กลลวง “แจ้งความออนไลน์ปลอม”
ความรู้สึกแรกหลังจากรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์คือความตื่นตระหนก สับสน และสิ้นหวัง หัวใจเต้นรัว สมองพยายามประมวลผลว่าเงินที่หามาอย่างยากลำบากหายไปได้อย่างไร ในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดนี้ สัญชาตญาณแรกของคนส่วนใหญ่คือการคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วค้นหาความช่วยเหลือบน Google ด้วยคำว่า “แจ้งความออนไลน์” โดยหวังว่าจะเจอทางออกและได้เงินคืนโดยเร็วที่สุดแต่จะเป็นอย่างไรถ้าการค้นหาความช่วยเหลือครั้งนี้กลายเป็นกับดักที่สองที่รอซ้ำเติมคุณอยู่? นี่คือความจริงอันน่าตกใจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มิจฉาชีพได้พัฒนากลลวงขึ้นมาใหม่ โดยสร้าง “เว็บไซต์แจ้งความออนไลน์ปลอม” เพื่อดักรอเหยื่อที่กำลังร้อนใจและต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนที่สุด กลยุทธ์นี้ออกแบบมาเพื่อขโมยเงินก้อนสุดท้ายที่เหลืออยู่ และเปลี่ยนความหวังให้กลายเป็นฝันร้ายที่หนักกว่าเดิม
กับดักอันดับหนึ่ง : มิจฉาชีพซื้อโฆษณาบน Google ดักรอคุณ
เมื่อคุณกำลังร้อนใจและพิมพ์คำค้นหาอย่าง “แจ้งความออนไลน์” ลงใน Search Engine ยอดนิยมต่างๆ เช่น Google.com หรือ Bing.com สิ่งที่คุณคาดหวังคือการเจอเว็บไซต์ของตำรวจเป็นอันดับแรก แต่ความเป็นจริงกลับน่ากลัวกว่านั้น มิจฉาชีพได้ทุ่มเงินซื้อโฆษณา (Ads) เพื่อให้เว็บไซต์ปลอมของพวกมันปรากฏขึ้นมาเป็นผลการค้นหาลำดับแรกๆกลยุทธ์นี้แยบยลอย่างยิ่งเพราะคนส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในผลการค้นหาอันดับต้นๆ และมักจะคลิกเข้าไปโดยไม่ทันได้ตรวจสอบอย่างละเอียด กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้ออกมาเตือนเรื่องนี้โดยตรงว่ามิจฉาชีพใช้เทคนิคนี้เพื่อดักเหยื่อโดยเฉพาะ ดังนั้น คำแนะนำอย่างเป็นทางการคือให้ระมัดระวัง! ผลการค้นหาที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “โฆษณา” หรือ “Ad” และทางที่ดีที่สุดคือการพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่ถูกต้อง thaipoliceonline.com ด้วยตัวเองเพื่อป้องกันการเข้าสู่เว็บไซต์ปลอม
โรงละครแห่งความน่าเชื่อถือ : ทนายปลอม ตำรวจปลอม และเอกสารปลอม
เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ปลอม การแสดงละครฉากใหญ่เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือก็จะเริ่มต้นขึ้นทันที กระบวนการนี้ถูกออกแบบมาอย่างเป็นขั้นตอนเพื่อทำให้เหยื่อเชื่อสนิทใจ
1.ชักชวนเข้า Line : เหยื่อจะถูกแนะนำให้เพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชัน Line เพื่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่
2.พบทนายปลอม : ใน Line เหยื่อจะได้พูดคุยกับบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็น “ที่ปรึกษากฎหมาย” หรือ “ทนายความ” ซึ่งจะสอบถามรายละเอียดของคดี ขอหลักฐานการโอนเงิน และข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด
3.สร้างเอกสารปลอมและเรียกเงิน : เพื่อให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น มิจฉาชีพจะสร้างเอกสารปลอม เช่น หนังสือมอบอำนาจ เพื่อแสดงให้เห็นว่ากำลังดำเนินการทางกฎหมายให้อย่างจริงจัง และมักจะเรียกเก็บ “ค่าดำเนินการ 10%” จากยอดความเสียหายทั้งหมดในขั้นตอนนี้ เพื่อเป็นค่าทนาย
4.ส่งต่อถึงตำรวจไอทีปลอม : หลังจากสร้างความเชื่อใจและได้รับเงินก้อนแรกแล้ว “ทนายปลอม” จะส่งต่อเรื่องไปยัง “เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายไอที” ที่อ้างว่ามีความเชี่ยวชาญพิเศษและสามารถติดตามเงินคืนมาได้
กระบวนการเล่นละครที่ซับซ้อนนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโจมตีสภาพจิตใจของเหยื่อที่กำลังสับสนและเสียขวัญ ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาไตร่ตรอง และยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี
กลลวงซ้อนกลลวง : อ้าง “เจาะระบบ” แต่ล่อให้ไป “เล่นพนัน”
นี่คือหัวใจของกลลวงซ้ำสองที่คาดไม่ถึง “ตำรวจไอทีปลอม” จะอ้างกับเหยื่อว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่าเงินที่ถูกหลอกไปนั้นถูกนำไปฟอกผ่านเว็บไซต์พนันออนไลน์ในต่างประเทศ แต่ข่าวดีคือทีมไอทีของพวกเขาสามารถ “เจาะระบบ” หรือ “โจมตี” เว็บไซต์พนันนั้นเพื่อดึงเงินกลับคืนมาได้จากนั้น พวกเขาจะแนะนำให้เหยื่อทำตามขั้นตอนที่ฟังดูเหมือนการกู้เงินคืนด้วยตัวเอง คือให้สมัครสมาชิกเว็บไซต์พนันนั้น ผูกบัญชีธนาคารของตัวเอง แล้ว “โอนเงินเพิ่มเข้าไป” เพื่อใช้เป็นทุนในการปั่นระบบในช่วงที่ทีมไอทีกำลังโจมตีแพลตฟอร์ม เพื่อให้เล่นพนันชนะและได้เงินทั้งหมดกลับคืนมาจุดที่แยบยลที่สุดของกลลวงนี้คือ ในช่วงแรกๆ มิจฉาชีพจะยอมให้เหยื่อเล่นพนันชนะและสามารถถอนเงินจำนวนเล็กน้อยออกมาได้จริง การกระทำนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความไว้วางใจขั้นสูงสุด พิสูจน์ว่า “ระบบ” ของพวกเขาได้ผลจริง เมื่อเหยื่อเชื่อสนิทใจแล้ว ก็จะยอมโอนเงินก้อนใหญ่เข้าไปเพื่อ “กู้คืนครั้งสุดท้าย” ก่อนที่มิจฉาชีพจะเชิดเงินทั้งหมดหนีไปและไม่สามารถถอนเงินออกมาได้อีก
ตำรวจไซเบอร์ได้ยืนยันอย่างชัดเจนถึงเรื่องนี้ว่า
“บช.สอท. และหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีนโยบายให้ประชาชนติดต่อกับที่ปรึกษากฎหมาย หรือทนายความ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี เพื่อทำการติดตามทรัพย์สินที่ถูกหลอกลวงไปกลับคืนได้แต่อย่างใด”
“หน้าม้า” ในห้องแชท : สร้างกลุ่มเหยื่อปลอมเพื่อกดดัน
เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ มิจฉาชีพมักจะดึงเหยื่อเข้าไปในกลุ่มแชทที่มีสมาชิกรออยู่แล้วประมาณ 5-10 คน โดยอ้างว่าเป็นกลุ่มของผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในกระบวนการเดียวกัน แต่ความจริงแล้ว สมาชิกเกือบทั้งหมดในกลุ่มคือ “หน้าม้า” ที่ถูกสร้างขึ้นมาหน้าม้าเหล่านี้จะทำหน้าที่พูดคุยโต้ตอบกับ “ตำรวจไอทีปลอม” พวกเขาจะพิมพ์ข้อความขอบคุณ แสดงสลิปโอนเงินปลอมที่อ้างว่าได้รับเงินคืนแล้ว เพื่อสร้างแรงกดดันทางสังคม (Social Pressure) ทำให้เหยื่อตัวจริงรู้สึกว่าวิธีนี้ได้ผลจริงๆ และคนอื่นก็ทำสำเร็จกันหมดแล้ว กลยุทธ์ฉันทามติที่สร้างขึ้นนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะมันโจมตีความต้องการการยอมรับของเหยื่อ การได้เห็นหลักฐานจากคนอื่นช่วยลบความลังเลสงสัยในใจ และผลักดันให้พวกเขาทำตามในที่สุด
วิธีสังเกตและช่องทางที่ถูกต้อง
เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อซ้ำสอง สิ่งสำคัญที่สุดคือการแยกแยะระหว่างกระบวนการของจริงและของปลอมให้ได้ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สัญญาณอันตราย : กระบวนการของมิจฉาชีพ
• เว็บไซต์ปลอมมักมีฟังก์ชันการใช้งานน้อย กดลิงก์อื่นๆ ไม่ค่อยได้ และมีเป้าหมายเดียวคือผลักดันให้คุณ แอด Line เท่านั้น
• ติดต่อพูดคุยผ่าน Line เป็นหลัก
• มีการเรียกเก็บ ค่าดำเนินการ หรือค่าทนาย (เช่น 10% ของความเสียหาย)
• มีการส่งต่อให้คุยกับ ผู้เชี่ยวชาญด้านไอที ที่อ้างว่าจะ “เจาะระบบ” เพื่อเอาเงินคืน
• สั่งให้คุณโอนเงินเพิ่ม เข้าไปในระบบอื่น เช่น เว็บพนัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการกู้คืน
ช่องทางที่ปลอดภัย : กระบวนการของทางการ
• เว็บไซต์สำหรับแจ้งความออนไลน์มีเพียงเว็บเดียวเท่านั้นคือ https://thaipoliceonline.com
• กระบวนการคือให้ผู้เสียหาย ลงทะเบียนด้วยตนเอง และจะได้รับ “Case ID” เพื่อใช้ติดตามความคืบหน้าของคดี
• จะ ไม่มี การให้แอดไลน์เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่เป็นรายบุคคลเพื่อดำเนินคดี การสื่อสารจะผ่านระบบกลางเท่านั้น
• มีแชทบอททางการคือ @police1441 สำหรับให้คำปรึกษาเบื้องต้น แต่ ไม่ได้ใช้ ในการแจ้งความหรือให้เจ้าหน้าที่บริหารจัดการคดี
• ช่องทางติดต่อสอบถามสายด่วน 1441 หรือ 081-866-3000
โปรดจำไว้ว่ากระบวนการของภาครัฐถูกออกแบบมาให้เป็นระบบและปลอดภัย จะไม่มีการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการผ่านแชท หรือการสั่งให้ประชาชนโอนเงินเพื่อไป “แฮก” ระบบใดๆ ทั้งสิ้นกลลวง “แจ้งความออนไลน์ปลอม” ได้แสดงให้เห็นว่าอาชญากรไซเบอร์ไม่เพียงแต่ขโมยเงิน แต่ยังใช้อาวุธที่ทรงพลังที่สุด นั่นคือความหวังและความสิ้นหวังของเหยื่อ การพยายามลุกขึ้นสู้และหาทางเอาเงินคืน ซึ่งเป็นสัญชาตญาณปกติของมนุษย์ ได้กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ให้พวกมันโจมตีซ้ำเติม
