หากย้อนกลับไปในวัยเด็ก เชื่อว่าหลายคนคงต้องเคยรู้สึกน้อยใจพ่อแม่กันอยู่ไม่น้อยว่า ทำไมตัวเองไม่ใช่ลูกคนโปรด หรือลูกรักของพ่อแม่ กลายเป็นภาพฝังจำไม่รู้ลืม ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน โดยเฉพาะพ่อแม่ที่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะมีผลวิจัยล่าสุดออกมาเปิดเผยว่า พ่อแม่ที่รักลูกไม่เท่ากัน อาจนำไปสู่พฤติกรรมการเรียกร้องความสนใจในวัยเด็ก จนกระทั่งอาการซึมเศร้าเมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ในวัยกลางคนได้
ในเรื่องนี้ “พญ.สินดี จำเริญนุสิต” กุมารแพทย์ ด้านพัฒนาการ และพฤติกรรม โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวผ่านทีมข่าว Life and Family ว่า ปัจจัยที่ทำให้พ่อแม่แสดงออกต่อลูกไม่เท่ากัน มีหลายปัจจัยทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิก และลักษณะนิสัยของลูก ซึ่งพ่อแม่บางคนเข้าใจ และระมัดระวังที่จะไม่แสดงออกให้ลูกเห็นชัดเจน ผิดกับบางคนที่แสดงออกอย่างชัดเจน ทำให้ลูกเกิดความเข้าใจว่า พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน ส่งผลต่อสุขภาพใจและการแสดงออกทางด้านพฤติกรรมของลูกได้
“เด็กที่รู้สึกว่า พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาได้สูง ไม่ว่าจะด้านพฤติกรรมที่มีต่อพี่น้อง ตลอดจนความสัมพันธ์กับพ่อแม่ จนเมื่อโตขึ้นอาจมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อคนอื่นไปด้วย เช่น ขาดความไว้วางใจ มองโลกในแง่ร้าย หรือถ้าเด็กคนใดมีพื้นฐาน หรือประวัติการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว ย่อมอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้สูง” คุณหมอเด็กด้านพัฒนาการ และพฤติกรรมเผย
ไม่เพียงแต่ลูกในกลุ่มดังกล่าวเท่านั้น ลูกคนโปรด หรือลูกรักย่อมเกิดปัญหาได้เช่นกัน โดยคุณหมอเด็กท่านนี้ บอกว่า เมื่อลูกคนโปรดได้รับการตามใจ หรือเอาใจในทุกๆเรื่อง อยากได้อะไรพ่อแม่ให้หมด เด็กจะมีแนวโน้มเอาแต่ใจได้สูง เพราะตัวเด็กเชื่อว่าเขาเป็นลูกรัก ทำอะไรย่อมไม่ผิด ก่อให้เกิดปัญหาการทะเลาะกันได้ระหว่างพี่น้อง และเพื่อนๆ ในโรงเรียน
นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าลูกคนโปรด จะถูกรักมากกว่าลูกคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องได้รับความคาดหวังจากพ่อแม่ไม่น้อย ทำให้ลูกรักบางคนเกิดความกดดัน เนื่องจากชีวิตนี้ต้องทำให้พ่อแม่ภูมิใจ จะทำผิดพลาดให้พ่อแม่ผิดหวัง หรือเสียใจไม่ได้ ส่งผลให้เมื่อเด็กโตขึ้นอาจเดินหลงทาง เพราะไม่รู้ว่าความต้องการที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร
สำหรับบ้านที่มีลูกหลายคน คุณหมอเด็กรายนี้ แนะแนวทางว่า พ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่า พื้นฐานในตัวเด็กแต่ละคนมีความต่างกัน ควรเริ่มต้นจากความรักที่เข้าใจ ไม่แสดงออกจนต้องทำให้ลูกคนใดคนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเขาเองถูกรักไม่เท่ากับพี่น้องคนอื่นๆ ซึ่งอาจจะใช้วิธีพูดคุย หรือเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็น ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กคิดไปเองว่า พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน
“เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนมีความรักลูกทุกคนอยู่แล้ว แต่การพูดและการแสดงออกบางครั้ง ถือเป็นเรื่องที่จะต้องระวัง ไม่ควรไปเปรียบเทียบในทำนองว่า ลูกคนนี้เก่ง หรือดีกว่าลูกคนนั้น แต่ถ้าลูกคนใดคนหนึ่งเก่ง ส่วนลูกอีกคนไม่เก่ง ก็ควรพูดในเชิงสนับสนุน เช่น ดูพี่เขาเป็นตัวอย่างนะ แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะทำได้เหมือนพี่ หรือเวลาลูกทะเลาะกัน ไม่ควรด่วนตัดสินว่าใครผิดใครถูก แต่ควรจะพูดคุยหาสาเหตุของเรื่อง เพื่อให้เกิดความยุติธรรม” กุมารแพทย์ ด้านพัฒนาการ และพฤติกรรมให้แนวทาง
เทคนิคเลี้ยงลูกสี่คน สไตล์ “แม่ลูกศร”
หันมาถามคุณแม่ลูกสี่ อย่าง “ลูกศร-ธนาภรณ์ จิตต์จารึก” โดยเธอเปิดเผยว่า เด็กทุกคน มีความน่ารัก และความน่าเอ็นที่ต่างกัน ดังนั้น ในกรณีที่เธอมีลูกเยอะ การให้ความรักกับลูก เธอจะให้เท่าๆ กัน แต่จะให้ความเอ็นดูที่ต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับนิสัย และพฤติกรรมของลูก เช่น เวลาคุณแม่กลับถึงบ้าน บางคนจะวิ่งเข้ามากอด ในขณะที่อีกคนนั่งเฉยๆ หรือบางคนเอาน้ำมาให้ดื่ม บางคนนั่งดูโทรทัศน์ แต่ทั้งนี้จะไม่แสดงออกให้ลูกคนใดคนหนึ่งรู้สึกน้อยใจ
“เชื่อว่าแม่ทุกคนรักลูกเท่ากัน แต่ลึกๆ แล้วอาจเอนเอียงบ้าง ส่วนตัวก็เหมือนกัน แรกๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่พอสังเกตลูก ลูกเขาคิด และรู้สึกมากกว่าเรา ซึ่งตอนนั้นเหลือขนม 1 ชิ้น เราก็ถามว่าจะให้ใครดี ลูกคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า ให้คนนั้นสิ เพราะแม่รักเขามากกว่า ตั้งแต่นั้นมา เราจะต้องระวังพฤติกรรม และการแสดงออกให้มากขึ้นกว่านี้” คุณแม่ลูกสี่กล่าว
อย่างไรก็ดี วิธีการแสดงความรัก คุณแม่ลูกศรจะให้สัมผัสรักกับลูกทุกคนเท่าๆ กัน เช่น เวลาที่จะกอดลูกคนใดคนหนึ่ง เพื่อไม่ให้ลูกคนอื่นๆ รู้สึกน้อยใจ เธอจะเข้าไปกอดลูกคนอื่นๆ แบบเนียนๆ นอกจากนี้ เวลาจะพูด หรือชี้แจงในประเด็นที่สำคัญ เธอจะใช้วิธีเรียกลูกมาชุมนุมด้วยการกอดคอเป็นวงกลม โดยส่งเสียงเรียกชุมนุมว่า “แฟมิลีฮิป ฮิป” เพื่อเรียกลูกมากอดคอรวมตัวกัน
ดังนั้น คุณแม่ลูกสี่ ฝากทิ้งท้ายว่า พ่อแม่ทุกคน เอ็นดูลูกต่างกันได้ แต่ต้องรักลูกให้เท่ากัน ขณะเดียวกัน เมื่อเอ็นดูลูกคนใดเป็นพิเศษ ไม่ควรแสดงความรักมากจนทำลูกอีกหลายๆ คนรู้สึกน้อยใจ หรือไปกระทบความรู้สึกของลูกคนใดคนหนึ่ง เพราะเมื่อเด็กเข้าใจว่า ลูกคนนั้น หรือคนนี้เป็นลูกคนโปรดของแม่ เด็กก็จะเริ่มออกห่าง เกิดเป็นช่องวางทางความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ และพี่น้องได้
แหล่งที่มา : http://www.manager.co.th/
