นายพิเชฐ โพธ์ภักดี กล่าวว่า การเรียนรู้ภาษาจีนมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่เพื่อการสื่อสารเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่ไร้ขีดจำกัด การกล่าวปาฐกถาครั้งนี้เกิดขึ้นในปีที่ราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐปะชานจีน ภายใต้คำกล่าว “ไทยจีนใช่อื่นไกล เราคือครอบครัวเดียวกัน” (中泰一家亲 จงไท้เจียซิน) ซึ่งการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีจำนวนนักเรียน ครู และโรงเรียนที่เปิดสอนภาษาจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
* รากฐานการศึกษาภาษาจีนกว่าสองศตวรรษ
ประวัติความเป็นมาของการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยนั้นยาวนานกว่าสองศตวรรษ โดยมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่การก่อตั้งโรงเรียนจีนแห่งแรก คือ โรงเรียน “เกาะเรียน” ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 2325 ซึ่งเน้นการเรียนการสอนเป็นภาษาจีนทั้งหมด และมีการขยายตัวจนมีโรงเรียนจีนกว่า 200 แห่งในปี พ.ศ. 2475
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2535 เมื่อกระทรวงศึกษาธิการประกาศยกระดับให้ภาษาจีนมีสถานะเท่ากับภาษาต่างประเทศอื่น และในปี พ.ศ. 2551 สถานศึกษาในสังกัด สพฐ. สามารถออกแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาจีน โดยกำหนดให้เป็นกลุ่มรายวิชาเพิ่มเติมในหลักสูตรแกนกลางฯ พ.ศ. 2551 ปัจจุบัน ภาษาจีนจึงกลายเป็นหนึ่งในภาษาต่างประเทศที่สำคัญที่สุด และเป็นหนึ่งใน 6 ภาษาหลักที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารขององค์การสหประชาชาติ
*นโยบายการจัดการเรียนการสอนและการใช้มาตรฐานสากล
เพื่อรองรับบทบาทที่เพิ่มขึ้นของภาษาจีน สพฐ. ได้กำหนดนโยบายปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2566 ได้ประกาศแนวทางการจัดการเรียนการสอนภาษาจีน ซึ่งมีการนำมาตรฐานความสามารถทางภาษาจีน **HSK (Hanyu Shuiping Kaoshi) และ YCT (Youth Chinese Test) มาเป็นกรอบแนวคิดหลักในการกำหนดเป้าหมาย การออกแบบหลักสูตร การวัดผล และการพัฒนาครู
ปัจจุบัน สพฐ. กำหนดรูปแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาจีน 2 รูปแบบ ได้แก่
• ห้องเรียนทั่วไปภาษาจีน (General Chinese Classroom: GCC) จัดภาษาจีนเป็นรายวิชาเพิ่มเติม หรือบูรณาการ
เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการสื่อสารพื้นฐาน
• ห้องเรียนพิเศษภาษาจีน (Chinese Program: CP) ใช้ภาษาจีนเป็นสื่อในการสอนทั้งรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติม เช่น วิชาคณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ เพื่อเน้นการพัฒนาทักษะที่เข้มข้น และเตรียมพร้อมสู่การศึกษาต่อและประกอบอาชีพในระดับสูง
การจัดการเรียนการสอนเน้นสมรรถนะการสื่อสาร (CLT) โดยปรับจุดเน้นจากไวยากรณ์มาเน้นทักษะการสื่อสารตามลำดับ ฟัง พูด อ่าน และเขียน
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความท้าทายของการประเมินผลด้วยระบบ AI แม้ว่าการเรียนการสอนจะพัฒนาไปมาก แต่การประเมินผลการเรียนรู้ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ ดังนั้น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้การศึกษาก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการประเมินผลที่ไม่เคยมีมาก่อน”
ระบบอัจฉริยะมอบโอกาสที่สำคัญ 4 มิติ ประกอบด้วย
1. การประเมินผลที่รวดเร็วและแม่นยำ : AI สามารถประมวลผลการตอบสนองจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้เกิด ข้อเสนอแนะได้ในทันที (Instant Feedback) ช่วยให้ผู้เรียนทราบจุดแข็งจุดอ่อนได้ทันเวลา.
2. การประเมินทักษะการพูดและการออกเสียง : AI สามารถวิเคราะห์การออกเสียง (Pronunciation) ระดับเสียง (Intonation) และความคล่องแคล่วในการพูด (Fluency) ได้อย่างละเอียด ซึ่งยากสำหรับครูผู้สอน การประเมินนี้ช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุงสำเนียงให้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา
3. การประเมินที่ปรับเปลี่ยนตามผู้เรียน (Adaptive Assessment) : AI สามารถสร้างข้อสอบที่ปรับระดับความยากง่ายให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน ทำให้การประเมินมีความเป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพสูงสุด
4. การเข้าถึงที่เท่าเทียม : เทคโนโลยี AI เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้ผู้เรียนในพื้นที่ห่างไกลซึ่งขาดแคลนครูผู้สอนคุณภาพสูง สามารถเข้าถึงเครื่องมือประเมินที่ได้มาตรฐานระดับสากลได้
โดย เลขาธิการ กพฐ. เน้นย้ำว่า การใช้ระบบอัจฉริยะในการประเมินผลภาษาจีนนี้ ไม่ใช่การแทนที่มนุษย์ แต่เป็นการเสริมพลังให้กับมนุษย์ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อนาคตของการศึกษาภาษาจีน คือ การสร้าง “ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบผสมผสาน” (Hybrid Learning Ecosystem) ที่นำเทคโนโลยี AI และครูผู้สอนทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน ซึ่งการพัฒนานี้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้นการพลิกโฉมการศึกษาไทยสู่ศตวรรษที่ 21 โดยมีเป้าหมายหลักคือ “การสร้างคุณภาพผู้เรียนสู่สากล”
ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ.ได้มีความมุ่งมั่นในการดำเนินการหลัก 4 ประการ คือ
1. พัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ภาษาจีนให้ทันสมัยและเชื่อมโยงกับโลกดิจิทัล
2. ส่งเสริมการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ใช้ AI ในการประเมินผลและพัฒนาทักษะภาษาจีน
3. สร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี AI
4. พัฒนาครูผู้สอนให้มีความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ
ในโอกาสนี้ เลขาธิการ กพฐ. ได้แสดงความขอบคุณต่อศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษาจีนระหว่างประเทศ (CLEC) ที่ให้การสนับสนุนส่งครูอาสาสมัครสอนภาษาจีนกว่า 20,000 คน ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบัน สพฐ. ได้ขับเคลื่อนให้โรงเรียนมีการพัฒนาหลักสูตรภาษาจีน โดยเปิดห้องเรียนพิเศษภาษาจีน (Chinese Program) ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น และพัฒนาครูคณิตศาสตร์ ครูวิทยาศาสตร์ ให้มีความรู้ทางภาษาจีนและสามารถสอนด้วยภาษาจีนได้ และพร้อมที่จะพัฒนาการศึกษาภาษาจีนให้ก้าวหน้าไปด้วยกัน
ข้อมูล – ภาพ : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานความสัมพันธ์ต่างประเทศ
เรียบเรียง : สุกัญญา จันทรสมโภชน์
ภาพเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/share/p/17MDThWkES/?mibextid=wwXIfr
