อิทธิพลของครูกับการเรียนรู้ของเด็ก

อิทธิพลของครูกับการเรียนรู้ของเด็ก 


   มีการพูดกันมานานแล้วว่า การเรียนรู้ของเด็กนั้นมาจากหลายแหล่งความรู้ ไม่จำเป็นต้องเรียนกับครูในโรงเรียนเท่านั้น การอ่านหนังสือ การดูโทรทัศน์ (เช่น ETV) การเรียนผ่านจอคอมพิวเตอร์ ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ อย่างไรก็ตามความจำเป็นของการมีครูผู้เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่นั่นเอง


   คำว่าครูนั้นอาจกินความหมายกว้าง แต่ผมจะเน้นเฉพาะกับครูที่สอนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ไม่รวมถึงครูผู้เป็นพ่อแม่ พระ หรือผู้รู้ในชุมชน


   หน้าที่ของครูคืออะไรบ้าง หน้าที่หลักๆ คงเป็นเรื่องของการสอนอบรมการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ รวมกับการอบรมพฤติกรรม ให้มีคุณธรรมจริยธรรม และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ซึ่งผมอยากแบ่งออกเป็นด้านความรู้โดยตรง เช่น การสอนคณิตศาสตร์ กับด้านทักษะการใช้ชีวิต ได้แก่ การรู้จักรับผิดชอบหน้าที่และการพูดจา การคบหาสมาคมกับเพื่อน
ครูแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน เทคนิคการสอนก็ต่างกัน ที่สำคัญครูบางคนก็มีความโน้มเอียงหรืออคติ (Bias) ทั้งแง่ดีและร้ายต่อเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันอีกด้วย นี่เป็นประเด็นสำคัญ เพราะมีการยกประเด็นความมีอคติของครูขึ้นมาว่า อาจทำให้การเรียนรู้ของเด็กบางคนเป็นไปได้ไม่ดีเท่าที่ควร


   ที่จริงในต่างประเทศก็มีการพูดถึงเรื่องอคติของครูเหมือนกัน มีการพยายามศึกษาวิจัยกันว่า อคติของครูนั้นส่งผลต่อเด็กจริงๆ หรือเป็นเพียงการอนุมานเอาเอง


   ประมาณปี พ.ศ.2511 นักจิตวิทยาโรเบิร์ด โรเซนทาล และจาคอบสัน ได้ศึกษาผลของครูต่อนักเรียนระดับประถมศึกษาหลายแห่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเขาเริ่มจากเข้าไปในโรงเรียนแล้วตรวจสอบระดับไอคิวของเด็กด้วยแบบทดสอบของเขาเอง หลังจากได้คะแนนเรียบร้อยแล้วก็จะจัดประชุมครูในโรงเรียน เพื่อที่จะบอกว่าเขาทำงานให้กับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด(คงสร้างความน่าเชื่อถือแบบเดียวกับของไทยเรา) และได้ทดสอบระดับไอคิวของเด็กเรียบร้อยแล้ว


   “นี่คือรายชื่อของเด็กที่มีระดับไอคิวสูงกว่าคนอื่นๆ” โรเซนทาลบอกแก่ครูประจำชั้นถึงรายชื่อเด็กๆ รายชื่อของเด็กดังกล่าวได้จากการสุ่ม (Random) โดยไม่ได้เกี่ยวกับคะแนนของไอคิวแต่อย่างใด


   หลังจากนั้นอีก 1 ปี โรเซนทาลและจาคอบสันก็ได้ไปตรวจไอคิวของเด็กชุดเดิมอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้เขาเองก็พบสิ่งที่น่าสนใจคือ เด็กที่ครูคิดว่า “มีไอคิวสูง” จะมีไอคิวสูงขึ้นเป็นอย่างมากผิดกับเด็กที่ครูคิดว่า “ธรรมดา” จะมีไอคิวสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย ผลเช่นนี้เกิดขึ้นในเด็กทุกชั้นปีโดยไม่เกี่ยวกับเด็กว่ามีไอคิวสูงตั้งแต่แรกหรือไม่ก็ตาม


   ผู้วิจัยได้สรุปถึงสาเหตุว่า การที่ครูคาดหมายว่า เด็กคนใดในชั้นเป็นเด็กเก่ง ก็จะมีแนวโน้มที่จะให้เวลากับเด็กคนนั้นอาจคอยถาม คอย Feedback หรือคอยสอนโดยให้ความสนใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้ครูยังสังเกตว่าเด็กที่คิดว่าเก่ง มักเป็นเด็กที่มีความสุข สนุกสนาน ปรับตัวง่าย และมีความสนใจในการเรียน ผลเช่นนี้คล้ายกับที่ผมเคยวิจัยในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยใช้แบบสอบถามถึงระดับความสามารถทางอารมณ์ และให้เด็กตรวจสอบตนเอง และครูประจำชั้นก็ประเมินเด็กโดยเอกเทศ จากการประเมินผลจะทราบว่าครูมีแนวโน้มที่จะประเมินเด็กห้องเก่ง (King, Queen) ว่ามีความสุขและเป็นคนดีมากกว่าที่เด็กคิดว่าตนเองเป็น (82.33% และ 66.66% ตามลำดับ) เทียบกับห้องธรรมดาแล้ว ครูจะประเมินความสุขและความเป็นคนดีได้ใกล้เคียงกับที่เด็กประเมินเรียกว่า มีความสอดคล้องกันมากกว่า


   จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า ผลของทัศนคติที่ครูมีต่อเด็กอาจส่งผลให้เด็กดีขึ้น (หรือแย่ลง) จึงเป็นข้อมูลที่ครอาจต้องเอาไปทำความเข้าใจเพื่อจะได้ขจัดทัศนคติที่ไม่ดี แต่เน้นที่ความคิดในแง่บวกที่ควรมีต่อเด็กให้ทุกคน


   ครูบางคนอาจไม่ชอบหน้าเด็กบางราย แล้วก็ไม่ให้ความใส่ใจ อาจลงโทษมากกว่าเด็กคนอื่น ในไม่ช้าย่อมทำให้การเรียนแย่ลง และอาจมีปัญหาพฤติกรรมตามมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ


   พ่อแม่ก็ควรทำความเข้าใจตรงนี้ นำไปใช้ประโยชน์เช่นกัน เพราะบางครอบครัวอาจมีลูกหลายคน และแต่ละคนย่อมมีอุปนิสัย ความเฉลียวฉลาดแตกต่างกัน แต่ถ้าไปสนใจหรือชมแต่คนเก่ง ลูกคนที่ไม่เก่งก็อาจน้อยใจพลอยเสียกำลังใจและทำให้การเรียนตกต่ำได้


   ความคาดหมาย (Expectation) ของพ่อแม่ที่มีต่อลูกจึงควรเป็นไปในแง่บวกกับลูกหลาน ซึ่งอาจไม่ต้องทุกด้านและไม่จำเป็นต้องหลอกลวง เช่น สอบเกือบตกแต่ยังบอกว่าเก่ง อันนี้ไม่ใช่ความคาดหวังที่ดี แต่ควรบอกว่ายังดีที่ไม่ตก ยังไงก็คงต้องขยันขึ้นกว่านี้สักหน่อย


   ความหวังที่ดีควรเป็นเรื่องจริง(อย่างน้อยก็บางส่วน) แม้จะล้มเหลวแต่ก็ต้องใช้การพูดคุย อย่าให้เสียกำลังใจและพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยเปรียบเทียบกับตัวเองเป็นหลัก


   กระบวนการเรียนรู้ของเด็กนั้นมีหลายแบบ ตั้งแต่การเรียนจากตำรับตำรา การทดลองมีประสบการณ์จริง การลองผิดลองถูกไปจนถึงการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จากฐานความรู้เดิม ครูจึงไม่ใช่เพียงแต่สอนตามหนังสือเท่านั้น แต่ควรจัดให้มีประสบการณ์ตามความเหมาะสมเพื่อให้เกิดแนวคิดร่วมไปกับความรู้ในหลักสูตรการศึกษาใหม่ ซึ่งเน้นเรื่องของโค้ช (Coach) คือในช่วงแรกๆ อาจเน้นหนักที่ความรู้พื้นฐาน ต่อมาจึงได้ทดลองปฏิบัติ ครูจะมีหน้าที่แก้ทางมวยให้คำแนะนำปรับปรุง
ความสำคัญของคำแนะนำปรับปรุงหรือ Feedback นี่แหละ สมัยผมอยู่ชั้นประถมเคยร่วมกับเพื่อนทำหนังสือพิมพ์แบบเด็กๆ ออกมาหลายฉบับ ก็เรียกว่ามีความริเริ่มพอสมควรแต่พอคุณพ่อของผมเล่าให้ครูฟังว่าจะให้เรียนต่อเพื่อจะได้เป็นหมอ ครูใหญ่ก็หวังดี บอกทันทีว่าสงสัยเขาจะไม่ชอบน่าจะเรียนต่อทางด้านนิเทศจะได้ไปเป็นนักหนังสือพิมพ์จะดีกว่า


   นี่ก็เป็นการประเมินโดยไม่ได้ดูทั้งตัว ซึ่งจะเรียกว่ามีอคติก็ได้ (อย่าลืมอคติอาจเป็นไปด้วยความหวังดีก็ได้) โค้ชไม่ควรให้นักกีฬาของตนเล่นตามแบบที่โค้ชชอบ แต่ควรให้นักกีฬาเล่นอย่างแบบที่เขาควรเล่น


   แล้วไปปรับแต่งจากตรงนั้น เช่นเดียวกับครูผู้เปรียบเสมือนช่างตัดเสื้อที่ปรับเปลี่ยนเทคนิคตามขนาดร่างกาย ความถนัด และสติปัญญาของเด็ก โดยหวังว่าเขาจะได้เปล่งศักยภาพออกมาอย่างเต็มตัวตามที่เขาควรเป็น อิทธิพลของครูที่มีต่อการเรียนรู้ของเด็กนั้นมีมาก ครูจึงต้องระมัดระวังความโน้มเอียงของตนไม่ให้ส่งผลร้ายต่อเด็ก คิดและคาดหวังเกี่ยวกับเด็กของตนว่าเขาจะดีขึ้น เก่งขึ้น มีความสามารถมากขึ้น ทั้งนี้ก็โดยพื้นฐานของเหตุผลที่เป็นจริง


ขอบคุณข้อมูลจาก : Newschool.in.th


สามารถดูรายละเอียดทั้งหมดได้โดยดาวน์โหลดไฟล์ PDF ด้านล่างค่ะ