กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมกับคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง จัด
● ข้อคิดเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำไมคนไทยต้องส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ทุกท่านคงทราบดีว่า ความสำเร็จของการพัฒนาประเทศที่ดีที่สุด คือ การพัฒนาคน ซึ่งคนจะมีความสามารถสูงได้ก็มาจากระบบการศึกษา เพราะฉะนั้นหากประเทศใดมีคุณภาพการศึกษาที่ดี มีคุณธรรม ประเทศเหล่านั้นจะก้าวกระโดดมาก แต่ประเทศใดที่ล้มเหลวทางการศึกษา ในระยะสั้นอาจจะอยู่ได้ แต่ระยะยาวอาจทรุดลงไปเรื่อย ๆ เหมือนตัวอย่างที่มีให้เห็นในเวลานี้ ดังนั้น “คน” และ “การศึกษา” จึงเป็นของคู่กัน
ดังนั้น สิ่งสำคัญของการจัดการศึกษา คือ ต้องสนองตอบต่อความต้องการในการพัฒนาประเทศให้ได้ หากจัดการศึกษาไปคนละทิศละทาง พลังที่ควรจะเกิด และทรัพยากรที่ทุ่มลงไป ก็จะไม่เกิดผลใด ๆ ทั้งสิ้น รัฐบาลนี้กำลังจะเดินไปทางไหน.. การศึกษาจะทำได้อย่างไร.. การส่งเสริมนโยบายของรัฐ หรือ 3 จังหวัด ECC จะช่วยกันพัฒนาประเทศได้อย่างไร.. สิ่งเหล่านี้จะขอกล่าวในภาพรวม สิ่งที่คิดในวันนี้อาจจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ตั้งใจจะทำ และที่ผ่านมาหลายนโยบายก็เป็นความโชคดีที่นายกรัฐมนตรีพร้อมให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง
เรื่อง ECC เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะเมื่อก่อนในยุคโชติช่วงชัชวาล สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกิด Eastern Seaboard ขึ้นจนส่งผลทำให้ประเทศเราได้อานิสงส์เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจเราเริ่มชะงักงันและถดถอยลงมาโดยตลอด จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 7-8% หากไม่กระตุ้นจะร่วงลงมาเรื่อย ๆ เหลือ 3-4% และยิ่งมาเจอกับสถานการณ์การเมืองที่บ้านเมืองวุ่นวายจะเหลือเพียง 0.8% เท่านั้น เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่โตเอา ๆ ซึ่งมาจากสาเหตุหลายประการ
ประการแรก เราขาดดุลยภาพจากการเติบโต ส่วนใหญ่เราพึ่งพาการส่งออกที่มีสัดส่วนของรายได้มากถึง 70% แต่เมื่อมีปัญหาทางเศรษฐกิจโลกเกิดขึ้น การส่งออกของเราก็ชะงักงันทันที ส่งผลถึงเศรษฐกิจท้องถิ่น (Local Economy) ขาดความเจริญ ความเอาใจใส่ ยากจน ขาดอำนาจซื้อ ส่งผลให้ตลาดในประเทศไม่เพียงพอต่อการผลิตได้ ทรัพยากรที่ทุ่มเทลงไปเพื่อการพัฒนาจึงกระจุกแต่ไม่กระจายลงไปท้องถิ่น ส่วนสินค้าที่เราผลิตก็ยังพื้น ๆ ความแตกต่างเท่าเทียมจึงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
ประการที่สอง เมื่อเราเน้นการส่งออก สินค้าที่เคยสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
ดังนั้น หากเราไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในตัวสินค้า หรือเกิดการคิดค้นนวัตกรรมที่จะช่วยสร้างมูลค่าและอุตสาหกรรมที่แข่งขันได้ในอนาคตอันใกล้ รายได้ในอนาคตของเราก็จะค่อย ๆ ลดลง ความฝันที่ให้ GDP เติบโตเป็น 20% ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เหมือนฝันกลางวัน เพราะอย่างเก่งคงทำได้เพียง 4% สิ่งเหล่านี้คือความจริงที่เป็นอยู่ แม้ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาสินค้าส่งออกของเราจะพลิกจากติดลบเป็นบวก แต่ก็เป็นเพราะมาจากสาเหตุราคาน้ำมันตกต่ำลง และเศรษฐกิจของประเทศชั้นนำโลก เช่น จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เมื่อเริ่มดีขึ้น เราก็จะเป็นบวกขึ้น แต่หากประเทศเหล่านี้ทรุดลงอีกเมื่อไร เราก็จะทรุดตาม
จึงเตือนสติว่า การปฏิรูปประเทศเท่านั้นที่จะช่วยได้ เพราะไม่มีทางลัดอื่นใด แต่การปฏิรูปที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ในเวลานี้กว่าจะเห็นผลเกิดขึ้นได้ใน 3-4 ปีข้างหน้า ขอย้ำว่าหน้าที่ของรัฐบาลจะไม่ทำอะไรตามใจไปเสียทุกเรื่อง แต่ต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ เพื่ออนาคตของประเทศ อาจจะขัดใจประชาชนบ้างบางเรื่อง ก็เหมือนกับพ่อแม่ที่ดีย่อมไม่ตามใจลูกทุกเรื่อง หากเห็นหนทางที่ดีกว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เราจึงจะไม่กังวลเรื่องของการหาเสียง ดังนั้นอะไรที่สำคัญ, รัฐบาลจะทำเลย
ประการที่สาม โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเราอยู่ที่บริษัทชั้นนำเพียง 50 กว่าบริษัทเท่านั้นที่มีผลต่อการขับเคลื่อนประเทศ ในจำนวนนี้เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เพียง 20 บริษัทเท่านั้น จึงทำให้กระจุกตัวอยู่เพียงเท่านี้ เพราะฉะนั้นการผลิตช่าง วิศวกร เข้ามาเป็นแรงงานเพื่อหนุนเครื่องจักรเหล่านี้ซึ่งมีจำนวนน้อย เปรียบเสมือนประเทศซึ่งป่ามีน้อย มีต้นไม้ใหญ่ ๆ เพียงไม่กี่ต้น หรือมีแต่ไม้ล้มลุก ประเทศนั้นย่อมไม่มีฝนตกชุก ต่างจากประเทศที่มีต้นไม้ป่าเต็มไปหมด ฉันใดฉันนั้น โครงสร้างการผลิตต้องประกอบด้วยผู้ประกอบการจำนวนมาก ไม่ใช่แค่เพียงบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่แห่งเท่านั้น เราจึงจำเป็นต้องสร้างบริษัทในอนาคตให้มากขึ้น ซึ่งบริษัทที่เกิดใหม่ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ เพราะจะกลายเป็นข้อจำกัดในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น บริษัทใหญ่ ๆ ทุกวันนี้ล้วนเติบโตมาจากบริษัทเล็ก ๆ ที่จะกล้าคิดกล้าทำ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกเช่น Samsung จะไม่สามารถทำให้บริษัทเล็กลงได้ แต่ก็สามารถปรับโครงสร้างบริษัทย่อย ๆ ให้เล็กลง ให้ขั้นตอนการทำงานเล็กลง ระดับขั้นในการสั่งงานรวดเร็วขึ้น
ดังนั้น ในการสร้างบริษัทใหม่ ๆ จึงควรส่งเสริมให้เกิดผู้ที่คิดอ่านทางเศรษฐกิจได้ หรือ Startup เปรียบเป็น “วุ้น” โดยที่รัฐบาลจะหาเงินลงทุนให้ หรือต่อท่อเข้าไปในบริษัทวุ้นเหล่านี้ ให้เติบโตขึ้นมาได้เป็น SME และช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนให้เติบโตขึ้นมา จนกลายเป็นสามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิ
เพราะฉะนั้น นี่คือความฝันในการสร้างเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น
ความมุ่งหวังของรัฐบาลคือต้องการให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ยกตัวอย่างพื้นที่เศรษฐกิจในท้องถิ่นจะเติบโตได้ เกษตรกรต้องรู้ว่าจะผลิตอะไร ทำให้มีมูลค่าสูงขึ้นได้อย่างไร เช่น ข้าว แทนที่จะเป็นข้าวสารธรรมดา ก็ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้เป็นข้าวที่ราคาสูงขึ้นโดยใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาช่วย หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 30 ล้านคน แม้บ้านเราจะเป็น Critical Beauty คือ เข้ามาเที่ยวก็เพราะมีความสวยงามและงดงามในความสนุกตื่นเต้นที่หลากหลาย แต่นักท่องเที่ยวเหล่านั้นก็ยังกระจุกตัวในเมืองใหญ่ ๆ ของเราเท่านั้น จะทำอย่างไรให้เข้าไปซื้อสินค้า OTOP ในชุมชน เพราะฉะนั้น เราจึงควรพัฒนาหมู่บ้านที่สร้าง OTOP ไม่ใช่แค่สร้างสินค้า OTOP เพราะจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวได้เข้าไปซื้อสินค้าในชุมชนนั้น ๆ เห็นที่มาของการผลิตสินค้า เงินก็จะสะพัดในชุมชนแห่งนั้น เป็นการกระจายรายได้จากนักท่องเที่ยวออกไปในชุมชน
ยิ่งในอนาคตข้างหน้าประเทศไทยจะมีอินเทอร์เน็ตครบทุกหมู่บ้าน สินค้าในชุมชนจึงสามารถนำไปฝากขายใน e-Commerce ออกไปทั่วโลกได้อีกด้วย เราจึงต้องเตรียมการจัดระบบโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนตลาดเหล่านี้ที่จะเติบโตขึ้น ดังนั้น ในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน จึงจำเป็นต้องดูองค์รวมแบบนี้ ไม่ใช่เพียงแค่นับจำนวนหัวนักท่องเที่ยวแล้วคิดว่าเป็นอัตราการเติบโตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราสร้าง
สำหรับมหาวิทยาลัย หรือสถานศึกษาอาชีวศึกษา ต้องมีส่วนสำคัญเช่นกันที่จะช่วยสอนให้เกษตรกรรู้จักการแปรรูป วิธีจัดการสมัยใหม่ การออกแบบสินค้าผลิตภัณฑ์ แบรนด์ การตลาด การค้าขายผ่าน e-Commerce ฯลฯ หรือต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้เด็กปี 3-4 เกิดความเชื่อมโยงกับการพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาการท่องเที่ยว ไม่ใช่เป็นแค่ออกไปรับจ้างหรือใช้แรงงาน เพราะเราคงไม่สามารถให้ชาวบ้านคิดเรื่องเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy) ได้เข้าใจเท่า
ในอีกทาง เราต้องสร้างความสามารถด้านวิชาชีพในอุตสาหกรรมเดิม (First S-Curve) ให้เข้มข้นขึ้น และสร้างอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ให้เกิดการต่อยอดหรือได้เปรียบมากขึ้น เช่น การแพทย์สมัยใหม่หรือการรักษาสุขภาพ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ต่อยอดเป็นยานยนต์ไฟฟ้า หรือกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เราเป็นผู้นำในภูมิภาค รวมทั้ง
อีกอุตสาหกรรมสำคัญที่เราไม่เคยพูดถึง คือ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) เพราะหากเรานำเอาสิ่งเหล่านี้ไปร่วมกับผลิตภัณฑ์ จะกลายเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น ฟิล์ม เกม ดนตรี
สำหรับการ
ในขณะเดียวกัน เราจำเป็นต้องดึงคนเก่ง ๆ ระดับโลกให้เข้ามา โดยเพิ่มแรงจูงใจให้คนเก่ง ๆ หรือผู้ประกอบการจากต่างประเทศเข้ามา รวมทั้งเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการเติบโตกลุ่มอุตสาหกรรมในกลุ่มคลัสเตอร์ต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้เราท้าทายสิงคโปร์แล้วในการสร้างความสามารถของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในเรื่องการจูงใจด้านภาษีแบบคงที่ 17% หรืออาจจะเป็นแบบขั้นบันไดก็แล้วแต่ให้เท่าสิงคโปร์ และเร็ว ๆ นี้จะมีเงินกองทุนหมื่นล้านสำหรับการส่งเสริมสนับสนุน และเงื่อนไขจูงใจให้ผู้ประกอบการต่างประเทศเข้ามา โดยไม่ปิดกั้นอาชีพใดเป็นอาชีพสงวน เช่นเดียวกับสิงคโปร์ที่ไม่มีอาชีพสงวน ซึ่งหากเราได้คนเก่ง ๆ ระดับโลกเข้ามา เรายิ่งจะได้เรียนรู้จากบุคคลเหล่านี้ได้มากขึ้น
มหาวิทยาลัยจึงต้องให้ความสำคัญในการสร้าง “คน” และ “องค์ความรู้” รองรับด้วย ดังนั้นหากมหาวิทยาลัยใดของบประมาณเพื่อสร้างตึก จะถูกตัดงบประมาณไม่ให้เลย เพราะมีแต่ตึกไม่มีสมอง ยิ่งเสียค่าค่าน้ำไฟมากขึ้นไปอีกด้วย ในขณะเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการต้องเร่งรวบรวมข้อมูลความต้องการกำลังคนกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น ความต้องการใช้บุคลากรประเภทใด สาขาใด ปีละเท่าใด อะไรบ้าง
อีกเรื่องที่ย้อนไปถึงข้างต้นที่ได้กล่าวคือ การเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นนำในต่างประเทศ ขณะนี้สถาบันชั้นนำของต่างประเทศให้ความสำคัญในการพิจารณา Profile ของผู้เรียนเป็นหลักในการรับผู้เรียน เช่น การมีภาวะผู้นำ จิตสาธารณะ ผู้นำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ฯลฯ ดังนั้นโรงเรียนประถมศึกษา-มัธยมศึกษาควรทำ Profile ผู้เรียนแต่ละคนให้ชัดเจน เพราะหากโรงเรียนไม่ทำ ก็อย่าหวังว่าเด็กจะได้ไปเรียนในโรงเรียนชั้นนำต่างประเทศอีก
เหตุผลที่นายกรัฐมนตรีต้องการให้เวลา 2 ชั่วโมงในช่วงบ่ายของทุกวันเป็นโครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ก็เพื่อสร้างเด็กให้มีทักษะ (Skill) ในวิชาอื่น ๆ และอีกด้านคือ เพื่อสร้างบุคลิกภาพของเด็ก (Character) ซึ่งเด็กต่างประเทศจะได้รับการปลูกฝังอย่างมากในเรื่องความมีคาแรคเตอร์ที่รักชาติบ้านเมือง ความซื่อสัตย์สุจริตซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด การปลูกฝังให้รักษาสิ่งแวดล้อม เกลียดการคอร์รัปชัน การเคารพในสิทธิมนุษยชน ฯลฯ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่กระทรวงศึกษาธิการต้องสร้างเด็กให้มีคาแรคเตอร์ที่สำคัญเหล่านี้ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานขึ้นไป เพราะหากกระทรวงศึกษาธิการทำตรงนี้ได้สำเร็จ ต่อไปเราจะมีผู้นำที่เก่งและดี ไม่ใช่มีผู้นำที่โกงอีกต่อไป
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งจำเป็น มิฉะนั้นเราจะตามเวียดนามไม่ทัน ถ้าไม่รีบสร้างบุคลากรให้พร้อม นักลงทุนต่างชาติจะไม่มาที่เรา ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ไม่ใช่อยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรี แต่อยู่ที่ทุกท่านที่จะกล้าทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งดี ๆ ของประเทศไปสู่อนาคต
กระทรวงศึกษาธิการ ได้เห็นความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพและกำลังคนในพื้นที่ดังกล่าว มีการบูรณาการการจัดการศึกษาเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยใช้การศึกษาทั้งในและนอกระบบ และส่งเสริมสนับสนุนการจัดทำแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม จึงได้ดำเนินการจัดการประชุมสัมมนาทางวิชาการการจัดทำแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อให้ผู้เข้าประชุมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีการวางแผนการดำเนินงานร่วมกัน ในการพัฒนาการจัดการศึกษาเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก 2) เพื่อให้ผู้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของแต่ละพื้นที่ได้บูรณาการแผนการดำเนินงาน ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงและเห็นภาพรวมของการจัดการศึกษาในแต่ละพื้นที่ 3) เพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการได้ใช้ข้อมูลจากการประชุมสัมมนาไปวางแผนการดำเนินงาน และสนับสนุนการจัดการศึกษาให้ตรงตามความต้องการจำเป็นของแต่ละพื้นที่
ผู้เข้าประชุมสัมมนารวมทั้งสิ้น 1,000 คน ประกอบด้วยคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ผู้บริหาร และศึกษานิเทศก์จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาและครูจากโรงเรียนในโครงการ ตัวแทนผู้ประกอบการเอกชน ชุมชน และผู้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในพื้นที่ทุกภาคส่วน รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงศึกษาธิการและผู้รับผิดชอบโครงการจากส่วนกลางด้วย
กิจกรรมในการประชุมสัมมนาครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) การให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดทำแผนการศึกษาแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน และแนวทางในการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องตามความจำเป็นของแต่ละบริบท รวมทั้ง การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อบูรณาการแผนจัดการศึกษาให้นำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม วิทยากร ได้แก่ คณะวิทยากรจาก
อนึ่ง กระทรวงศึกษาธิการได้ผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว โดยการบูรณาการการดำเนินงานโครงการโรงเรียนประชาคมอาเซียนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โครงการการจัดการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และโครงการการจัดการศึกษาเพื่อรองรับเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” กระทรวงศึกษาธิการได้มีส่วนร่วมและติดตามการดำเนินการของโครงการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งการสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาต่อยอดการดำเนินงานโครงการดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป
อนึ่ง ก่อนการประชุมสัมมนาครั้งนี้
บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
นวรัตน์ รามสูต: ถ่ายภาพ
24/3/2560