เด็กไทยอ่อนภาษาอังกฤษ ‘ผิดที่หลักสูตร’
จารึก อะยะวงศ์ Charuek_a@yahoo.com
ประธานกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนวัดพุทธบูชา
รัฐมนตรีศึกษาธิการ (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ให้สัมภาษณ์ในโอกาสวันเด็กแห่งชาติว่า ปัจจุบันพบว่าเด็กไทยยังมีปัญหาเรื่องการพูดภาษาอังกฤษค่อนข้างมาก ดังนั้น จึงอยากให้ สพฐ.ปรับปรุงการเรียนการสอนให้เด็กสามารถพูดและฟังได้ เพราะเดิมในโรงเรียนจะเริ่มต้นการสอนภาษาอังกฤษจากการอ่านและการเขียน ทำให้เด็กไทยไม่สามารถพูดได้ แต่หากปรับเป็นเรื่องสอนจากการพูดก่อน จะทำให้เด็กสามารถพูดภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ควรพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ขณะเดียวกันอยากให้ทางโรงเรียนจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมเช่นใน 1 สัปดาห์อาจจะมี 1 วัน ที่เด็กในโรงเรียนใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร หรือติดป้าย Speak English ไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าขอให้สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ขอชื่นชมท่านรัฐมนตรีที่ไม่ใช่นักการศึกษาและนักภาษาศาสตร์ แต่เข้าใจหลักการเรียนรู้ภาษาที่ถูกต้อง และกล้าชี้จุดบกพร่องของการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่ผิดพลาดมาเป็นเวลายาวนานอย่างตรงไปตรงมา
ก่อนหน้านี้สองสามวัน นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา วิศวกรอาชีพที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งท่านหนึ่ง ที่หันมาให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาอย่างจริงจัง และปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นอีกท่านหนึ่งที่บ่นเรื่องเด็กไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ว่า คนไทยหลายสิบล้านคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ จากการวิจัยพบว่าวิธีการสอนของเราสอนผิดวิธี เพราะเริ่มเรียนไวยากรณ์แล้วค่อยฝึกพูด ท้ายที่สุดทำให้คนไทยกลัวพูดผิดไวยากรณ์ เลยไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ
ย้อนหลังไปอีกหลายปีเราเคยได้ยินผู้ประสบความสำเร็จทางด้านวิชาการและวิชาชีพออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเรียนการสอนภาษาอังกฤษของไทยอยู่เสมอ กระทรวงศึกษาธิการก็ดูเหมือนจะรับรู้และตระหนักในเรื่องนี้ดี จึงมีการพัฒนาหลักสูตรมาแล้วหลายครั้ง แต่การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษก็ยังคงรักษารูปแบบเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น
อะไรคือปัญหาที่แท้จริงของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่ไม่สัมฤทธิผลอย่างยั่งยืน จนทำให้คนไทยส่วนใหญ่หูหนวก (ฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง) และเป็นใบ้ (พูดภาษาอังกฤษไม่ได้) ซึ่งเมื่อวิเคราะห์อย่างรอบด้านแล้ว พอสรุปได้ว่า
ประการแรก นักพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและภาษาต่างประเทศ ล้วนเป็นผู้มีเชาวน์ปัญญาเฉลียวฉลาด เรียนหนังสือเก่งมาตั้งแต่วัยเด็ก และเริ่มเรียนภาษาอังกฤษด้วยการอ่านและเขียน จนสำเร็จปริญญาตรี โท เอก จากในประเทศและต่างประเทศ จึงมีความเชื่อมั่นว่า การเริ่มเรียนภาษาอังกฤษจากการอ่านและเขียนเป็นวิธีการที่ถูกต้อง ดังนั้นในการพัฒนาหลักสูตรทุกครั้งจึงยึดถือการอ่านและเขียนเป็นสรณะอย่างเหนียวแน่นตลอดมา
ประการที่สอง ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาต่างๆ ในโลกนี้ อาจจะมีหลายแนวคิด แต่การเรียนรู้ภาษาที่ดีที่สุดและเป็นไปตามธรรมชาติสำหรับมนุษย์ทุกคน คือเริ่มเรียนรู้จากการฟังและพูด โดยได้ยินเสียงจากต้นเสียงต่างๆ โดยเฉพาะจากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัว แล้วพยายามออกเสียงให้คล้ายเสียงนั้นๆ พร้อมกับเรียนรู้ความหมายของเสียงที่ได้ยิน ดังนั้นเราจึงพบว่า เด็กทุกชาติทุกภาษา ฟังและพูดได้ ก่อนเข้าโรงเรียนเพื่อเรียนอ่านและเขียนในลำดับต่อมาที่น่าสนใจก็คือครอบครัวใดที่คนในครอบครัวพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษา เด็กในครอบครัวนั้นจะสามารถฟังและพูดภาษานั้นๆ ได้ชัดเจนทุกภาษา โดยอ่านและเขียนไม่ได้ และมีหลายชาติพันธุ์ในโลกที่สื่อสารกันด้วยภาษาพูดอย่างเดียว โดยไม่มีภาษาเขียนก็ได้
ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าชาติไทยมีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนแต่คนไทยจำนวนหนึ่งที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ก็สามารถสื่อสารและทำมาหากินดำรงชีพได้อย่างมั่นคงตลอดชีวิต
อย่างไรก็ดี นักภาษาศาสตร์ได้สร้างทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาว่า แบ่งเป็นสองส่วน คือการรับสาร (หมายถึงการฟังและอ่าน) และการส่งสาร (หมายถึงการพูดและเขียน) ซึ่งนักพัฒนาหลักสูตรภาษาต่างประเทศของไทย ได้ยึดทฤษฎีนี้ในการสร้างหลักสูตรมาตั้งแต่ต้นและยังยึดถืออยู่จนถึงปัจจุบันดังจะเห็นได้จากหลักสูตรภาษาต่างประเทศ พ.ศ. 2544 ได้กำหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ไว้ดังนี้
สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มาตรฐานที่ ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล
มาตรฐานที่ ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ
มาตรฐานที่ ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ โดยการพูดและการเขียน
แต่การกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ข้างต้นนี้ กลับไม่สอดคล้องกับคุณภาพผู้เขียนที่กำหนดไว้ในหลักสูตรเดียวกัน ซึ่งใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ตามธรรมชาติที่เริ่มจาก ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ตามลำดับ คือ
ช่วงชั้นที่ 1 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3…. มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ เน้นการฟัง-พูด สื่อสารตามหัวเรื่องเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว อาหาร เครื่องดื่ม และเวลาว่างและนันทนาการภายในวงคำศัพท์ประมาณ 300-450 คำ (คำศัพท์ที่เป็นรูปธรรม)….
ช่วงชั้นที่ 2 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6….มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ เน้นการ ฟัง-พูดอ่าน ตามหัวเรื่อง…..
ช่วงชั้นที่ 3 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3….มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศในการ ฟัง-พูด-อ่านเขียนในหัวข้อเรื่อง…..
ช่วงชั้นที่ 4 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6….มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ ในการ ฟัง-พูดอ่าน-เขียน ในหัวข้อเรื่อง…..
นักพัฒนาหลักสูตรคงมองเห็นความไม่สอดคล้องดังกล่าว ดังนั้น ในการปรับปรุงหลักสูตรคราวต่อมา จึงได้มีการปรับเปลี่ยนเรื่องคุณภาพผู้เรียนเสียใหม่ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ โดยช่วงชั้นที่ 1 ได้เพิ่มคุณภาพผู้เรียนขึ้นอีกส่วนหนึ่งดังนี้…..การปฏิบัติตามคำสั่ง คำขอร้องที่ฟัง อ่านออกเสียง ตัวอักษร คำ กลุ่มคำ ประโยคง่ายๆ และบทพูดเข้าจังหวะง่ายๆ ถูกต้องตามหลักการอ่าน…..อันเป็นการถอยหลังเข้าคลอง ดังนั้น คุณครูที่สอนในช่วงชั้นที่ 1 จึงมุ่งสอนให้อ่านและเขียนแทนการฟังและพูด ผลลัพธ์ที่ตามมาจึงทำให้เด็กไทยฟังและพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ จนถึงปัจจุบันนี้
ประการที่สาม ต้องยอมรับความจริงว่า คุณครูที่สอนภาษาอังกฤษทั้งหมดในปัจจุบัน ล้วนเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยการอ่านและเขียนทั้งสิ้น ไม่เคยถูกปลูกฝังให้เห็นความสำคัญของการสื่อสาร ไม่มีการฝึกฝนกันอย่างถูกต้องและจริงจังจึงขาดทักษะในการออกเสียงและการฟังและพูด ยิ่งกว่านั้นการสอบในปัจจุบันก็ไม่มีการสอบอ่านเหมือนสมัยก่อน มีแต่การสอบข้อเขียนด้วยข้อสอบแบบเลือกคำตอบ
ซึ่งนักเรียนส่วนหนึ่งแม้จะอ่านหนังสือไม่ออกหรืออ่านข้อสอบไม่ได้ ก็สามารถทำข้อสอบได้ด้วยการเดา บางคนโชคดีเดาถูกมากกว่าคนที่อ่านข้อสอบได้ก็มี
จากหลักสูตรภาษาอังกฤษ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ ที่ยกมาให้เห็นเพียงบางส่วนจะเห็นได้ว่าหลักสูตรภาษาอังกฤษของไทย บังคับให้นักเรียนเรียนภาษาอังกฤษโดยการอ่านและเขียนมาตั้งแต่ชั้น ป.1 ฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมเด็กไทยจึงตั้งต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวอักษร A B C D ที่เน้นการอ่านและเขียน ไม่มีโอกาสฝึกฝนการฟังและพูด และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การเรียนการสอนภาษาอังกฤษของไทย ติดกับดักการเรียนรู้ภาษา ทั้งที่คนไทยทุกคนมีสติปัญญาในระดับที่สามารถสื่อสารทุกภาษากับคนทั้งโลกได้อย่างง่ายด่าย เพราะในภาษาไทยมีเสียงพยัญชนะและสระมากกว่าภาษาอื่นๆ ทั้งยังมีเสียงดนตรีที่ทำให้สามารถเลียนเสียงภาษาอื่นๆ ได้ง่ายกว่าทุกชาติ
ดังนั้น สพฐ.คงต้องเร่งทบทวนและปรับปรุงหลักสูตรภาษาต่างประเทศให้สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาตามแบบธรรมชาติ และต้องพัฒนาให้คุณครูที่สอนภาษาอังกฤษทุกคนฟังและพูดภาษาอังกฤษได้ดีพร้อมกันด้วย
–มติชน ฉบับวันที่ 20 ก.พ. 2556 (กรอบบ่าย)–