หลักสูตรการผลิตครู ควรเป็น 4 หรือ 5 ปีดี ?

          ดิเรก พรสีมา
          คณบดีวิทยาลัยการฝึกหัดครู
          มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
          ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการถามกันว่าหลักสูตรการผลิตครูของไทยควรเป็น 4 หรือ 5 ปี ผู้เขียนจึงใคร่ขอเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาก่อนที่จะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวดังนี้
          การผลิตครูเป็นระบบ คล้ายๆ กับระบบการผลิตทั่วไปซึ่งประกอบด้วยระบบย่อย พื้นฐาน 4 ระบบย่อยคือ (1) ผลผลิต – output (2) กระบวนการผลิต – process (3) ตัวป้อนเข้า – input และ (4) สิ่งแวดล้อมของระบบการผลิต – environment เมื่อเป็นระบบ ระบบย่อยทั้ง 4 ระบบย่อยจึงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน แยกจากกันไม่ออก
          ผลผลิตเป็นผลมาจากกระบวนการผลิต กระบวนการผลิตจะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับตัวป้อนเข้า ทั้งผลผลิต กระบวนการผลิต และตัวป้อนเข้าจะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมของระบบการผลิต เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นผู้กำหนดว่าเขาต้องการผลผลิตที่มีรูปร่างหน้าตาหรือมีคุณลักษณะเป็นอย่างไร นอกจากนั้นสิ่งแวดล้อมเป็น ผู้สร้างและมอบตัวป้อนเข้า มอบและนำเสนอเทคโนโลยีหรือกระบวนการผลิตให้แก่ระบบการผลิต และสิ่งแวดล้อมของระบบการผลิตจะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับผลผลิตของระบบการผลิต
          ซึ่งเราอาจเขียนแผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระบบย่อยพื้นฐานของระบบการผลิตครูได้ดังแผนภูมิประกอบ

          จากแผนภูมิจะเห็นว่า คนกำหนดว่า   ควรจะมีรูปร่างหน้าตา หรือคุณลักษณะเป็นอย่างไรคือ   แต่คนที่จะทำให้   มีรูปร่างหน้าตาและคุณลักษณะตามที่   ต้องการคือ   และ   ก็รับเทคโนโลยีและนวัตกรรมการทำงานตลอดจนเทคโนโลยีการเรียนการสอนและการผลิตครูมาจาก 4 และ 4 ก็เป็นคนมอบตัวป้อนเข้าให้กับ 3 ในขณะเดียวกัน 1 ก็จะออกไปเป็นองค์ประกอบสำคัญของ   หรือ   จะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับ   ทั้ง  ,  ,  ,   จึงเกี่ยวข้องสัมพันธ์และพึ่งพาอาศัยกันชนิดที่แยกจากกันไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงใน  ,  ,  , หรือ   จะส่งผลกระทบต่อกันเสมอ
          นี่คือความเป็นระบบ และในทางทฤษฎี von Bertalanfy (1956) กล่าวว่า สิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้ ในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นสมาชิกของระบบ รวมทั้งอนุภาคนิวเคลียร์ อะตอม โมเลกุล เซลล์ อวัยวะต่างๆ ของมนุษย์หรือสัตว์ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย [ครู] กลุ่มคน องค์กร ชุมชน สังคม [โรงเรียน] [การศึกษา] [กระทรวง] ประเทศ โลก และระบบสุริยะ ต่างเป็นสมาชิกของระบบซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
          วันนี้เราอยากให้บัณฑิตครูของเราเป็นอย่างไร จะตอบคำถามนี้ได้เราก็ต้องถามตัวเราเองก่อนว่าเราอยากให้เยาวชนของเราเป็นอย่างไร อยากให้คนไทยเป็นอย่างไร ผู้เขียนมีโอกาสถามพรรคพวกเพื่อนฝูงในหลายประเทศ ก็จะตอบคล้ายๆ กันว่าอยากให้เยาวชนของเขามีคุณลักษณะคล้ายๆ กับคุณลักษณะของคนในศตวรรษที่ 21 เพราะเรากำลังมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 21 และเมื่อถามเพื่อนครูในประเทศไทยก็จะตอบคล้ายๆ กันว่าอยากให้ศิษย์ของตนมีคุณลักษณะของคนในศตวรรษที่ 21 ส่วนลักษณะของคนในศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างไร ลักษณะของคนในศตวรรษที่ 21 ในทรรศนะของครูคนหนึ่งกับของครูอีกคนหนึ่งจะเหมือนกันหรือไม่ และจะทำให้เกิดขึ้นในตัวศิษย์ได้หรือไม่เป็นประเด็นที่สงสัยกันอยู่
          ทุกคนเห็นตรงกันว่าถ้าครูไม่มีคุณลักษณะของคนในศตวรรษที่ 21 คือไม่มีคุณลักษณะตาม   หรือไม่รู้ว่าคนในศตวรรษที่ 21 มีคุณลักษณะอย่างไร แล้วครูจะทำให้ศิษย์มีคุณลักษณะดังกล่าวได้หรือ เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่จะเป็นครูของประเทศไทยจึงควรมีคุณลักษณะของคนในศตวรรษที่ 21 คือมีคุณลักษณะตาม   ให้มากที่สุด หรือให้มีมากกว่า และคุณลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากคนในศตวรรษที่ 21 ที่คนในประเทศไทยต้องมีเพิ่มคือความเป็นผู้มีวินัย มีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจคนอื่น มีคุณธรรม และจริยธรรมอันดีงามตามวิถีไทย หรือที่หลาย คนเรียกว่ามี Compassion
          ถ้าจะให้ครูไทยมีคุณลักษณะตามคุณลักษณะของคนในศตวรรษที่ 21 บวกกับ Compassion กระบวนการผลิตครูของเรา คือ   ควรจะเป็นอย่างไร ถ้าอยากให้ผู้เรียนได้ 3Rs – reading, writing, and arithmetic ครูและนักเรียนต้องทำอย่างไร ต้องทำกิจกรรมอะไร ถ้าอยากให้ผู้เรียนเกิด ความตระหนักในความเป็นสากลหรือความเป็นพลเมืองของโลก – globalization จะต้องให้ผู้เรียนทำกิจกรรมอะไรระหว่างเรียน และต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเกิดความตระหนักดังกล่าว เช่นเดียวกัน
          ถ้าจะให้ผู้เรียนได้ทักษะทางเศรษฐกิจ การเงิน การประกอบการ – economy, finance, and entrepreneur หรือให้ได้ทักษะทางการดูแลรักษาสุขภาพ (healthcare skills) ความตระหนักในการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ (citizenship) ความตระหนักในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและร่วมกันดูแลรักษาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (natural environment) จะต้องใช้เวลานานเท่าใด กี่ชั่วโมง กี่วัน กี่สัปดาห์ กี่เดือน กี่ปี

          เช่นเดียวกัน ถ้าจะให้นักศึกษาครูได้ทักษะที่จำเป็นสำหรับคนในศตวรรษที่ 21 ทั้ง 8 ทักษะคือการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาในวิชาที่เรียน (critical thinking and problem solving skills) การคิดสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรมในวิชาที่เรียน (creative and innovative skills) การสร้างความร่วมมือ ทำงานเป็นทีม และสร้างภาวะผู้นำในระหว่างเรียนและการนำไปใช้ในอนาคต (collaborative, teamwork and leadership skills) การอยู่ร่วมกันกับคนในหลากหลายวัฒนธรรม (crosscultural understanding) การสื่อสาร การเรียนรู้ เข้าใจ ใช้สารสนเทศ และสื่อสารมวลชนในวิชาที่เรียนและนำไปใช้ในการทำงาน (communication, information and media)
          การคิดคำนวณ และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสื่อสารทางไกลในวิชาที่เรียนและในการทำงาน (computing and ICT) การสร้างอาชีพและความรู้ได้ด้วยตนเองโดยอาศัยวิชาที่เรียนมา (Career and learning self-reliance) และการมีวินัย เข้าใจ เห็นอกเห็นใจคนอื่น มีคุณธรรมและจริยธรรม ทั้งในระหว่างเรียนและในอนาคตเมื่อออกไปประกอบอาชีพ (compassion) แต่ละอย่างจะต้องใช้เวลาในการเรียนและการฝึกนานเท่าใด กี่ชั่วโมง กี่วัน กี่สัปดาห์ กี่เดือน ทั้งหมดนี้คิดจากฐานของนักเรียนที่จบ ม.6 ของไทยปัจจุบัน และเรียนกับคณาจารย์ในสถาบันผลิตครูปัจจุบัน
          สิ่งที่พวกเรายอมรับและเห็นตรงกันเป็นส่วนใหญ่ ณ วันนี้ คือ ถ้าจะให้นักเรียนหรือนักศึกษาได้ 3Rs ก็ต้องจัดการเรียนการสอนในรูปแบบของ Teaching 1.0 บวกกับ Teaching 2.0 และ Teaching 3.0 โดยใช้ Teacher 1.0, Teacher 2.0 และ Teacher 3.0 คือให้ครูสอนเก่งสอนให้ผู้เรียนได้ทักษะพื้นฐาน – Reading, Writing, and Arithmetic ที่จะนำไปใช้ในการแสวงหาความรู้ สอนโดยคำนึงถึงความสนใจและความถนัดของผู้เรียนแต่ละคน สร้างโจทย์ แบบฝึกหัด ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความสนใจและมีความหมายต่อชีวิตของเขา กำหนดเป้าหมายในการสอนแต่ละครั้ง วางแผนการสอน วางแผนกิจกรรมการสอนและการนำเสนอเนื้อหาทั้งที่อยู่ในรูปของ theory, principle, research finding, practical guide วางแผนการใช้สื่อ วางแผนการติดตามและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน วางแผนการจัดสอนซ่อมเสริม (remedial teaching)
          นั่นก็คือการดำเนินการในขั้นตอนของ P – Planning ของ PDCA

          การสอนแบบ Teaching 1.0, Teaching 2.0, Teaching 3.0 อาจทำให้นักศึกษาครูเข้าใจและจำ (understanding and memorizing) ทฤษฎี หลักการ ข้อค้นพบจากการวิจัย และคู่มือปฏิบัติสำหรับ วิชานั้นๆ (ที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน) ได้ แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาได้ critical thinking and problem-solving; creative and innovative; collaborative, teamwork, leadership; cross-cultural understanding; communication, information, media; computing and ICT; career and learning self-reliance; and compassion skills หรือที่เรียกว่า 8Cs ถ้าจะให้ได้ 8Cs เทคนิคการสอนต้องเปลี่ยนจาก Teaching 1.0, Teaching 2.0, Teaching 3.0 ไปเป็น Teaching 4.0 คือให้ผู้เรียนเรียนแบบ Problem-based learning = PBL ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการเข้าใจในทฤษฎี หลักการ ข้อค้นพบจากการวิจัย และคู่มือปฏิบัติในวิชาทั้งหลายที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน
          และเกิดความสงสัยต่อไปอีกว่าทฤษฎี หลักการ ข้อค้นพบจากการวิจัย และคู่มือปฏิบัติที่มีอยู่หรือที่เรียนมามีความถูกต้อง สมบูรณ์หรือไม่ นำไปใช้อธิบายเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ ปัญหาต่างๆ ได้ครบทุกปรากฏการณ์หรือทุกปัญหาหรือไม่ นำไปใช้บำบัดความอยากหรือความต้องการของมนุษย์ได้ทุกอย่างหรือไม่ หรือในกรณีของครู ทฤษฎี หลักการ ข้อค้นพบจากการวิจัย และคู่มือปฏิบัติที่เรียนมาสามารถนำไปใช้กับนักเรียนที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่มเรียนเร็ว เรียนช้า สมาธิสั้น มีปัญหาในครอบครัว ฯลฯ ได้ทุกกรณีหรือไม่ ถ้าไม่ได้ทั้งหมดจะทำอย่างไร จะสร้างทฤษฎี หรือหลักการใหม่ หรือผลิตนวัตกรรมมาใช้ได้อย่างไร
          ในความเป็นจริง ปรากฏการณ์ เหตุการณ์ ปัญหา ความอยากมีวิวัฒนาการ วิวัฒนาการไปตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งหลายที่อยู่รอบตัวพวกเรา โดยเฉพาะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ICT โรบอต และปัญญาประดิษฐ์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก งานวิจัยที่เผยแพร่ที่แคนาดาเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 บอกว่า ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนประถมศึกษาในวันนี้จะออกไปประกอบอาชีพที่มนุษย์ปัจจุบันยังไม่เคยสัมผัสเมื่อเด็กเหล่านี้สำเร็จปริญญา การเข้าใจและจำทฤษฎี หลักการ ข้อค้นพบจากงานวิจัย และคู่มือการทำงานได้จึงไม่เพียงพอที่จะทำให้เขามีอาชีพหรือประกอบอาชีพได้ ทักษะหรือสมรรถนะที่คณะครุศาสตร์ต้องให้แก่นักศึกษาครูในวันนี้จึงต้องเป็น 8Cs ทำให้เขาเป็นคนขี้สงสัยและอยากหาคำตอบ หรือที่เรียกว่าทำให้เกิด inquiring mind คณาจารย์ต้องถามให้นักศึกษาครูสงสัย ทำให้เขาได้ปัญหา (problem) หรือกำหนดปัญหาได้
          ทำให้เขามองเห็น เข้าใจมูลเหตุของปัญหา (causes of the problem) อยากรู้คำตอบ ค้นหาวิธีการหรือแนวทางที่อาจนำมาใช้ในการแก้ปัญหาได้ (alternative solutions) จากแหล่งความรู้ต่างๆ จากทฤษฎี หลักการ ข้อค้นพบจากการวิจัย และคู่มือปฏิบัติที่เรียนมา จากแหล่งเรียนรู้ดิจิทัล จาก YouTube, Khan Academy, MOOC จากคณาจารย์ เพื่อน พี่ พ่อแม่ ปราชญ์ชาวบ้าน ฯลฯ เลือกทางเลือกที่ดีที่สุดที่มั่นใจว่าจะแก้ปัญหาได้ นำทางเลือกนั้นมาพัฒนาเป็นโครงการ/โครงงาน (project) นำโครงงานไปปฏิบัติ รวบรวมข้อมูลระหว่างการนำโครงงานไปปฏิบัติ วิเคราะห์ประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการนำโครงงานไปปฏิบัติ ทดลองทำซ้ำหลายครั้ง และในแต่ละครั้งก็มีการปรับปรุงโครงงาน ประเมินผลลัพธ์ ปรับปรุง ประเมินให้มีความสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ (Research and Development = R&D)
          ในที่สุด นักศึกษาครูก็จะได้ความรู้ใหม่เป็นของตนเอง
          ทำอย่างนี้จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการเป็นนักศึกษา นักศึกษาก็จะได้ทักษะการวิเคราะห์ปัญหา การแก้ปัญหา การค้นหาความรู้ใหม่หรือการสร้างนวัตกรรม ได้ C ตัวที่ 1 และตัวที่ 2 (critical thinking and problem solving และ creative and innovative skills) ถ้านักศึกษาทำโครงงานเป็นทีม เขาก็จะได้ C ตัวที่ 3 – collaborative, teamwork and leadership skills ถ้าเพื่อนที่ร่วมทำโครงงานมาจากครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจ สังคม ภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ สมาชิกในทีมก็จะได้ C ตัวที่ 4 คือ cross-cultural understanding ในการค้นหาทางเลือกที่จะนำมาพัฒนาเป็นโครงงาน หรือแม้กระทั่งในขั้นตอนของการวิเคราะห์และเลือกปัญหาเพื่อนำมาพัฒนาเป็นโครงงาน
          นักศึกษาต้องศึกษาค้นคว้าหาความรู้ หรือปัญหาจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ทั้งแหล่งเรียนรู้ดิจิทัล ออนไลน์ YouTube, Khan Academy, MOOC คณาจารย์ พี่ เพื่อน พ่อแม่ ปราชญ์ชาวบ้าน ฯลฯ จะทำให้นักศึกษาครูได้ C ตัวที่ 5 – communication, information, media

          ในขั้นตอนของการนำโครงงานไปสู่การปฏิบัติ นักศึกษาอาจนำโครงงานไปทดลองปฏิบัติในสถานศึกษาจริงถ้าเป็นโครงการที่เกี่ยวกับหลักสูตร การเรียนการสอน การวัดและประเมินผล หรือในโรงงาน ในชุมชน ในห้องปฏิบัติการ ในแปลงทดลองสาธิต ฯลฯ (work-based learning) ได้ปฏิบัติจริงจนเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ เกิดชุมชนการปฏิบัติขึ้นในคณะครุศาสตร์หรือในสถานศึกษา (community of practice = COP)
          คณาจารย์ไม่ต้องบรรยายมาก (teach less) เพียงแต่คอยตั้งคำถามและชี้แนะให้นักศึกษาค้นหาความรู้และเรียนรู้ สร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง (learn more) ทำให้เกิดปรากฏการณ์ Teach Less but Learn More = TLLM ขึ้นในคณะครุศาสตร์ นักศึกษาแต่ละคนก็จะเรียนด้วยความกระตือรือร้น มีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของการเรียนรู้ (active learner) วิเคราะห์ กำหนดปัญหา มองหาทางเลือกในการแก้ปัญหา นำทางเลือกมาพัฒนาเป็นโครงงานเพื่อแก้ปัญหา นำโครงงานไปปฏิบัติ ประเมิน ปรับปรุง ปฏิบัติ ประเมิน ปรับปรุง…ไปเรื่อยๆ จนได้ความรู้ใหม่ หรือนวัตกรรม ก็จะทำให้นักศึกษาครูได้ C ตัวที่ 6 และตัวที่ 7 คือ computing and ICT และ career and learning self-reliance
          ในระหว่างเรียนทั้งใน school classroom และ university classroom หรือในสถานประกอบการ ในชุมชน คณาจารย์ต้องดูแลให้นักศึกษาครูตรงต่อเวลา มีวินัย เข้าใจ เห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือเกื้อกูล รู้รักสามัคคี ให้ประหยัด ให้ซื่อสัตย์ ก็จะทำให้นักศึกษาครูได้ C ตัวที่ 8 – compassion
          ควบคู่กัน ในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ของการเรียนรู้ คณาจารย์ต้องจัดให้นักศึกษาครูได้สรุปและสังเคราะห์ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับในแต่ละสัปดาห์ ได้รู้ว่าความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาครูแต่ละคนเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างไร มีอะไรที่เข้าใจถูกต้องแล้ว หรือยังคลาดเคลื่อนอยู่ มีอะไรที่ควรไปศึกษาเพิ่มเติม (reflection session) คณาจารย์จะประเมินผลการเรียนรู้ของนักศึกษาแต่ละคนในทุกชั่วโมงหรือทุกคาบที่มีการสอน หรือทุกครั้งที่มีการทำกิจกรรมการเรียนรู้ ส่วนที่เข้าใจไม่ถูกต้อง เพื่อนนักศึกษาและคณาจารย์จะได้ช่วยกันแก้ไขให้เข้าใจได้ถูกต้อง ทำให้เกิดการติดตาม ประเมินผลการเรียนรู้ของนักศึกษาแต่ละคนอย่างต่อเนื่อง (monitoring, assessment, and evaluation) เกิดระบบประกันคุณภาพนักศึกษาทุกขั้นตอนของการเรียนในสถาบันผลิตครู (internal quality assurance)
          เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์มีความรู้ที่ทันสมัย สามารถพัฒนาเทคนิคการสอนของคนอย่างต่อเนื่อง คณาจารย์ที่สอนวิชาเดียวกัน หรือรับผิดชอบนักศึกษาครูกลุ่มเดียวกันในภาคเรียนเดียวกัน อาจรวมตัวกันเป็นชุมชนเพื่อการเรียนรู้ในวิชาชีพ (Professional learning community = PLC) จัดกิจกรรมเรียนรู้ เช่น การทำ มคอ. 3 สัมมนา ประชุมปฏิบัติการ ประชุมนำเสนอผลงาน ศึกษาดูงานด้วยกันในกลุ่ม PLC เดียวกัน และส่งเสริมให้นักศึกษาครูสาขาวิชาเดียวกัน ระดับชั้นเดียวกัน สถาบันเดียวกัน หรือต่างสถาบันกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
          รวมกลุ่มเป็น Learning Community = LC เดียวกันโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือ social media เช่น LINE หรือ Facebook เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
          ในบางโครงการ ระยะเวลาในการนำโครงงานไปปฏิบัติจนก่อให้เกิดผล มีการประเมิน ปรับปรุง นำไปสู่การปฏิบัติซ้ำ ปรับปรุง…อาจใช้เวลายาวนาน สถาบันผลิตครูควรจัดตารางการศึกษาให้เกิดความต่อเนื่อง ให้มีการบูรณาการ
ระหว่างวิชา ไม่ให้เกิดการเรียนรู้แบบแยกส่วน เป็นเศษ เป็นชิ้น แต่ให้เรียนรู้แบบบูรณาการทั้งวิชาชีพครู วิชาเอก และวิชาการศึกษาทั่วไป เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือนักศึกษาครูได้ 3Rs เกิดความตระหนักในความเป็นสากลหรือความเป็นพลเมืองของโลก ได้ทักษะทางเศรษฐกิจ การเงิน การประกอบการ ได้ทักษะการดูแลรักษาสุขภาพ เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ ตระหนักในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและร่วมกันดูแลรักษาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้ 8Cs ด้วย
          ที่สำคัญ คณาจารย์ต้องทำตัวเป็น role model ให้แก่นักศึกษาด้วย
          ถามว่า ทั้งหมดนี้จะต้องใช้เวลานานเท่าใด กี่ชั่วโมง กี่วัน กี่สัปดาห์ กี่เดือน กี่ปี
          การที่จะทำกิจกรรมใน 2 เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใน 1 ได้ เราต้องใช้ตัวป้อนเข้าใน 3 และอาศัยเทคโนโลยี นวัตกรรมการทำงาน และทรัพยากรจาก 4
          ในเชิงระบบ ตัวป้อนเข้าพื้นฐานที่ 2 ต้องใช้ในกิจกรรมการผลิตครูคุณภาพ (process) ซึ่งคือ 3 ได้แก่ (1) นักศึกษาครูทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ (2) มาตรฐานวิชาชีพครู (3) มาตรฐานหลักสูตรและมาตรฐานคุณภาพอุดมศึกษา (4) หลักสูตรซึ่งต้องพัฒนาขึ้นโดยอาศัย (1),(2),(3) – วิชาการศึกษาทั่วไป วิชาชีพครู วิชาเอก วิชาเลือก (5) คณาจารย์ ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ (6) สื่อ แหล่งเรียนรู้ ICT, YouTube, Digital learning sources, Khan Academy, MOOC, Artificial Intelligence, Teacher Training School – TTS ฯลฯ (7) งบประมาณ, Minute (เวลา), Management Resources อื่นๆ และ (8) กฎหมาย กฎ ระเบียบ คู่มือที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ครู
          (1), (2), (3), (4), (5), (6), (7), และ (8) ต่างเป็นระบบย่อยของตัวป้อนเข้า ซึ่งในทางทฤษฎีย่อมเกี่ยวข้องสัมพันธ์และพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และก็เป็นตัวจำกัดกิจกรรมใน 3 คือ process ด้วย เราอาจวางแผนเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้อย่างดี แต่ถ้าได้นักศึกษาครูคุณภาพต่ำ และจำนวนนักศึกษาต่อห้องสูง การกระทำกิจกรรม reflection session ก็อาจไม่ราบรื่น อยากให้นักศึกษาครูค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ดิจิทัลแต่ระบบไวไฟของคณะครุศาสตร์ไม่มั่นคง (instability) นักศึกษาก็จะเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ดิจิทัลได้ลำบาก มาตรฐานวิชาชีพครูไม่ท้าทาย ไม่สูงพอที่จะทำให้บัณฑิตครูมีทักษะและสมรรถนะที่จำเป็นในการดำรงตนในศตวรรษที่ 21 บัณฑิตครูก็จะไม่ได้ทักษะและสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับการดำรงตนในศตวรรษที่ 21 มี (1), (2), (3), (4), (6), (7) เพียงพอ แต่ (5) ซึ่งได้แก่คณาจารย์และบุคลากรสนับสนุนไม่เพียงพอ หรือไม่มีคุณภาพ กิจกรรมใน 2 คือกระบวนการก็จะไม่เกิด หรือเกิดแต่ด้อยคุณภาพ บัณฑิตใน 1 ก็จะไม่มีคุณลักษณะดังที่เราคาดหวัง คือขาด 3Cs ไม่เกิดความตระหนักในความเป็นสากลหรือความเป็นพลเมืองของโลก ขาดทักษะทางเศรษฐกิจ การเงิน การประกอบการ
          ขาดทักษะการดูแลรักษาสุขภาพ ขาดความเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ ขาดความตระหนักในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและไม่ร่วมมือกันดูแลรักษาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และไม่ได้ 8Cs
          ในทำนองเดียวกัน การขาด (7) ซึ่งได้แก่งบประมาณ เวลา และทรัพยากรทางการบริหารอื่น เช่น ความรู้ทางการบริหาร ความร่วมมือจากโรงเรียนฝึกคนเป็นครู (Teacher Training School =TTS) การขาดภาวะผู้นำในคณะครุศาสตร์ การจัดเวลาให้แก่กิจกรรมใน 2 ไม่เพียงพอเนื่องจากเวลาเรียนสำหรับแต่ละหัวข้อในหลักสูตรมีจำกัด หรือไม่สามารถจัดให้มี reflection session ได้เพราะต้องรีบเร่งไปบรรยายหัวข้ออื่น ไม่มีเวลาเพียงพอให้นักศึกษาได้พัฒนาโครงงาน นำโครงงานไปปฏิบัติ ประเมิน ปรับปรุง นำไปปฏิบัติ ประเมิน ปรบปรุง…โครงงานอย่างต่อเนื่อง ทักษะที่พึงประสงค์ที่ต้องการให้นักศึกษาครูมีก็จะไม่เกิด
          วันนี้มีหลายฝ่ายออกมาพูดว่าเราน่าจะลดเวลาเรียน (Minute) ของนักศึกษาครูลงให้เหลือ 4 ปี แทนการใช้เวลาเรียน 5 ปี ด้วยเหตุผลว่า ประเทศอื่นเขาใช้เวลาเรียนแค่ 4 ปีบ้าง ลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่รัฐและนักศึกษาครูบ้าง ระยะเวลาเรียน 4 ปี กับ 5 ปี ไม่ทำให้คุณภาพบัณฑิตแตกต่างกันบ้าง แต่ไม่ได้พูดกันมากนักว่าวันนี้ บัณฑิตครูใหม่และครูประจำการของเราเป็นผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง – professional ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 52 ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 หรือยัง คณะกรรมการคุรุสภาซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 20 ของ พ.ร.บ.สภาครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 ได้ปฏิบัติหน้าที่เต็มความรู้ความสามารถหรือยัง เมื่อรู้ว่า 1 คือคุณลักษณะบัณฑิต เกิดจาก 2 คณาจารย์ได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนตาม 2 หรือยัง ที่กิจกรรมตาม 2 เกิดไม่ได้ เราจะไปแก้ปัญหาด้วยการลดเวลาเรียนลงให้เหลือ 4 ปี เอาดื้อๆ ผู้เขียนมองไม่เห็นความสมเหตุสมผล (logic) ของเรื่องนี้เลยครับ เราอย่าไปอ้างเลยครับ ว่าประเทศโน้นประเทศนี้เขาทำอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะแต่ละประเทศมีเหตุผลและคำอธิบายต่างกัน (logic) แม้จะใช้ทฤษฎีระบบเหมือนกัน แต่บริบททั้ง environments, inputs, process ต่างกันกับของเรา ภารกิจของกรรมการคุรุสภาคือการทำให้วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง ทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูเป็น professional ตามที่กฎหมายบัญญัติ ถ้าลดเวลาเรียนลงให้เหลือ 4 ปี แล้วจะทำให้เราได้ครูที่เป็น professional ไหม วิชาชีพครูจะเป็นวิชาชีพชั้นสูงไหม ถ้าไม่เป็น คนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ วันนี้จะอยู่รับผิดชอบอะไรไหม
          ถ้าไปถามผู้อำนวยการโรงเรียน ครู และผู้ปกครองว่า ครูหลักสูตร 5 ปี ที่บรรจุมาที่โรงเรียนใหม่ในปีนี้มีพฤติกรรมการเรียนการสอนแตกต่างจากครูเก่าในโรงเรียนอีก 60, 70 คนที่สอนในโรงเรียนมา 10, 20 ปีหรือไม่ คำตอบมันรู้อยู่แล้วว่า “ไม่แตกต่าง” ไม่ต้องไปทำวิจัยให้เสียเงินหรอกครับ ภายใต้บริบทเดิมๆ ของโรงเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนคนเดิม เพื่อนครูชุดเดิม อาคารเรียนหลังเก่า ห้องเรียนเก่า ห้องปฏิบัติการเก่า อุปกรณ์และเครื่องมือเก่า ใช้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ดิจิทัลได้บ้างไม่ได้บ้าง แหล่งเรียนรู้ก็เก่า จะให้นักเรียนเรียนแบบ project-based learning ก็ไม่ได้ ไม่สะดวก เวลาสำหรับ reflection ก็ไม่มี จะให้นำ project ไปปฏิบัติจริงในโรงเรียนหรือสถานประกอบการก็ไม่ได้ วิธีการคัดคนเข้าเรียนต่อระดับที่สูงขึ้นก็แบบเก่า การประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีของครูแบบเดิม การประเมินครูเพื่อเลื่อนหรือให้มีวิทยฐานะสูงขึ้นแบบเดิม เกณฑ์การขอย้ายแบบเดิม รวบอำนาจการบริหารแบบเดิม ชั่วโมงสอนต่อสัปดาห์เท่าเดิม ค่าใช้จ่ายรายหัวเท่าเดิม ฯลฯ แต่ไปหวังว่าครูที่จบจากหลักสูตร 5 ปีจะแสดงตนเป็นแกะขาวในโรงเรียน ทำอะไรให้แตกต่างจากครูเก่าอื่นๆ อีก 60, 70 คน มันยุติธรรมหรือครับ พอครูหลักสูตร 5 ปีไม่แสดงตนเป็นเสมือนแกะขาวในฝูงแกะดำซึ่งต่างสายพันธุ์กัน และนานเข้าก็ถูกฝูงแกะต่างสายพันธุ์กลืนสายพันธุ์แกะขาว เราก็เลยมาเสนอขอปรับเวลาเรียนครูลงให้เหลือ 4 ปีเสีย โดยหวังว่าความเป็นวิชาชีพชั้นสูงของผู้ประกอบวิชาชีพครูจะเท่าเดิมหรือสูงขึ้น จะเป็นไปได้หรือครับ จะสร้างข่าวนี้ขึ้นมากลบเกลื่อนข่าวอะไร ทำไมไม่คิดพัฒนาผู้อำนวยการและครูในโรงเรียนให้มีความเป็น professional ยิ่งขึ้น พัฒนาสภาพแวดล้อมทางกายภาพในโรงเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ยิ่งขึ้น ออกกฎหมายเพื่อพัฒนาโรงเรียนฝึกคนเป็นครู (TTS) ออกกฎหมายเพื่อจูงใจและดึงดูดให้ภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคท้องถิ่นเข้ามาส่งเสริม สนับสนุน และมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษามากขึ้น พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนของนักเรียนและนักศึกษาให้เป็นแบบ project-based learning มากขึ้น ฯลฯ
          โอกาสของการเป็นประเทศไทย 4.0 ที่ท่านนายกรัฐมนตรีให้นโยบายไว้และอยากจะเห็น จะได้ไม่เป็นเพียงวาทกรรมไงครับ

          วันนี้นักศึกษาครูในความดูแลของผู้เขียนสับสนและมึนงงกับนโยบายและความคิดรายวันที่ขาดทฤษฎีและหลักการอ้างอิงกันมาก ว่าเขาจะเรียนต่ออย่างไร บางคนถึงกับถามว่าเขาควรจะชวนกันไปเยี่ยมประธานกรรมการคุรุสภา หรือนายกรัฐมนตรีดีไหม ในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา นักเรียน ม.6 ที่เก่งๆ จำนวนมากเลือกเรียนครู (ดังที่เป็นข่าวตามสื่อมวลชนซึ่งทุกฝ่ายทราบดี) เพราะเห็นว่าวิชาชีพครูจะได้รับการพัฒนาให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงตามที่กฎหมายกำหนด และตามที่มีการพูดคุยกันในหมู่นักเรียน ม.6 แม้นว่าวันนี้ความเป็นวิชาชีพชั้นสูงอาจจะยังไม่ปรากฏชัดเจนนัก เพราะบัณฑิตครูหลักสูตร 5 ปี เพิ่งจะได้รับการบรรจุเข้าไปในโรงเรียนเพียงประมาณ 7-8 ปีที่ผ่านมา และสภาพแวดล้อมทางกายภาพในโรงเรียน เป็นต้นว่า สภาพห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ ผู้อำนวยการโรงเรียน ครูรุ่นพี่ ICT, YouTube, Digital learning sources, Khan Academy, MOOC, Artificial Intelligence นโยบายการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงรายวัน รายชั่วโมง ก็เป็นอยู่อย่างที่เห็นๆ แต่ทุกคนยังเชื่อว่าวิชาชีพนี้จะได้รับการพัฒนาให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงในเร็ววัน การที่จะขอลดเวลาเรียนลงให้เหลือ 4 ปี จะเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดหรือ
          ถ้าไม่สามารถทำให้วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูงได้ เราน่าจะเปลี่ยนกรรมการคุรุสภาไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่มาลดเวลา (Minute) ซึ่งเป็น input ตัวหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน (process) ที่จะนำไปสู่การเพิ่มคุณภาพของ output ครับ
          ณ วันนี้ ครู ผู้บริหารโรงเรียน และผู้บริหารการศึกษาต่างพูดกันว่า โครงสร้างการบริหารการศึกษาระดับภูมิภาคและระดับจังหวัดถูกทำลายจนเละเป็นโจ๊กแล้ว ยังจะมาทำให้ระบบการผลิตครูของประเทศ “มุนปานเตะเห็ด” อีกหรือครับ
–จบ–

          –มติชน ฉบับวันที่ 20 ก.ค. 2560 (กรอบบ่าย)–