทยที่งานวิจัยหลานชิ้นพบว่าคนไทยเข้าถึงสื่อโทรทัศน์มากกว่าสื่อประเภทอื่นแต่ผลการวิจัยกลับพบว่า มีเพียง 3 สัญลักษณ์ คือ“ท”  “น๑๓” และ “น๑๘” เท่านั้นที่ผู้ปกครองมีการรับรู้ที่ถูกต้อง ด้วยค่าร้อยละที่สูงถึง 82.0 ,  80.0  และ 78.0 ตามลำดับ เป็นที่น่าสังเกตว่า สัญลักษณ์ทั้ง 3 ใช้อักษรที่ตีความง่าย ทั้งยังมีตัวเลขเข้ามาช่วยเสริมให้การรับรู้เป็นไปอย่างถูกต้องกับความจริงด้วย  ขณะที่สัญลักษณ์ “ป”  “ด”  และ “ฉ”  เป็นอักษรที่สร้างความสับสนให้กับผู้ปกครอง เนื่องจากตีความได้หลากหลายกว่า  เช่น สัญลักษณ์  “ป” ใช้แทนคำหลัก “ปฐมวัย” แต่ผู้รับสารจะนึกถึงคำหลัก “ประถม” ซึ่งหมายถึงเด็กอายุ 6-12 ปี มากกว่า จึงมีผู้ปกครองตอบผิดมากถึงร้อยละ 94.5 สัญลักษณ์ “ด” แทนคำหลัก “เด็ก” ผู้รับสารจะตีความว่าเป็น “เด็กเล็ก” ซึ่งหมายถึงเด็กอายุ 3-5 ปี มากกว่า จึงมีผู้ปกครองตอบผิดถึงร้อยละ 68.5 ซึ่งสะท้อนถึงการรับรู้ที่ไม่ถูกต้องกับความเป็นจริง นอกจากนี้ สัญลักษณ์ที่ใช้แทนคำหลัก “เฉพาะผู้ใหญ่” ผู้รับสารมักจะนึกถึงสัญลักษณ์ “ผ”  มากกว่าสัญลักษณ์ “ฉ”    ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะมีการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนด้วยความถี่สูงผ่านทางรายการโทรทัศน์อย่างต่อเนื่องก็ตาม  แต่เมื่อมีการวัดการรับรู้ผ่านแบบทดสอบ โดยตัดข้อมูลที่เป็นตัวเลข และที่เป็นเสียงออกไป ผู้รับสารจะเลือกตีความ และรับรู้ ไปตามประสบการณ์เดิมที่มีอยู่   
          ในส่วนของประเด็นเนื้อหาที่ผู้ปกครองตอบถูกมากกว่าตอบผิด เป็นจำนวนพอๆ กันคือ ประเด็นที่เกี่ยวกับ วิธีการแสดงระดับความเหมาะสมในรายการโทรทัศน์  และ เกณฑ์ที่ใช้พิจารณา และควบคุมการแสดงระดับความเหมาะสมรายการ  ข้อค้นพบที่น่าสนใจคือ ผู้ปกครองส่วนใหญ่รับรู้ว่าการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ใช้การพิจารณารูปแบบและเนื้อหาของรายการเป็นเกณฑ์สำคัญ แต่ยังไม่รู้ถึงผลที่เจ้าของรายการจะได้รับกรณีที่ไม่แสดงระดับความเหมาะสมบนหน้าจอหรือแสดงสัญลักษณ์ที่ไม่ตรงกับเนื้อหา ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะไม่มีการจัดวาระข่าวสารในข้อนี้ผ่านสื่อโทรทัศน์มากพอ และเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองคิดว่าไกลตัวมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับโดยตรง จึงไม่มีการแสวงหาข่าวสารเพิ่มเติม หลายคนจึงคิดว่าต้องถูกลงโทษด้วยการจำคุก ถูกปรับ หรือถูกตัดสิทธิการออกอากาศ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว แม้กรมประชาสัมพันธ์จะมีนโยบายให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายปฏิบัติตาม แต่ก็ยังไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจนตามกฎหมาย  กลไกสำคัญในการควบคุมจึงอยู่ที่ การวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมมากกว่า การที่ผู้ปกครองส่วนน้อยเพียงร้อยละ 19.5 เท่านั้นที่รับรู้เรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีผู้ปกครองอีกมากที่ยังไม่รับรู้ ยังไม่ตระหนักถึงคุณค่า และบทบาทของตนที่มีส่วนในการควบคุมการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ให้เกิดการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปได้
        2.  จากการทดสอบสมมติฐานเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางประชากรศาสตร์ กับการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ของผู้ปกครองนักเรียนระดับประถมศึกษาในกรุงเทพมหานครพบว่า อายุ การศึกษา และอาชีพ มีความสัมพันธ์กับระดับการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ ดังนี้
              2.1 อายุ : ผู้ปกครองที่อยู่ในช่วงวัยทำงาน มีแนวโน้มที่จะมีการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสม มากกว่าผู้ปกครองที่อยู่ในวัยก่อนทำงาน และวัยเกษียณอายุ โดยกลุ่มที่มีอายุ 36-45 ปี มีการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์สูงที่สุด รองลงมาคือกลุ่มที่มีอายุ 26-35 โดยกลุ่มที่มีการรับรู้ต่ำที่สุดคือ กลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และมากกว่า 55 ปี ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะผู้ปกครองที่อยู่ในช่วงวัยทำงาน เป็นวัยที่มีความกระตือรือร้นสนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว  ทั้งสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวันยังเอื้อต่อการพบปะ แลกเปลี่ยน และแสวงหาความรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมได้มาก ไม่ว่าจะเป็นจากสื่อบุคคล  สื่ออินเตอร์เน็ท หนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่สื่อโทรทัศน์ ขณะที่ผู้ปกครองที่อยู่ในช่วงวัยก่อนทำงาน และวัยเกษียนจะมีแรงจูงใจ และความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาข่าวสารดังกล่าวได้น้อย และน่าจะให้ความสนใจกับเรื่องอื่นๆที่สอดคล้องกับวัยมากกว่า 
             2.2  การศึกษา : ผู้ปกครองที่มีระดับการศึกษาที่สูงกว่า มีแนวโน้มที่จะมีการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์สูงกว่าผู้ปกครองที่มีระดับการศึกษาที่ต่ำกว่า ทั้งนี้ อาจเป็นไปได้ว่า ผู้ที่มีความสามารถในการเรียนรู้ จดจำ และทำความเข้าใจต่อข่าวสารความรู้ ได้ดีกว่า หรือมีสติปัญญาที่ดีกว่า มีโอกาสศึกษาต่อในระดับที่สูงกว่าผู้ที่มีสติปัญญาที่ด้อยกว่าอยู่แล้ว ยิ่งกลุ่มผู้มีระดับสติปัญญาที่ดีกว่าเหล่านี้ ได้รับการศึกษาเพิ่มขึ้นในระดับสูง ก็ย่อมมีทักษะในการวิเคราะห์เนื้อหา รวมทั้งทักษะในการแสวงหาข่าวสารเพิ่มมากขึ้นด้วย
            2.3  ใช้วุฒิการศึกษาในระดับสูง โดยผู้ปกครองที่เป็นข้าราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจ  พนักงานบริษัทเอกชน/ ลูกจ้างของรัฐ  มีการรับรู้สูงที่สุด 2 ลำดับแรก ในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ขณะที่ผู้ปกครองที่ประกอบอาชีพค้าขาย / เป็นเจ้าของกิจการ  เป็นแม้บ้าน/ นักศึกษา / ผู้ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ มีการรับรู้ต่ำที่สุด 2 ลำดับท้าย ในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน  แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ปกครองที่เป็นผู้ใช้แรงงาน และเกษตรกร กลับมีการรับรู้ในระดับที่ไม่ต่ำ ทั้งๆ ที่เป็นกลุ่มอาชีพที่ไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิการศึกษาในระดับสูง
        3.  การศึกษาในส่วนของระดับความคาดหวังต่อการจัดวางเวลาออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาที่ควรจำกัดนั้น ผู้วิจัยตั้งสมมติฐานไว้ว่า ผู้ปกครองนักเรียนระดับประถมศึกษาในกรุงเทพมหานครมี ระดับความคาดหวังต่อการจัดวางเวลาออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาที่ควรจำกัดระดับสูง โดยมีกรอบความคิดในการตั้งสมมติฐานดังนี้
            –  มีงานวิจัยหลายชิ้น ยืนยันถึงพฤติกรรมการเปิดรับสื่อของเด็กว่า เลือกเปิดรับสารจากสื่อโทรทัศน์มากที่สุด และยังมุ่งตอกย้ำถึงอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ที่มีต่อเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบในด้านลบจากการที่เด็กและเยาวชนบริโภคเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับวัยของตน
            – จากการสำรวจพบว่าช่วงเวลาที่เด็กนิยมดูรายการโทรทัศน์ สถานีโทรทัศน์มักนำเสนอรายการที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก โดยเฉพาะละครในช่วงเวลา Prime time  และโดยรวมแล้วจำนวนรายการสำหรับเด็กยังมีน้อยกว่าที่ประชาสัมพันธ์กำหนดไว้มาก ซึ่งหมายความว่าเด็กมีโอกาสมากที่จะรับอิทธิพลด้านลบจากรายกาและมีโอกาสไม่มากนักที่จะได้รับอิทธิพลด้านบวกจากรายการสำหรับเด็กโดยเฉพาะ
        ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ได้ผลสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 4 ประเด็นเนื้อหา และไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 2 ประเด็นเนื้อหา กล่าวคือ ผู้ปกครองผู้ปกครองนักเรียนระดับประถมศึกษาในกรุงเทพมหานครมี ระดับความคาดหวังต่อการจัดวางเวลาออกอากาศ รายการที่มีเนื้อหาที่ควรจำกัดระดับสูง  ในประเด็นต่อไปนี้
        1)  การใช้ความรุนแรงต่อตนเอง ต่อวัตถุ และต่อบุคคลอื่น
        2)  การใช้อาวุธ ยาเสพติด การแสดงภาพของการกระทำผิดกฎหมาย และศีลธรรม
        3)  การแสดงท่าทางหรือคำพูดที่ไม่เหมาะสมในทางเพศ 
        4)  การใช้ภาษาที่ก้าวร้าวหยาบคาย สื่อความหมายในเชิงลบ  
และผู้ปกครองผู้ปกครองนักเรียนระดับประถมศึกษาในกรุงเทพมหานครมี ระดับความ คาดหวังต่อการจัดวางเวลาออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาที่ควรจำกัดระดับปานกลาง ในประเด็นต่อไปนี้
        1)  การทำให้เกิดความรู้สึกเศร้า หดหู่ เครียด สะเทือนใจ ตกใจ สยดสยอง ขยะแขยง
        2)  การล้อเลียนให้เกิดความอาย กลายเป็นตัวตลกในสังคม
ความคาดหวังอย่างมากของผู้ปกครองที่ต้องการให้มีการจำกัดวัน และเวลาออกอากาศรายการที่มีเนื้อหา 4 ประเด็นข้างต้น น่าจะมาจากความตระหนักอย่างมากถึงผลกระทบเชิงลบที่มีต่อบุตรหลานจากการนำเสนอรายการที่มีประเด็นเนื้อหาดังกล่าว แต่เป็นที่น่าสงสัยว่า เหตุใดผู้ปกครองส่วนใหญ่จึงมีความคาดหวังปานกลาง ที่จะให้มีการจำกัดวัน และเวลาออกอากาศรายการที่มีเนื้อหา 2 ประเด็นที่เหลือ ซึ่งตีความได้ว่า ผู้ปกครองคิดว่าเนื้อหา 2 ประเด็นนี้ยังมีผลกระทบเชิงลบต่อบุตรหลานไม่มากเท่ากับ 4 ประเด็นแรก อาจเป็นไปได้ว่าสังคมไทยมีการพูดถึงเรื่องการล้อเลียนให้เป็นตัวตลกในสังคม ค่อนข้างน้อย  ผู้คนทุกเพศทุกวัยมองว่าการล้อเลียนเป็นเรื่องล้อเล่น ไม่ได้เป็นการดูถูกจริงจัง เราจึงเคยชินกับการแสดงตลกที่เลียนแบบท่าทางคนพิการ การแต่งตัวล้อเลียนคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม และผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ด้อยกว่า และเป็นไปได้ที่คนส่วนใหญ่มองว่าความรู้สึกเศร้า หดหู่ เครียด สะเทือนใจ ตกใจ สยดสยอง ขยะแขยงเป็นเรื่องที่ไม่หนักหนาเท่ากับ เรื่องความรุนแรง  เรื่องที่ผิดกฎหมาย  การแสดงที่ไม่เหมาะสมทางเพศ และการใช้ภาษาที่หยาบคาย หรืออีกนัยหนึ่ง 4 ประเด็นนี้ ได้รับการพูดถึงในสังคมมานาน และเข้มข้นกว่ามาก
        อย่างไรก็ตาม ถือเป็นผลสะท้อนในทางที่ดี ที่พบว่า ผู้ปกครองไม่ได้มีท่าทีนิ่งเฉยต่อสภาวการณ์ของสื่อโทรทัศน์กับเด็ก และเยาวชนในปัจจุบัน แต่กลับเห็นด้วยอย่างมากที่จะให้มีการจัดวางเวลาออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาควรจำกัด  ซึ่งจากการศึกษาครั้งนี้พบว่า ความคาดหวังดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจากเพียงความตระหนักถึงอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ที่มีต่อบุตรหลานอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นเพราะมีการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์อีกด้วย  ดังจะกล่าวถึงในประเด็นต่อไป
       4.  ผู้ปกครองมีความคาดหวังถึงวัน และเวลาที่เหมาะกับการนำเสนอรายการโทรทัศน์ทั้งที่มีเนื้อหา   ควรจำกัด และควรส่งเสริม ดังนี้
        รายการที่มีเนื้อหาควรจำกัดทั้ง 6 ประเด็น ผู้ปกครองเห็นควรให้ออกอากาศในวันจันทร์-ศุกร์ มากที่สุด รองลงมาคือวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยช่วงเวลาที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดคือ 1.01-5.00 น. รองลงมาคือช่วงเวลา 22.01-1.00 น. ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสอดคล้องกับการดำรงชีวิต (Life-Style) และพฤติกรรมการเปิดรับสื่อโทรทัศน์ของเด็ก ที่มีการเรียนเป็นหน้าที่สำคัญ ซึ่งต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในตอนกลางวันที่โรงเรียน และใช้เวลาตอนกลางคืนเพื่อการพักผ่อนอย่างเต็มที่การกำหนดเวลาออกอากาศในช่วงดึกเช่นนี้ ทำให้เข้าถึงเนื้อหาเหล่านี้ได้ยากขึ้น ส่วนผู้ปกครองที่เห็นว่าควรออกอากาศรายการดังกล่าวในวันและเวลาใดก็ได้หรือกล่าวได้ว่าไม่มีความคาดหวังให้มีการจำกัดวันและเวลาออกอากาศนั้น มีจำนวนน้อยมาก ซึ่งเป็นข้อมูลที่สนับสนุนประเด็นที่ได้อภิปรายผลในข้อที่ 3 ที่ว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีความคาดหวังต่อการจัดวางเวลาออกอากาศรายการที่ควรจำกัดในระดับสูง
         รายการที่มีเนื้อหาควรส่งเสริมทั้ง 6 ประเด็น ผู้ปกครองเห็นควรให้ออกอากาศในวันวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ มากที่สุด รองลงมาคือวันจันทร์-ศุกร์ โดยช่วงเวลาที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดคือ 16.01-19.00 น. รองลงมาคือช่วงเวลา 9.00-12.00 น. วันและเวลาดังกล่าวนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยหลายชิ้นที่พบว่าเด็กและเยาวชนนิยมดูรายการโทรทัศน์   หัวค่ำของทุกวัน และช่วงเช้าวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เช่น งานวิจัยของจารุวรรณ ตันเยี่ยน (2541) พบว่า นักเรียนเห็นว่า ควรเสนอรายการสำหรับเด็กในวันธรรมดา เวลา 16.00-18.00 น. วันหยุดราชการเวลา 8.00-10.00 น. งานวิจัยของ นราพร แย้มอำพล ที่พบว่า ผู้ปกครองคาดหวังให้นำเสนอรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กในช่วง 18.00-19.00 น.มากที่สุด ผลการสำรวจจากสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ (2546)พบว่า วันจันทร์ถึงศุกร์ เด็กจะเปิดรับชมโทรทัศน์ในช่วงเวลาค่ำมากที่สุด ส่วนวันเสาร์และอาทิตย์ เด็กจะเปิดรับชมโทรทัศน์ในช่วงเช้ามากที่สุด เช่นกัน นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับช่วงเวลาที่กรมประชาสัมพันธ์ได้ออกระเบียบในปี 2539 เรื่องกำหนดสัดส่วนรายการเด็ก และเยาวชนโดยกำหนดช่วงเวลา 16.30-18.30 น.ให้มีรายการเด็ก เยาวชนครึ่งชั่วโมง และรัฐบาลออกมติคณะรัฐมนตรี  ลงวันที่ 4 พ.ย. 2546   เรื่องกำหนดสัดส่วนรายการเด็ก เยาวชนและครอบครัว ในช่วงเวลา 16.00-22.00น. ให้มีรายการเด็ก เยาวชน และครอบครัว 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง
        แม้ข้อมูลที่กล่าวถึงเวลาในการออกอากาศรายการที่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน ที่มาจากแต่ละแหล่งจะมีความสอดคล้องกันอย่างมาก  แต่การที่เวลาดังกล่าวไปซ้อนทับกับเวลาดีเด่น (Prime Time) ซึ่งเป็นช่วงเวลาทำเงินของสถานีนั้น อาจทำให้การเข้าขอพื้นที่ออกอากาศของรายการประเภทนี้เป็นไปได้ไม่ง่ายนัก เพราะการเข้าครองพื้นที่ช่วงเวลาดังกล่าวของเด็กแม้จะไม่ทั้งหมดของเวลาที่มีอยู่ ก็จะส่งผลกระทบต่ออัตราค่าโฆษณาไม่น้อย ซึ่งถือว่าเป็นฐานสำคัญในการผลิต และนำเสนอรายการโทรทัศน์ของไทยในปัจจุบัน  
         5.  ผู้วิจัยได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการรับรู้เรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์กับ ความคาดหวังต่อการจัดวางเวลาออกอากาศรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาควรจำกัดของผู้ปกครองนักเรียนระดับประถมศึกษาในกรุงเทพมหานคร โดยตั้งสมมติฐานว่า ทั้ง 2 ตัวแปรมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ มีกรอบความคิดในการตั้งสมมติฐานว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่ตระหนักถึงอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ที่มีต่อเด็กและเยาวชนค่อนข้างมากแล้ว หากมีการรับรู้ที่ถูกต้องเรื่องการจัดระดับความเหมาะสมรายการโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสาระความรู้อย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวิธีการกลั่นกรองรายการโทรทัศน์ที่เหมาะสมให้กับเด็กและเยาวชนแล้ว ผู้ปกครองจะสามารถเล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ของการนำวิธีการดังกล่าวไปพัฒนาให้เห็นผลดียิ่งขึ้น ในรูปแบบของการจัดวางเวลาออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาควรจำกัด จนกลายเป็นความคาดหวังให้มีการดำเนินการตามวิธีการที่เป็นไปได้นั้น 
          การทดสอบสม