แนวความคิดเกี่ยวกับหลักการปฏิรูปการศึกษา
การศึกษาขั้นพื้นฐานตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
โดยคุณดวงชัย ผลชีวิน
สังคมโลกเปลี่ยนแปลงไป อย่างรวดเร็ว ผู้คนก็ต้องปรับตัวให้ทันสังคม นับเป็นหลักการที่สังคมไทย
ก็ต้องเผชิญหน้าอยู่เหมือนกับสังคมอื่นๆ ตัวชี้วัดอย่างหนึ่งไม่ต้องดูอื่นไกล พ่อแม่ ผู้ปกครองของเด็กเรา
ชาวไทยนี่แหละ เมื่อทางราชการแสดงท่าทีว่าจะจัดการปฏิรูปการศึกษา ทั้งๆที่ยังประสบกับภาวะวิกฤต
ทางด้านเศรษฐกิจกันอยู่ทั่วหน้าไม่ทันหาย เรื่องของลูกเล็กเด็กๆทั้งหลายที่อยู่ในวัยเล่าเรียนก็เป็นพันธกิจที่พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องเอาใจใส่เพิ่มเติมขึ้นอีก ด้วยความเต็มใจยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น กระแสทางหนึ่งที่
เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ คือ กลุ่มประชาชนทั่วไป พ่อแม่ ผู้ปกครอง ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของการ
ปฏิรูปการศึกษาที่ส่วนราชการกำลังดำเนินการในรูปลักษณ์ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งสะท้อนผ่านทางสื่อ
มวลชนต่างๆทั้งทางหนังสือ นิตยสาร รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ อย่างหลากหลาย แล้ว บทความนี้จึง ขอร่วม แลกเปลี่ยน มุมมอง แนวคิด เสนอแนวทางปฏิบัติเพื่อ / หรือกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและหาแนวทางเลือกอื่นๆที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้นต่อๆไปทั้งในส่วนของประชาชนชาวไทยทั่วไปและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อการพัฒนาการศึกษาไทย ให้ได้ผลตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย พ.ศ.2540 และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่ชาวไทยรับรู้กันแล้ว
ประเด็นหลัก ที่กลุ่มผู้ปกครองเด็กเป็นห่วง เห็นจะได้แก่ การเตรียมพร้อมรับสถานการณ์การจัดการศึกษาซึ่งขณะนี้มีความก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งคือ กระทรวงศึกษาธิการกำลังพิจารณากรอบโครงสร้างหลักสูตรการศึกษา ซึ่งก็คงจะมีการประกาศใช้และดำเนินการจัดการศึกษา ลงไปถึงการเรียนการสอนในโรงเรียน ตามลำดับ ต่อไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความวิตกกังวลในใจ ว่า การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานจะสำเร็จลงหรือไม่ และในลักษณะใด ผู้เขียนขอเสนอสมมติฐานประการแรกว่า การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานจะสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ การยอมรับหลักการของการกระจายอำนาจโดยจริงใจจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในยุคนี้ เราจะเห็น ตัวอย่างผลเสียของการรวมการจัดการทุกอย่างไว้ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งเดียวได้มากขึ้นทุกทีในทุกสาขากิจการ แม้แต่ในด้านการศึกษา ระบบการรวมอำนาจในการจัดการต่างๆไว้ในส่วนกลางนำไปสู่จุดอ่อนในเรื่องการริเริ่มทำสิ่งต่างๆด้วยตนเองของหน่วยงานในเขตพื้นที่ การพัฒนาชุมชนและสังคมให้ก้าวหน้าจึงเป็นไปได้ยากหรือเชื่องช้าไม่ทันการณ์ โดยเฉพาะเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จุดนี้จึงเป็นเจตนารมณ์สำคัญของกฎหมายแม่บทของชาติ ทั้ง 2 ฉบับ ในระดับชาติซึ่งมุ่งให้เกิดความหลากหลายของการปฏิบัติในเขตพื้นที่และสถานศึกษาเป็นนิมิตรหมายของ การจัดการศึกษาตามสภาพจริง อันเป็นเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นที่เชื่อว่า การศึกษาน่าจะพัฒนาได้อย่างยั่งยืนมากกว่าการดำเนินงานภายใต้ระบบเดิมที่ใช้กันมาที่ทุกอย่างกำหนดไปจากส่วนกลาง โดยนัยดังกล่าว ในระดับการปฏิบัติงาน เขตพื้นที่และสถานศึกษาจึงต้องไหวตัว เพื่อปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การดำเนินงานให้สอดรับกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาเพราะเขตพื้นที่และสถานศึกษาคือตัวจักรสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้แนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาเป็นจริงได้ เขตพื้นที่ และสถานศึกษาจะต้องนำศักยภาพที่มีอยู่ขององค์กร หน่วยงาน และบุคลากรในหน่วยงานมาใช้ เพื่อพัฒนาการศึกษาให้ก้าวไกล สามารถสนองความต้องการของชุมชน เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยให้อยู่รอดในสังคมโลกได้อย่างมีคุณค่าและประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน การยอมรับการกระจายอำนาจอย่างจริงใจนี้ จะต้องออกไปจากบุคลากรผู้ปฏิบัติงานจากราชการส่วนกลางทุกส่วนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย ลองคิดดูก็แล้วกันว่า สภาพการณ์ของสังคมไทยจะเป็นอย่างไร าการปฏิบัติงานของบุคลากรจากส่วนกลางยังขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเดิม ตามรากฐานความเชื่อที่สั่งสมกันมานานแล้ว เช่น ไม่ยอมรับความสามารถของประชาชนพลเมืองทั่วไป ทำทุกอย่าง เพื่อความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ของตนเองและพวกพ้อง โดยปราศจากการคิดถึงผลดีที่คนในสังคมส่วนรวมควรจะได้รับด้วย
อก่อนนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่จะใช้คำว่า ” มองการณ์ไกล ” ในวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยในสถานการณ์ด้านต่างๆ มาอย่างได้ความหมายที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ปัจจุบัน จะด้วยเหตุของ การต้องหาคำหรูๆเพื่ออิงกับคำของฝรั่ง ไม่อิงเขาแล้วเราจะอยู่ไม่ได้ ไม่ทันสมัยรืออย่างไรไม่ทราบ เราจึงได้ยินและใช้คำว่า ” วิสัยทัศน์ “กันอย่างแพร่หลาย ด้วยความเข้าใจถึงนัยความสำคัญของคำเพียงใดก็ไม่รู้ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการปฏิรูปการศึกษาย่อยลงมาถึง การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน แนวคิดหลักของคำว่า วิสัยทัศน์ อันได้แก่ ภาพของอนาคตอันเป็นที่หวังเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำและสามารถเป็นไปได้ หรืออาจเกิดขึ้นได้นั้น เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้นำและหน่วยงานที่จะบริหารงานให้มีประสิทธิภาพ กล่าวคือ จะต้องมีวิสัยทัศน์ในเรื่องของเป้าหมาย(Goal) ของภารกิจต่างๆที่จะดำเนินการอย่างชัดเจน ทั้งนี้การกำหนดให้มีวิสัยทัศน์ มิใช่เป็นภารกิจของผู้ปฏิบัติในระดับท้องถิ่นหรือสถานศึกษา ฝ่ายเดียว หากแต่เป็นภารกิจของผู้ปฏิบัติจากส่วนกลาง ซึ่งจะต้องสอดคล้องไปในทางเดียวกัน ทั้งสองระดับด้วย นอกจากนี้ยังต้องระลึกไว้ด้วยว่า เมื่อมีการดำเนินการตามภารกิจจนบรรลุเป้าหมายแล้วจะส่งผลให้เกิดปัญญาและความพึงพอใจในผลงานที่ได้ร่วมกันทำ การริเริ่มสิ่งต่างๆอันเป็นเรื่องของการพัฒนาหลักสูตรและการปฏิรูปการศึกษาจะเกิดขึ้นได้เมื่อบุคลากรในชุมชนหรือองค์กรได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ที่จะนำไปสู่คุณภาพหรือความเป็นเลิศของการศึกษาในชุมชนหรือองค์กรของตน ในทุกขั้นตอน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ บุคลากร ผู้ปฏิบัติงานในสายราชการจะต้องตระหนักว่า การปฏิรูปการศึกษา อย่างแท้จริง จะเกิดขึ้นได้ หากผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้มองอนาคตร่วมกัน ทั้งในส่วนที่เป็นภาพรวมของการจัดการศึกษา และหลักสูตรรายวิชาต่างๆ ผู้ใดก็ตามที่ สนใจในเรื่องของการปรับปรุงคุณภาพด้านต่างๆของโรงเรียน ควรได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างวิสัยทัศน์ของโรงเรียน ผู้ปกครอง ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบอาชีพต่างๆต้องร่วมมือกัน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ทั้งนี้ การได้มีส่วนร่วมของทุกฝ่ายดังกล่าวจะทำให้เกิดความรู้สึกในความเป็นเจ้าของร่วมกันทั้งกระบวนการทำงาน และผลของงาน หากการจัดการดังกล่าวมาจากฝ่ายราชการฝ่ายเดียวหรือจากฝ่ายประชาชนฝ่ายเดียว ย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่รับกับเจตนารมณ์ที่เป็นนโยบายระดับชาติ
การที่สถานการณ์ของการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานยังก้าวไปได้ในระดับที่ยืดเยื้อมานานกว่าจะผ่านมาถึงขั้นยอมรับกรอบโครงสร้างหลักสูตรการศึกษา ในขณะนี้ จึงชวนให้คิดและเป็นข้อพึงตระหนักต่อไปในภายหน้าระหว่างการดำเนินงานจากฝ่ายต่างๆได้ ว่า ความเข้าใจต่อภารกิจการกำหนดวิสัยทัศน์ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของกลุ่มผู้ปฏิบัติงานทั้งสองระดับ รวมไปถึงต่อภาคประชาชน ดังกล่าวนั้น ตรงกันหรือยัง เท่าที่ทราบมา ประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้อีกประเด็นหนึ่งก็คือ จำนวนวิชาต่างๆที่ปรากฏอยู่ในร่าง หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา กำหนดโครงสร้างเป็น 8 กลุ่มวิชา ได้แก่ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปศึกษา การงานและอาชีพ และ ภาษาต่างประเทศมีเสียงมาจากหลายฝ่ายว่า จำนวนวิชา 8 วิชานี้ จะมากเกินไปหรือไม่ โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษา
เหตุผลของการกล่าวว่า จำนวน 8 วิชา มากไปหรือไม่นั้น สรุปแล้ว มีเหตุผล ข้อวิตก โดยนัยอยู่หลายประการ เช่น ข้อวิตกอันเนื่องมาจากรูปลักษณ์ที่บ่งบอกถึงเนื้อหาสาระต่างๆที่อัดแน่นกันอยู่ในศาสตร วิชาต่างๆ จะเป็นอุปสรรคต่อการที่จะทำให้ผู้เรียน ทั้ง เก่ง ดี มีความสุข เนื้อหาสาระที่มากมายเกินไป และจุดเน้นของทิศทางการศึกษาที่ไม่เปิดทางเลือกอื่นใดให้แก่เด็ก ทำให้เด็กต้องพยายามเรียนให้เก่ง อย่างเดียว การที่จะเป็นคนดีและมีความสุข เป็นอันหวังไม่ได้อีก มีผู้กล่าวว่า ถ้าเรียน 8 วิชา เด็กก็ต้องนั่งเรียนกันตลอดทั้งวันเป็นแน่ ไม่มีเวลายืดเส้นยืดสาย ไหนจะต้องทำการบ้านอีกซึ่งฟังแล้วกลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับความรู้สึกของพ่อแม่ ผู้ปกครองของเด็ก อีกประเด็นหนึ่งที่พูดถึงกันคือ บูรณาการ ผู้เขียนเริ่มจะเห็นว่า การบูรณาการเนื้อหาวิชาต่างๆที่มีไม่ใช่น้อยๆ ที่คิดกันอยู่ขณะนี้ อาจไม่ช่วยแก้ปัญหาได้จริง เพราะเนื้อหาวิชาต่างๆมีมาก หากตั้งหน้าตั้งตาบูรณาการแต่เนื้อหาเหล่านั้น โอกาสที่จะเสร็จสมบูรณ์จะเกิดขึ้นได้เมื่อใด และหวังว่าคงไม่มีผู้ใดคิดว่าผู้เขียนต่อต้านเรื่อง
บูรณาการ เพราะกำลังจะนำเสนอให้ช่วยกันมองอีกมุมหนึ่งของการบูรณาการ นั่นคือ การบูรณาการตามสภาพจริงที่มีความหมายต่อการดำรงชีวิตของผู้เรียน ซึ่งเมื่อนำมาใช้แล้ว จะมีประโยชน์ต่อผู้เรียนและต่อสังคม ไม่เปล่าประโยชน์ให้หลังขดหลังแข็งเรียนกันถึง 8 หรือ 9 หรือ 10 วิชา ไปตามรูปลักษณ์ของร่างหลักสูตรรายวิชา ที่มีผู้แสดงความห่วงใย กังวลดังกล่าวแล้ว ผู้เขียนเห็นว่า ในสภาพสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและที่จะดำเนินต่อไปในอนาคตเด็กจะสามารถรับรู้หรือเรียนรู้ วิทยาการต่างๆได้จากสื่อเทคโนโลยีอันก้าวหน้าได้มากมายหลากหลายขึ้น หากจัดเป็นรายวิชาเดี่ยวก็มากมายเกินจะรับแล้วการเรียนรู้จึงต้องเป็นไปในลักษณะบูรณาการเข้ากับวิถีชีวิตของคนไทย ให้ตรงประเด็นมากที่สุด วิชาที่เด็กจะต้องเรียนน่าจะเป็นวิชาที่ นำไปประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตในมิติสำคัญของสังคมไทย ภายใต้ชื่อวิชาที่สะท้อนให้เห็นแก่นแท้ของวิถีชีวิตด้านต่างๆ ซึ่งอาจไม่ต้องถึง 8 วิชาเลยก็น่าจะเป็นไปได้ โดยที่วิชาหลักที่เคยเรียนกันมาเป็นศาสตร์สาขาต่างๆ ตั้งแต่สมัยพ่อแม่ผู้ปกครอง นั้น ยังเป็นพื้นฐานการเรียนรู้เพื่อ นำไปใช้ แทรกอยู่ในวิชาที่จัดชื่อใหม่ตาม ความจำเป็นของสังคมไทย แต่ดูเหมือนว่าประเด็นนี้จะไม่ได้รับการพิจารณาจากฝ่ายราชการผู้ปฏิบัติงานเสียเลย
เรื่องที่มีการพูดกันมาก วิพากษ์วิจารณ์กันมาก คือ มาตรฐาน ซึ่งในความหมายทั่วๆไป ก็เคยได้ยินได้ฟังกันมาอีกเรื่องหนึ่งคือ คุณภาพการศึกษา ในที่นี้ คำทั้งสองคำนี้จะใช้แทนกันได้บ้าง เพราะในที่สุด ทั้ง มาตรฐาน และคุณภาพการศึกษา ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังก็มุ่งไปที่ ผู้เรียน แต่ทั้งนี้ กว่าคุณภาพจะไปถึงผู้เรียน ตลอดระยะทางก็ต้องมีคุณภาพ เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่า การสอนต้องดี ครูต้องดี หลักสูตรต้องดี ฯลฯ แต่จริงๆแล้ว อาจมาดูที่ปลายทาง คือ เด็ก อันนำมาซึ่งความอกสั่นขวัญแขวน หรือ ขวัญหาย แก่โรงเรียน หรือสถานศึกษา ซึ่งอาจจะไม่ได้รับความยุติธรรมเพียงพอนอกจากนั้นยังอาจขึ้นอยู่กับประเด็นว่า มาตรฐานที่กำหนดให้ใช้ได้ตรงกันทุกโรงเรียนหรือไม่ ถ้ามาตรฐานไม่ตรงกัน โรงเรียนหรือสถานศึกษาจะต้องทำอย่างไร การนำมุมมองต่างๆที่ไม่เหมือนกันมากำหนดเป็นมาตรฐาน โดยพื้นฐานที่มาไม่เหมือนกันและจะกำหนดให้ทุกแห่งต้องทำได้เหมือนกันจึงเป็นเรื่องยาก กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า คุณภาพต้องไปด้วยกันทั้งระบบ
ขณะนี้ จึงเสมือนกับว่าเกิดภาวะของการหลง ว่า มาตรฐานจะเกิดจากการรวมอำนาจที่จริงนั้น มาตรฐานที่แท้จริงและสมบูรณ์จะต้องเกิดจากกระบวนการที่ถูกต้อง มิใช่เพียงการตัดต่อจากตำราอย่างที่เคยทำกันมา หากเราหวังการพัฒนาที่ยั่งยืน ควรเปิดโอกาส ให้ ประชาชนเจ้าของประเทศ ชุมชน มีส่วนร่วม ใช้ภูมิปัญญาไทย ผสมผสานกับหลักวิชาหรือแนวคิดใหม่ซึ่งอาจได้มาจากตำราสากล หรือที่พวกเราชาวไทย สังเคราะห์ขึ้นได้เองในฐานะของประชาชนชาวไทยและผู้ปกครองของเด็กวัยเรียน 2 คน ทำให้ผู้เขียนต้องปรับตัวเองเช่นเดียวกับพ่อแม่ ผู้ปกครองท่านอื่นๆอีกหลายคน หลายกลุ่มที่ต้องกลายเป็นผู้ที่ต้องเรียนรู้ร่วมไปกับลูกเล็กเด็กไทย ทั้งหลายติดตามข่าวสารและข้อมูลด้านการศึกษา เพื่อสร้าง และเตรียมการในลักษณะและมุมมองที่นอกจากเพื่อการทันต่อการณ์ของเด็กแล้ว ยังต้อง เพื่อทันต่อการณ์ในระยะยาว ซึ่งเป็นค่านิยมที่พวกเราชาวไทยอาจจะยังไม่ได้ให้ความสนใจ ให้ความสำคัญมากเท่าที่ควร ความคิดเห็นที่นำเสนอไว้ ณ ที่นี้ จึงเป็นมุมมองที่ ขอร่วมคิดกับคนไทยซึ่งอาจจะยังไม่สมบูรณ์ที่สุดและอาจอภิปรายต่อได้อย่างกว้างขวาง ผู้เขียนหวังว่า คงจะได้ร่วมเสนอผลจากการศึกษาข้อมูลและการสังเคราะห์แนวคิด แนวทางปฏิบัติทางด้านการศึกษา สำหรับชาวไทยทุกสาขาอาชีพ
ในโอกาสต่อไป