มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต (มรภ.) ส่งทีม “ปลายข้าวสู้ๆ” เข้าร่วมการแข่งขันหุงข้าวชิงแชมป์ประเทศไทย ที่บริษัท คลาสสิค คลาส จำกัด จัดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้คนไทยหุงข้าวกินเอง รับมือภาวะข้าวแพง
การแข่งขันทีมนักศึกษาของมรภ.สามารถผ่านเข้ารอบการแข่งขันระดับภาคใต้ใน 2 ทีมสุดท้าย พร้อมเป็นตัวแทนระดับภาคใต้ เข้าร่วมการแข่งขันระดับประเทศ ประกอบด้วย นายชนกันต์ กรอบแก้ว น.ส.กาญจนา นวลจันทร์ น.ส.วิภาวรรณ ชูพล นักศึกษาโปรแกรมวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีน.ส.โสภา กุลนุวงศ์ และนางฉัตรดาว ไชยหล่อ เป็นอาจารย์ควบคุมและดูแลผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งสามารถคว้าแชมป์การหุงข้าวระดับประเทศ ชิงถ้วยรางวัลประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ณ ลานพาร์คพารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ
สำหรับการแข่งขันหุงข้าวชิงแชมป์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นการรณรงค์ให้คนไทยหุงข้าวกินเอง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในภาวะข้าวแพง โดยมีการแข่งขันหุงข้าว 4 ภาค ชิงความเป็นเจ้าในรายการหุงข้าวชิงแชมป์แห่งประเทศไทย “ข้าวของพ่อ ข้าวของแผ่นดิน” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลพระชนมพรรษา 80 พรรษา ชิงถ้วยรางวัลประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และเงินรางวัล 50,000 บาท
ในการแข่งขันครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและมีชื่อเสียงร่วมในการพิจารณาตัดสินการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งมีทีมชนะเลิศจากแต่ละภาค ภาคละ 2 ทีม รวมทั้งสิ้น 8 ทีม
นายชนกันต์ กรอบแก้ว นักศึกษาผู้เข้าร่วมการแข่งขัน เปิดเผยหลังจากการแข่งขันว่า สำหรับการจัดการแข่งขันในระดับประเทศนั้น ได้มีกติกาในการหุงข้าว 2 รูปแบบ คือ แบบที่ 1 เป็นการหุงข้าวแบบดั้งเดิม หรือการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ และแบบที่ 2 วิธีการหุงข้าวแบบสมัยใหม่หรือการหุงข้าวด้วยไฟฟ้า โดยหม้อหุงข้าวโทแม็กท์
สำหรับการหุงข้าวแบบที่ 1 เป็นการหุงข้าวแบบดั้งเดิม ได้ใช้ชื่อว่า “คู่บุญบารมีจักรีวงศ์” ทั้งนี้เพราะต้องการสื่อความหมายของสีข้าว 2 สี คือ สีเหลือง และสีฟ้า โดยการหุงข้าวแบบแรกนั้นสื่อความหมายผ่านสีของข้าว เป็นสีฟ้า ซึ่งหมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เกิดโครงการป่ารักน้ำ ซึ่งส่งผลให้มีน้ำเพื่อการเพาะปลูกข้าว ในการนี้จึงได้ใช้สูตรการหุงข้าว ประกอบด้วย ใช้น้ำอัญชัน ลูกเดือย ซึ่งผ่านการแช่น้ำก่อนล่วงหน้า 3 ชั่วโมง สำหรับเมล็ดเดือยนั้น เนื่องจากเดือยเป็นธัญพืชที่เป็นอนุมูลอิสระป้องกันโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้ มีการเติมน้ำกะทิ เพื่อให้ข้าวเกิดความเงางาม มีกลิ่นหอมของกะทิ บวกกับการโรยเมล็ดงาสลับกับข้าว 3 ชั้น ซึ่งจะได้อรรถรสในการทานข้าวมากยิ่งขึ้น
ส่วนการหุงข้าวแบบที่ 2 เป็นการหุงข้าวแบบสมัยใหม่ เน้นให้สีของข้าวเป็นสีเหลือง เพื่อแทนความหมายและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยชาวนา โปรดเกล้าฯ ให้เกิดโครงการตามพระราชดำรินับพันโครงการ ช่วยชาวนาไทยให้มีกำลังกาย กำลังใจ และใช้กำลังปัญญาเพื่อให้ได้ผลผลิตข้าวที่ดี สำหรับคนไทยทุกคน ในการนี้ได้ใช้น้ำขมิ้นในการหุงข้าว ซึ่งน้ำขมิ้นจะเป็นยาสมุนไพรในการรักษาโรคกระเพาะได้ดี เติมน้ำกะทิ ช่วยเพิ่มความเงางามของเมล็ดข้าว และใส่ข้าวโพด จะทำให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน
ด้านน.ส.กาญจนา นวลจันทร์ และน.ส.วิภาวรรณ ชูพล นักศึกษาผู้เข้าร่วมแข่งขัน กล่าวให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ในการแข่งขันครั้งนี้ นอกจากมีสูตรการหุงข้าวที่มีความต่างแล้ว ยังมีเทคนิควิธีการหุงที่ไม่เหมือนใคร เช่น การอังไฟ ที่จะต้องอังทุกทิศทางและทุกด้านของหม้อข้าว เพื่อให้ข้าวสุกทั่วทั้งหม้อ วิธีการฟัดข้าว ก็จะมีวิธีการฟัดอย่างไรให้ข้าวสุกทั่วทั้งหม้อ ข้าวไม่หัก เหยียดตรงสวย การตักข้าวก่อนเสิร์ฟ เช่น การตักข้าวไว้นาน ข้าวจะแห้งไม่สวย ถ้าตักเร็ว ข้าวจะแฉะ ไม่สวย เป็นต้น
การตกแต่งและการนำเสนอก็เป็นส่วนสำคัญในการแข่งขันครั้งนี้ กล่าวคือ การตกแต่งภาพลักษณ์โดยรวมของสถานที่ในการประกอบอาหาร จะมีการนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชดำเนินตามท้องทุ่ง และบริเวณกรอบโดยรอบจะประดับด้วยเมล็ดธัญญาพืชที่มีคุณค่ารวมถึงรวงข้าวประดับตกแต่ง นอกจากนี้ ยังมีรูปพระแม่โพสพ เพื่อเป็นการแสดงถึงความเคารพและแสดงความกตัญญู นอกจากนี้ การจัดตกแต่งสำรับกับข้าว ได้นำงานฝีมือเข้ามาประกอบ เช่น การแกะสลักฟักทองเพื่อเป็นภาชนะใส่ข้าว
นอกจากนี้ ด้านการแต่งกายของผู้แข่งขัน จะแต่งกายด้วยชุดประจำภาค ซึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ ผู้หญิงใส่ชุดย่าหยา และผู้ชายแต่งกายด้วยชุดลิเกฮูลู และที่ขาดไม่ได้คือ การนำเสนอโครงกลอนที่ประพันธ์โดย น.ส.พรพักตรา ไชยเศรษฐ อาจารย์ประจำโปรแกรมวิชาภาษาไทย ชื่อว่า ข้าวของพ่อ ข้าวของแผ่นดิน ที่ว่า
“เม็ดสีขาว หอมกรุ่น ละมุนนัก ฉันหุงข้าว ด้วยความรัก ประจักษ์ค่า
มีข้าวกิน มีถิ่นเหย้า แต่เนามา เทิดวิญญา ความเป็นไทย ใจภักดี
เดินตามรอย พระบาท”พ่อ” ขอกินข้าว สืบเรื่องราว ความอุดม สมศักดิ์ศรี
ข้าวทุกเม็ด ขอถวาย เป็นราชพลี ข้าวจะสร้าง คนดี ของแผ่นดิน”
ผศ.สุพาณี บุญโยม กล่าวให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การส่งเสริมให้นักศึกษาทำกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวนี้ได้สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เป็นกิจกรรมที่ดีซึ่งจะช่วยกระตุ้นและปลูกจิตสำนึกให้เยาวชนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของสังคม เช่น การหุงข้าวแบบดั้งเดิมหรือแบบเช็ดน้ำ ปัจจุบันมีเยาวชนน้อยมากที่สามารถหุงข้าวที่ถูกวิธีแบบนี้ได้ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นการส่งเสริมเยาวชนให้หันมาให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตที่ดีที่ควรสนับสนุน
ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod