’กยศ.’ ดัดหลังบัณฑิตกู้แล้วหนีหนี้ ลุ้นร่างพ.ร.บ.ผ่านกฤษฎีกาส.ค.นี้

‘กยศ.’ ดัดหลังบัณฑิตกู้แล้วหนีหนี้ ลุ้นร่างพ.ร.บ.ผ่านกฤษฎีกาส.ค.นี้

          หนุนออกกฎหมายใหม่ปลดล็อกการเข้าถึงข้อมูลลูกหนี้กยศ. ให้นายจ้างเอกชนและรัฐวิสาหกิจมีหน้าที่หักเงินเดือน พร้อมนำส่งภาษีให้กรมสรรพากรโอนให้กองทุนหวังแก้ปัญหาหนี้ค้างจ่าย ลุ้นยกร่างพ.ร.บ.ผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกาส.ค.นี้ คาดบังคับใช้ปี 60
          ดร.ฑิตติมา  วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กองทุน กรอ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการยกร่างพระราชบัญญัติใหม่ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาว่า ที่ผ่านมากองทุนมีความพยายามที่จะปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานและการติดตามหนี้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดทางกฎหมายบางประการจึงไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควรได้ ทำให้กองทุนต้องพึ่งพาเงินงบประมาณแผ่นดินจากรัฐบาลในแต่ละปีเป็นจำนวนมากในการจัดสรรให้กู้ยืม เป็นผลให้กองทุนต้องยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับผู้กู้ยืม และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทั้งด้านการให้กู้ยืมและติดตามหนี้
          ทั้งนี้ จากการที่พ.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้การสนับสนุนในการผลักดันกองทุนให้มีกฎหมายใหม่  โดยได้มอบแนวนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหากองทุนทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ ให้มีการกู้และการนำส่งคืนเงินอย่างรัดกุมเหมาะสม  รวมทั้งไม่ให้เกิดปัญหาซับซ้อนในการกู้ยืม และให้บรรจุกฎหมายใหม่ของกองทุนเป็นกฎหมายเร่งด่วนตามบัญชีร่างกฎหมายเร่งด่วนชุดที่ 2
          ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการ(เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2559) โดยกฎหมายใหม่ได้กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินเดือนและค่าจ้างนำส่งกรมสรรพากร พร้อมกับนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เพื่อชำระคืนกองทุน และเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้กองทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้กู้ยืม เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้กู้ยืมที่จะไม่ต้องเสียเบี้ยปรับกรณีค้างชำระ หรือต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดี กรณีที่ค้างชำระเป็นเวลานาน  ร่างกฎหมายดังกล่าวขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2560
          ต่อประเด็นดังกล่าวนายปรเมศวร์ สังข์เอี่ยม ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารหนี้ กยศ. อธิบายเพิ่มเติมกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การยกร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวยังไม่สรุปชื่อเป็นทางการ  คาดว่าจะผ่านกระบวนการพิจารณารายละเอียดของคณะกรรมการกฤษฎีกาประมาณเดือนสิงหาคม  ซึ่งหากการยกร่างกฎหมายใหม่ผ่านการพิจารณาและมีผลบังคับใช้ในป 2560 นั้น จะมีผลในทางปฏิบัติ 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. กระ บวนการให้กู้ยืมในวันข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 4 ประเภทจากปัจจุบันอยู่ที่ 2 ประเภท คือ กยศ.ปล่อยกู้สำหรับนักเรียน/นักศึกษาผู้มีรายได้น้อยหรือขาดแคลนทุนทรัพย์ กรอ.เป็นเงินกู้ยืมเพื่อส่งเสริมในสาขาวิชาการที่ตลาดแรงงานต้องการ โดยไม่เน้นว่าต้องเป็นนักศึกษาขาดแคลนหรือยากจนก็ตาม  ซึ่งส่วนที่เพิ่มขึ้นคือ  ทุนเรียนดี และสาขาที่ขาดแคลนและจำเป็นต้องให้การส่งเสริม เช่น การพัฒนาประเทศหรือสาขาที่ไม่มีคนสมัครเรียน  2. กยศ.สามารถเข้าถึงข้อมูลลูกหนี้โดยไม่ว่าข้อมูลจะอยู่หน่วยงานใด  ซึ่งเป็นการปลดล็อกข้อห้ามทางกฎหมายเรื่องการเปิดเผยข้อมูลและการหักเงินเดือนโดยกฎหมายบังคับนายจ้างเอกชน  รัฐวิสาหกิจมีหน้าที่หักเงินเดือนพร้อมส่งภาษีให้กรมสรรพากร โดยกรมสรรพากรจะโอนหนี้ให้กยศ.ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ค้างในอนาคต
          ต่อข้อถามถึงคุณภาพลูกหนี้นั้น ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารหนี้กล่าวว่า ภาพรวมวงเงินกู้ยืมเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 4.6 ล้านราย วงเงินประมาณ 4.5 แสนล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีหนี้ที่ครบกำหนดชำระ 3 ล้านราย  ปิดบัญชีแล้ว 4 แสนราย วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท คงเหลือกว่า 2 ล้านราย และมีเงินต้นตามสัญญาประมาณ 1 แสนล้านบาท   ทั้งนี้มีนักเรียน นักศึกษาที่อยู่ระหว่างศึกษา ประมาณ 1 ล้านราย คิดเป็นวงเงินกู้ประมาณ 1 แสนล้านบาท(ยังไม่ครบกำหนดชำระหนี้เงินกู้)
          นอกจากนี้ คงมีวงเงินค้างชำระอยู่ จำนวน 5.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 50% ของยอดเงินกู้ที่ครบกำหนดชำระ 1 แสนล้านบาท  ซึ่งเงินกู้ค้างชำระ 50%ที่ครบกำหนดแต่ยังไม่จ่ายแบ่งเป็น 1. กลุ่มทั่วไปมียอดหนี้ค้างชำระ 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ค้างชำระน้อยเพียง 22% จากยอดหนี้ที่ครบกำหนด จากจำนวน 2ล้านราย 2. กลุ่มไกล่เกลี่ยจำนวน 1 แสนรายยอดหนี้ค้างชำระ 7,000 ล้านบาท โดยกลุ่มนี้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้วไม่สามารถชำระหรือค้างชำระ 78%  เตรียมดำเนินคดีในระยะถัดไป และกลุ่ม 3. เป็นลูกหนี้ถูกดำเนินคดีแล้วกว่า 6 แสนราย  มีหนี้ค้างชำระ 3.6 หมื่นล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วน 90% โดยกลุ่มนี้ต้องดำเนินการบังคับคดี ตามรุ่นปีที่ฟ้องร้อง เช่น ปี 2559 จะบังคับคดีกับลูกหนี้ที่กยศ.ฟ้องในปี 2550 และในปี 2560 กยศ.จะบังคับคดีลูกหนี้ที่ถูกฟ้องในปี 2551 ซึ่งในกระบวนการบังคับคดีนั้นเป็นหน้าที่กยศ.ต้องทยอยดำเนินการ เพราะหากไม่ดำเนินการเจ้าพนักงานจะมีความผิดทางกฎหมายเช่นกัน
          “ทุกวันนี้ กยศ.เปิดทุกช่องทางให้ผู้กู้ชำระคืนหนี้ อยากให้ทุกคนตระหนักและรับผิดชอบต่อการนำเงินกู้คืนกองทุนเพื่อจะนำส่งต่อรุ่นต่อไป ที่สำคัญเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ลูกหนี้ถ้ามีทรัพย์สินไม่ควรผ่องถ่ายโอนทรัพย์ให้ผู้อื่นพยายามทำไม่ให้มีทรัพย์  เพราะพฤติกรรมดังกล่าวมีความผิดทางอาญาและนิติกรรมที่ลูกหนี้ดำเนินการโอนไปนั้นสามารถขอคำสั่งศาลให้เพิกถอนได้  ซึ่งนอกจากมีความผิดหนีหนี้แล้วยังเข้าข่ายผิดทางอาญาด้วย”
          ขณะเดียวกันกยศ.ได้เพิ่มช่องทางให้ลูกหนี้ทยอยคืนหนี้เงินกู้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดโครงการกยศ.-กรอ.เพื่อชาติและโครงการปิดชำระภายในวันที่ 30 กันยายน 2559 รับส่วนลดเบี้ยปรับ 100% นอกจากนี้ที่ผ่านมากยศ.ได้ว่าจ้างบริษัทภายนอกให้ติดตามทวงถามหนี้  ซึ่งผลดำเนินงาน 3 ครั้งสามารถทวงหนี้ได้ 5,500 ล้านบาท โดยจ่ายค่าติดตามทวงถามในอัตรา 7%  ซึ่งโดยรวมกยศ.จ่ายค่าติดตามทวงถามหนี้ประมาณ  200 ล้านบาท สามารถลดการดำเนินคดีลูกหนี้กว่า 1 แสนราย ลดค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดี 700 ล้านบาท และมีเงินกลับสู่ระบบด้วย อนึ่งสำหรับหนี้ที่ครบกำหนดเมื่อ(วันที่ 5 กรกฎาคม 2559) มียอดการชำระหนี้กยศ.เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 39% และกรอ.เพิ่มขึ้น 27%

          ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 21 – 23 ก.ค. 2559–