ปลัด ศธ. กล่าวว่า สืบเนื่องจากตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนได้พัฒนาอย่างมั่นคงและลึกซึ้งในทุกมิติ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจ ความไว้วางใจ และความร่วมมือระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดยไทยและจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีความใกล้ชิด มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ และมีการขยายความร่วมมือเชิงลึกในทุกมิติ
โดยในปี 2568 ได้ครบรอบ 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญกับการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนในโรงเรียนเอกชนทุกระดับ มีการเปิดห้องเรียนพิเศษภาษาจีน การพัฒนาครูผู้สอน ตลอดจนการสร้างสื่อดิจิทัลสำหรับการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับบริบทสากล
นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการความร่วมมือ และกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การประกวดสุนทรพจน์และความรู้ภาษาจีน การจัดสรรครูอาสาสมัครจีนให้แก่โรงเรียนเอกชน
การดำเนินการในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือของโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน เนื่องในโอกาสความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี มีผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วยผู้รับใบอนุญาต ผู้บริหารโรงเรียน และครูในโรงเรียนเอกชน และคณะเจ้าหน้าที่ สช. จำนวนทั้งสิ้น 250 คน
โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ในฐานะที่เป็นส่วนราชการที่ดูแลรับผิดชอบโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน ส่งเสริมสนับสนุนและร่วมดำเนินการในการพัฒนาโรงเรียนเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง ช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูสอนภาษาจีนในโรงเรียนเอกชน มีการติดตามผลการสอนภาษาจีนและพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีมาตรฐานและศักยภาพด้านภาษาจีนที่สูงขึ้น โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนภาษาจีนมีคุณภาพและศักยภาพทางภาษาจีนที่สูงขึ้น และได้ร่วมมือกับสมาคมและเครือข่ายเอกชนสอนภาษาจีน ยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนภาษาจีนในโรงเรียนเอกชนในประเทศไทย
“กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดนโยบายด้านการศึกษา 3+1 ที่เน้นการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต คือ ทักษะ 3 ภาษา (ไทย, อังกฤษ, จีน) ควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้าน AI เพื่อสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และมีรายได้ระหว่างเรียน
โดยเป้าหมายของนโยบาย 3+1 คือ การยกระดับสมรรถนะผู้เรียนผ่านการสร้างผู้เรียนให้มีทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึงการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ รวมถึงเป็นการส่งเสริมการหารายได้ สนับสนุนให้ผู้เรียนมีทักษะที่นำไปสู่การสร้างรายได้ระหว่างเรียน และมีงานทำเมื่อสำเร็จการศึกษา และลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยการใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ และการมีส่วนร่วมของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน”
นายโกเมศ กลั่นสมจิตต์ รองเลขาธิการ กช. กล่าวเพิ่มเติมในประเด็น “อนาคตการศึกษาภาษาจีนในไทยกับยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน” ว่า โรงเรียนเอกชนในประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน เพราะมีความคล่องตัวในการจัดหลักสูตร และมีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์อนาคต
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนได้มีความร่วมมือกับสมาคมโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน รวมถึงเครือข่ายตามภูมิภาคอีก 7 เครือข่าย ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลข่าวสารช่วยเหลือ ขับเคลื่อน และผลักดันให้โรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีนมีความ เพื่อยกระดับคุณภาพครูผู้สอนและพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้ทันสมัย รวมถึงการส่งต่อนักเรียนเข้ารับการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เพราะทาง สช. เล็งเห็นว่า โรงเรียนเอกชนไม่เพียงเป็น “ผู้สอนภาษา” แต่ยังเป็น “ผู้สร้างสะพานเชื่อมโยง” ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยและจีนในอนาคตอีกด้วย
ดังนั้น โรงเรียนเอกชนควรพัฒนาสื่อการเรียนการสอนภาษาจีนที่สอดคล้องกับยุคดิจิทัล ยกระดับครูผู้สอนให้มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาและเทคโนโลยี สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันชั้นนำของจีน และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกประสบการณ์จริง ทั้งในประเทศไทยและประเทศจีน
พร้อมย้ำว่า “การศึกษา” คือ สะพานที่แข็งแรงที่สุดที่จะเชื่อมโยงคนสองประเทศเข้าด้วยกัน ภาษาจีนจึงไม่ใช่เพียงแค่ทักษะ แต่คือโอกาสในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับเยาวชนไทย และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไป
“หากมองไปสู่อนาคต 10 ปีข้างหน้า หากเราวางยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนร่วมกันอย่างจริงจัง ประเทศไทยจะสามารถสร้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญภาษาจีนได้มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด เยาวชนไทยจะไม่เพียงสามารถสื่อสารภาษาจีนได้คล่องแคล่ว แต่ยังเข้าใจวัฒนธรรม ความคิด และวิธีการทำงานร่วมกับชาวจีนอย่างลึกซึ้ง
เมื่อการศึกษาเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ เราจะมีโอกาสดึงดูดการลงทุน สร้างเครือข่ายธุรกิจ และสร้างความร่วมมือทางวิชาการในระดับสูงยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น ศูนย์กลางเศรษฐกิจและการศึกษาของอาเซียนต่อไปในอนาคต”
ในขณะที่นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการ กช. กล่าวว่า สช.เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียน ผ่านการเสริมสร้างศักยภาพครูผู้สอนทั้งชาวไทยและชาวจีน รวมถึงช่วยสนับสนุนด้านทรัพยากรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและทิศทางความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งยังเน้นย้ำถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายทางการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนภาษาจีนให้มีความยั่งยืนและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมในอนาคต
การประชุมครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย นายมณฑล ภาคสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) นายโกเมศ กลั่นสมจิตต์ รองเลขาธิการ กช. WANG, XIAOYAN ผู้อำนวยการศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษา สำนักงานกรุงเทพฯ (CLEC) ดร.แสงชัย โสตถีวรกุล นายกสมาคมโรงเรียนสอนภาษาจีน และประธานเครือข่ายโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน ภาคตะวันตก นางสาวผุสดี คีตวรนาฏ ประธานเครือข่ายโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน กรุงเทพมหานคร ดร.ปณิธิ ตั้งผาติ นายกสมาคมโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีนภาคเหนือ (ประเทศไทย) นายวิโรจน์ เตียวแสงสุข ประธานชมรมโรงเรียนสอนภาษาจีนภาคตะวันออก แห่งประเทศไทย นายทศวร วิวัฒน์สุรกิจ ประธานเครือข่ายโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีนภาคใต้ นายวรากร โรจน์จรัสไพศาล ประธานชมรมโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นางสาวพรทิพย์ ชัยศิริรัตน์ ประธานเครือข่ายโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน ภาคกลาง พร้อมด้วย คณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และบุคลากร สช. ผู้รับใบอนุญาต ผู้บริหารโรงเรียน และครูในโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน
สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / ข่าว กราฟิก
ประชาสัมพันธ์ สช./ ข้อมูล ภาพ