ดนตรีตะวันตก เริ่มเข้ามาสู่ประเทศไทยและไทยรับมาใช้ในราชการตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทหารชาวอังกฤษสองคนชื่อ นอกซ์ (Knox) และ อิมเป (Impey) ได้นำแตรฝรั่งเข้ามาเป่าแตรสัญญาณและบรรเลงเพลงถวายความเคารพพระมหากษัตริย์ ต่อมาจึงพัฒนาขึ้นมาเป็นแตรวงของทหาร ใช้บรรเลงนำขบวนแห่และบรรเลงเพลงไทย เรียกสั้นๆ ว่า “แตรวง” ซึ่งต่อมา นายมนตรี ตราโมท ได้ขนานนามแตรวงนี้ว่า “วงโยธวาทิต”
ประเทศไทยเริ่มมีเพลงแบบฝรั่งแต่งโดยคนไทยคนแรกคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์-วรพินิต ในราวปี พ.ศ.2448-2450 จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ก็เริ่มมีวงดุริยางค์สากลขนาดใหญ่คือวงเครื่องสายฝรั่งหลวง เทียบเท่ากับวงออร์เคสตราขนาดใหญ่ของฝรั่ง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้มีการสร้างวงดนตรีขนาดเล็ก เรียกว่า “แย้สแบนด์” ขึ้น มีผลงานเพลงแบบฝรั่งที่คนไทยแต่งขึ้นแล้วต่อมาจึงได้รับขนานนามว่าเพลงไทยสากล มีนักประพันธ์เพลงผลิตผลงานเพลงเพื่อใช้ประกอบการแสดงละครร้องและภาพยนตร์มีการสร้างเพลงปลุกใจขึ้น หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 รัฐบาลไทยสมัยนั้นต้องการพัฒนาประเทศให้เป็นตะวันตกจึงส่งเสริมการดนตรีตะวันตกมากขึ้น แล้วสั่งให้ลดการเรียนการเล่นดนตรีไทยแท้ลงในปี พ.ศ.2482 ระหว่างที่เกิดสงครามโลกครั้งที่สองประมาณปี พ.ศ.2487-2488 ได้เกิดเพลงรำวงขึ้น มีอิทธิพลต่อเยาวชนไทยมากในสมัยนั้น เพราะเพลงรำวงเป็นเพลงที่ร้องง่ายจำง่ายรวมทั้งใช้ประกอบการร่ายรำได้สนุกสนาน เพลงรำวงยังมีผลต่อการละเล่นของเยาวชนไทยมาจนทุกวันนี้
|
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดนตรีตะวันตกได้เพิ่มอิทธิพลขึ้นในประเทศไทย ดนตรีจากสหรัฐอเมริกาผ่านสื่อแบบต่างๆ เช่น วิทยุและเครื่องเล่นจานเสียง เยาวชนไทยได้หันเหไปสนใจการร้องเพลงและการเต้นรำด้วยลีลาอารมณ์แบบตะวันตก จึงเกิดเพลงไทยสากลตามรูปแบบฝรั่งขึ้นมากมาย รวมทั้งเพลงแจ๊ส เพลงเต้นรำประเภทร้อนแรงจนถึงสมัยของเพลงร็อกในราวปี พ.ศ.2500 ถึงกระนั้นเยาวชนก็ยังร้องเพลงด้วยสำเนียงลีลาอย่างไทย คงใช้ภาษาไทยที่แสดงความเป็นไทยอยู่มาก
ในระยะเดียวกันนี้ วงการดนตรีไทยได้พัฒนาดนตรีขึ้นอีกรูปแบบหนึ่ง โดยการนำดนตรีพื้นบ้านไทยภาคต่างๆ ดนตรีสำหรับการรำวงดนตรีไทยเดิมและดนตรีสากลเข้ามาผสมผสานกลายเป็นเพลงชนิดใหม่ที่เรียกว่าเพลง “ลูกทุ่ง” ซึ่งมีอิทธิพลสูงต่อเยาวชนคนไทยทุกท้องถิ่นทั่วประเทศเพลงลูกทุ่งจัดได้ว่าเป็นเพลงของไทยประเภทเดียวที่เข้าถึงประชาชนคนไทยทุกเพศทุกวัย และเป็นที่พอใจของเยาวชนมากที่สุด การพัฒนาวิทยุทรานซิสเตอร์และตลับแถบบันทึกเสียงทำให้เผยแพร่เพลงลูกทุ่งได้มาก เยาวชนจึงหันไปสนใจเพลงลูกทุ่งมาก เพราะเข้าถึงเยาวชนทุกท้องถิ่นทั่วประเทศ
ระหว่างที่เกิดสงคราบเวียดนามขึ้นในปี พ.ศ.2509 เป็นต้นมา อารยธรรมตะวันตกในด้านดนตรีเริ่มครอบงำเยาวชนไทยและเบี่ยงเบนไปสู่การประพันธ์เพลง การขับร้อง บรรเลงและการเต้นประกอบเพลงที่เบนเข้าหาความเป็นตะวันตกอย่างสิ้นเชิง เยาวชนไทยเริ่มชินกับเพลงที่ผลิตขึ้นเพื่อการค้ามากกว่าเพลงที่ผลิตขึ้นเพื่อสุนทรียะแห่งดนตรีภาษาที่ใช้ในการขับร้องเปลี่ยนแปลงจากรูปของฉันทลักษณ์ไทยที่ส่งสัมผัสไพเราะ กลายไปเป็นภาษาพูด ภาษาที่ใช้ในการตะโกนแผดเสียงเทคนิคการขับร้องเปลี่ยนไปเป็นแบบตะวันตก มีการออกเสียงบทร้องที่ไม่ชัดเจนหรือทำให้เกิดเสียงเบี่ยงเบนออกไปเป็นสำเนียงลีลาแบบตะวันตก แม้แต่เสียงจากเครื่องดนตรีก็มาจากกระแสไฟฟ้า แทนที่จะมาจากการสั่นสะเทือนตามธรรมชาติ เยาวชนสนใจในเพลงประเภทที่สร้างขึ้นเพื่อการค้าอย่างมากธุรกิจตลาดเพลงมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่เยาวชนซึ่งมีอัตราการบริโภคสูงมากกว่าคนทุกกลุ่มอายุวงการวิทยุและโทรทัศน์จะสนใจแต่ดนตรีที่จัดให้เยาวชนเสพย์ จนสถานีวิทยุส่วนมากจะบรรจุรายการเพลงสำหรับเยาวชนโดยสิ้นเชิงจะหาช่วงว่างสำหรับดนตรีเพื่อคนไทยในวัยอื่นได้ยากยิ่ง
ดนตรีกับเยาวชนในสมัยหลังปี พ.ศ.2530 จึงเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่อาจกล่าวได้ว่า ยุค พ.ศ.2530-2540 นั้นเยาวชนเป็นเจ้าของดนตรีในตลาดการค้าเพลงอย่างแท้จริงมีเยาวชนเป็นจำนวนมากเรียนดนตรีสากลประเภทเครื่องดีด (STRINGS) จัดตั้งวงดนตรีเรียกว่า วงสตริง ใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้าเป็นพื้นคุมจังหวะด้วยเครื่องไฟฟ้า เล่นรวมกันแล้วจะเกิดเสียงดังมาก
ถึงกระนั้นก็ดี มิใช่ว่าเยาวชนไทยจะนิยมดนตรีที่เป็นธุรกิจไปเสียทั้งหมด ยังมีอยู่บ้างที่สนใจดนตรีในแนวเก่า สนใจเรียนดนตรีและเล่นดนตรีที่เป็นไทย เช่น การเรียนดนตรีไทยและเรียนดนตรีสากลคลาสิก การเปิดสอนดนตรีในสถาบันการศึกษาต่างๆ ยังคงยึดรูปแบบดั้งเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง
การอนุรักษ์ดนตรีเก่า การแนะนำให้เยาวชนสนใจดนตรีในระบบเก่า อาจจะเป็นการยาก เพราะเสียงดนตรีที่เยาวชนชินหูอยู่ในขณะนี้เป็นเสียงวิทยาศาสตร์มากกว่า จนเยาวชนไม่เคยรู้รสแห่งเสียงจากเครื่องดนตรีตามธรรมชาติ (Acoustic Instrument) เวลาและโอกาสที่ผู้ปกครองหรือผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ จะต้องชักนำเยาวชนให้ได้สัมผัสดนตรีอย่างธรรมชาตินั้นจึงจำเป็นมากสำหรับพวกเขาเหล่านั้น
แหล่งที่มา : ที่มาข้อมูล : http://kanchanapisek.or.th