คุณคงเคยได้ยินว่าเด็กผู้หญิงโตเร็วกว่าผู้ชาย…เด็กผู้หญิงพูดได้เร็วกว่าเด็กผู้ชาย…เด็กผู้หญิงมักฉลาดกว่าเด็กผู้ชาย
อยากรู้ไหมว่าทำไม ?
ดิฉันเองมีลูกชายสองคน และมีหลานสาวหนึ่ง หลานชายหนึ่ง รวมถึงจากการที่ชอบสังเกตและได้มีโอกาสสัมผัสเด็กหญิงและเด็กชายจำนวนไม่น้อย ทำให้สนับสนุนข้อความข้างบนค่ะ
อยากรู้ไหมว่าทำไม ?
พ่อแม่จำนวนมากมักบอกว่ามีลูกผู้หญิงพูดเก่งมาก สามารถพูดได้ทั้งวัน ในขณะที่พ่อแม่จำนวนมากมักบอกว่าลูกผู้ชายพูดช้าจัง มักไม่ค่อยพูด
อยากรู้ไหมว่าทำไม ?
จากการศึกษาของ Dr.Miriam Stoppard ราชบัณฑิต สำนักแพทยศาสตร์ ซึ่งเป็นนักเขียนเรื่องราวแม่และเด็กที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหราชอาณาจักร พบว่าขนาดสมองของทารกแรกเกิดเพศชายมีน้ำหนักมากกว่าขนาดสมองของทารกเพศหญิง 10-15 เท่า แต่ระบบการทำงานสมองทั้งสองซีกของทารกเพศหญิงจะพัฒนาได้มากกว่า เร็วกว่าและดีกว่าทารกเพศชาย
โดยปกติเมื่อแรกเกิด สมองของเด็กทารกจะถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ว่า ตัวเองเป็นเพศอะไร ถ้าเป็นเพศหญิงก็จะต้องมีพฤติกรรมแบบผู้หญิง ถ้าเป็นเพศชายก็จะต้องมีพฤติกรรมแบบผู้ชาย
ส่วนถ้าเด็กคนไหนมีปัญหาเรื่องสับสนทางเพศ ก็มาจากความผิดปกตินั่นเอง
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าเยื่อหุ้มสมองของเด็กผู้หญิงพัฒนาเร็วกว่าเด็กผู้ชาย รวมถึงสมองซีกซ้าย ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระบบความคิดเติบโตเร็วกว่า ทารกเพศหญิงจึงมีแนวโน้มที่จะฉลาดกว่า และมีพัฒนาการที่เร็วกว่า ซึ่งเจ้าสมองซีกซ้ายนี่เองที่ควบคุมให้เด็กผู้หญิงมีพัฒนาการเรื่องการใช้ภาษาได้ดีกว่าเด็กผู้ชาย
การที่สมองซีกซ้ายและขวาทำงานเชื่อมโยงกันอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เด็กผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเก่งเรื่องการอ่านมากกว่าเด็กผู้ชาย เพราะสมองทั้ง 2 ซีก ของทารกหญิงพัฒนาเร็วกว่า ทำให้ทารกหญิงรับรู้ถึงความเป็นไปในสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้เร็วกว่า มากกว่า จึงมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าทารกชายในวัยเดียวกัน
รวมถึงมีแนวโน้มว่าเมื่อโตขึ้นเด็กผู้หญิงจะมีศักยภาพเรื่องการอ่าน การเขียนและเรียนรู้ภาษาได้ดีกว่าเด็กผู้ชาย..!!
แต่…เมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าคุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจลงไปว่ามีลูกผู้หญิงดีกว่า
เพราะประเด็นที่สำคัญก็คือพัฒนาการของเด็กไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงจะมีพัฒนาการที่ช้าหรือเร็วในแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางบ้านที่มีลูกผู้หญิงล้วน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีพัฒนาการดีเหมือนกันหมด บางคนก็ช้า บางคนก็เร็ว ซึ่งก็มีปัจจัยอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย
ในขณะที่เด็กบางคนก็มีพัฒนาการที่รวดเร็วล้ำหน้าเด็กวัยทารกในวัยเดียวกัน แต่กลับหยุดชะงักการเติบโตไปเสียเฉยๆ ยามเมื่อโตขึ้น บางคนก็มีพัฒนาการที่ช้าในวัยเยาว์ แต่พอโตขึ้นกลับพัฒนาเร็วแซงหน้าเด็กในวัยเดียวกันไปอย่างหน้าตาเฉย
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่สูตรสำเร็จว่าเพศหญิงดีกว่าเพศชาย เพราะต้องขึ้นอยู่กับการดูแลของคนเป็นแม่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ รวมถึงการเลี้ยงดู และการสร้างสภาพแวดล้อมต่างๆ ด้วย อย่าไปด่วนตัดสินใจอะไรง่ายๆ ว่าทารกของคุณฉลาดมากหรือน้อยต้องรอดูนานๆ
เพราะเรื่องนี้ละเอียดอ่อนยิ่งนัก
โดยทั่วไป เด็กคนไหนฉลาด ผู้ใหญ่มักจะดูจากภายนอก ว่าเด็กคนไหนมีท่าทีในการสนใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขามากน้อยแค่ไหน มีปฏิกิริยาตอบโต้เร็วหรือไม่ และเขาหรือเธอตัวน้อยมีพฤติกรรมหลากหลายหรือไม่ เพราะพัฒนาการของเด็กฉลาดจะเร็ว ดี และก้าวหน้ากว่าเด็กปกติทั่วไป
แต่ก็มีคุณพ่อคุณแม่บางคนอาจเข้าใจว่าความฉลาดหมายถึงเด็กที่มีไอคิวสูง แต่ในความเป็นจริงเราต้องให้ความสำคัญกับเด็กที่มีพัฒนาการทางด้านความคิดสร้างสรรค์ มากกว่าเด็กที่เก่งแต่คำนวณ หรือวิชาการอย่างเดียว เพราะความคิดสร้างสรรค์ในตัวเด็ก เป็นส่วนหนึ่งของการมีสติปัญญาที่สูงกว่าเด็กปกติ
ฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่ ควรส่งเสริมให้ลูกน้อยไม่ว่าจะเพศชายหรือเพศหญิงให้ได้เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการให้เกิดจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นต่อภาพจิ๊กซอว์ การวาดรูประบายสี การประดิษฐ์ การเล่นบทบาทสมมติ หรือการเล่านิทานให้เขาหรือเธอตัวน้อยฟังอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเป็นการกระตุ้นสมองในส่วนความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ขณะคุณแม่ตั้งครรภ์ ควรจะดูแลลูกตั้งแต่ในครรภ์ ไม่ใช่ พอรู้ว่าเป็นลูกผู้หญิงเท่านั้น ก็เลยใส่ใจสุดฤทธิ์ เพราะคิดว่าจะต้องฉลาดกว่าลูกผู้ชาย
อย่าลืมว่างานวิจัยก็คืองานวิจัยที่ต้องทำการสำรวจและมีกลุ่มตัวอย่างซึ่งถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ในความเป็นจริงมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่มีส่วนสัมพันธ์ต่อการเติบโตของสมอง ยิ่งเมื่อเรารู้ในเชิงวิทยาศาสตร์ ก็จะยิ่งทำให้องค์ความรู้ที่คนเป็นพ่อแม่มีอยู่ สามารถนำไปปรับประยุกต์ และส่งเสริม เลี้ยงดูลูกน้อยให้เหมาะสมและถูกวิธียิ่งขึ้น
สมองของมนุษย์เป็นอวัยวะส่วนที่มีสำคัญที่สุด และมีความมหัศจรรย์มากที่สุด ยิ่งใช้ยิ่งดียิ่งมีคุณภาพ ยิ่งถ้าได้ถูกกระตุ้นในช่วง 6 ขวบปีแรกของชีวิต ก็จะยิ่งทำให้เส้นใยในสมองของมนุษย์ขยายเครือข่ายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็จะยิ่งทำให้เด็กได้เรียนรู้และมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จะสังเกตได้ว่า พัฒนาการของเด็กจะเกิดขึ้นจากศีรษะไล่ลงมาหาปลายเท้า ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการในเรื่องใดก็ตาม ยกตัวอย่างการหัดเดินของเด็กจะควบคุมด้วยศีรษะ ศีรษะจะรักษาสมดุลของร่างกาย ส่วนการก้าวเท้าทั้งสองข้างจะเกิดขึ้นภายหลัง
และเมื่อเด็กเติบโตขึ้น จะเห็นว่าทักษะต่างๆ ของเด็กจะพัฒนาจากหยาบมาหาละเอียด ร่างกายจะขยับเขยื้อนใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ก่อนใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก หรือแม้แต่การหัดพูด ในระยะต้นของทารกจะขยับเคลื่อนไหวทั้งร่างกาย อาจโบกมือโบกไม้ด้วย แต่ในท้ายที่สุด ก็จะสามารถพัฒนาไปสู่การพูดจาโดยการเปล่งเสียงและจำกัดอยู่เฉพาะริมฝีปากและกล้ามเนื้อใบหน้าเท่านั้น
ปัจจัยของการส่งเสริมศักยภาพสมองของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม แต่บุคคลที่สำคัญที่สุด และมีส่วนต่อความเฉลียวฉลาดต่อการเรียนรู้ของลูกก็คือ พ่อแม่
ที่สำคัญฉลาดแล้ว ต้องมีคุณธรรมด้วยค่ะ
แหล่งที่มา : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000020934