สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
l ความจำเป็นในการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว
รมว.ศธ.กล่าวว่า
2) ระบบรับตรง มี 3 ประเภท คือ รับตรงทั่วประเทศ, รับตรงในพื้นที่,รับตรงร่วมกับกลุ่มสถาบัน/ภาคี/เครือข่าย
3) ระบบโควตา มี 4 ประเภท ได้แก่ โควตาผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษ,
ศธ.จึงได้มีคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ 926/2556 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556 เรื่อง แต่งตั้ง
l ข้อเสนอที่น่าสนใจจากการประชุมเสวนาไปแล้ว 2 ครั้ง
ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการ
– ข้อเสนอเกี่ยวกับระบบการคัดเลือก/รับนักศึกษา
สนับสนุนการใช้ระบบองค์กรกลาง (Clearing House) และให้ สกอ.เป็นหน่วยงานประสานดูแลการรับเด็กเข้าศึกษา
เสนอให้ยกเลิกการสอบรับตรง เพราะเป็นการสร้างภาระให้กับเด็กและผู้ปกครอง ส่วนระบบโควตาให้คงไว้ เพราะเป็นการให้โอกาสกับเด็กต่างจังหวัด
เสนอให้หน่วยงานของรัฐมีการกำกับระบบการรับตรง โดยกำหนดช่วงเวลา จำนวนครั้ง และจำนวนรับนักศึกษา
เสนอให้มีการนำคุณลักษณะอื่นๆ ของนักเรียนนำมาพิจารณาคัดเลือกด้วย เช่น จิตอาสา คุณธรรม
ระบบที่รับเด็กเข้าศึกษาอาจจะรวมกลุ่มกันรับเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัย หรือสาขาวิชา เช่น กลุ่มครุศาสตร์ หรือมีข้อสอบมาตรฐานด้วยกัน ทั้งข้อสอบมาตรฐานแรกเข้า (Entrance Exam) และข้อสอบมาตรฐานสำเร็จการศึกษา (Exit Exam) จำนวนข้อสอบน้อยข้อ แต่สามารถวัดได้
การที่มหาวิทยาลัยของรัฐรับเด็กเข้าศึกษาต่อหลายๆ ครั้ง ทั้งระบบรับตรง และ
ระบบกลาง (Admission) ในปริมาณไม่จำกัด มีผลกระทบต่อการรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเอกชน
– ข้อเสนอเกี่ยวกับการสอบ/ข้อสอบ
ควรลดการสอบลง เพราะปัจจุบันนักเรียนต้องผ่านการสอบหลายประเภทมากเกินไป และบางส่วนซ้ำซ้อนกัน เช่น GAT, PAT, การสอบ 7 วิชาสามัญ, การสอบของแต่ละมหาวิทยาลัย
ข้อสอบที่ออกโดย สทศ.ค่อนข้างยากและใช้เวลาน้อย ทำให้นักเรียนต้องกวดวิชาเพิ่มเพื่อให้รู้เทคนิคในการสอบ แต่ไม่สามารถคิดวิเคราะห์หรือหาที่มาของคำตอบได้
– ข้อเสนอเกี่ยวกับการดำเนินการพัฒนาระบบ
ปัจจุบันระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา มี ทปอ.เป็นผู้ดูแล แต่ที่ผ่านมาเมื่อระบบมีปัญหา รัฐมักเข้าไปแทรกแซง ซึ่งขณะนี้ต้องการให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงเหมือนที่ผ่านมาเพื่อแก้ปัญหา
เสนอให้หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง คือ สกอ./สพฐ./สทศ.ร่วมกำหนดทิศทางและนโยบายให้ชัดเจนว่าจะผลิตคนอุดมศึกษาไปในทิศทางใด ต้องการคนแบบใดเข้าสู่ตลาดแรงงาน
ควรลดการสอบลงให้เหลือเพียงบางรายวิชาที่จำเป็น โดยจัดสอบที่ส่วนกลาง และกำหนดให้สามารถนำผลการสอบไปใช้สมัครได้ทุกมหาวิทยาลัย และหากมหาวิทยาลัยใดต้องการสอบเพิ่ม อาจกำหนดให้เปิดสอบเพิ่มได้โดยจำกัดจำนวนวิชา
ควรปรับปรุงคุณภาพของข้อสอบ ให้สามารถวัดความรู้ของนักเรียนได้จริง ไม่ยากหรือเกินหลักสูตรการเรียนการสอน ตรงกับวัตถุประสงค์ของการสอบ
– ข้อเสนออื่นๆ
ควรมีการรับฟังความคิดเห็นจากนักเรียนนักศึกษา ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงก่อนดำเนินการปรับระบบการคัดเลือก
ครู/ผู้ปกครอง ควรปลูกฝังค่านิยมให้เด็กเลือกเรียนตามความสนใจและความถนัดจริงๆ
l สรุปผลการประชุมหารือในครั้งนี้
ที่ประชุมได้เห็นปัญหาร่วมกัน และเห็นพ้องตรงกันว่าควรจะต้องมีการปรับปรุงระบบการคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา โดยจะรับความเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมเสวนาทั้ง 2 ครั้งไปพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ที่ประชุมได้อภิปรายถึงข้อเสนอต่างๆ เช่น
– อาจใช้ทั้งระบบ Admission หรือระบบรับตรง หรือระบบโควตา เหมือนเดิมก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือ ควรใช้ข้อสอบกลาง เพื่อให้มหาวิทยาลัยต่างๆ นำไปใช้สอบได้ ไม่ควรสอบกันเอง
– ความจำเป็นที่อาจจะต้องมีระบบรับตรง เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งมีภารกิจจัดการศึกษาเพื่อสนองตอบต่อคนในพื้นที่ เป็นต้น
– ระยะเวลาในการสอบ ไม่ควรจัดสอบก่อนปิดเทอม เพื่อให้เด็กได้เรียนครบตามหลักสูตร ไม่ทิ้งห้องเรียน
– เห็นพ้องให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งเข้าระบบ Clearing House เพื่อต้องการให้เด็กสมัครที่เดียว เป็นการแก้ไขปัญหาเด็กวิ่งรอกไปสอบหลายแห่ง
– ไม่ควรมีการออกข้อสอบที่ยากเกินหลักสูตร เพราะจะทำให้เด็กต้องไปติว และได้เรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานเพียง 11 ปี เพราะปีที่ 12 จะเป็นเวลาของการสอบตรง ทำให้เด็กไม่สนใจการเรียนในโรงเรียน และการออกข้อสอบควรให้เด็กได้หัดคิดวิเคราะห์มากขึ้น ฯลฯ
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติร่วมกันดังนี้ 1. มอบให้ สกอ.ทำหนังสือถึงมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อขอความร่วมมือว่า หากมหาวิทยาลัยใดยังไม่ได้ดำเนินการรับนิสิตนักศึกษาในปีการศึกษา 2557 ให้ไปจัดสอบหลังจากที่นักเรียนได้เรียนจบการศึกษาแล้ว แต่หากมหาวิทยาลัยใดดำเนินการรับนักศึกษาไปแล้วก็ให้ชี้แจงเหตุผล และความจำเป็นของการคัดเลือกที่ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ 2. 3. ทั้งนี้ รมว.ศธ.ได้ฝากให้ที่ประชุมหารือและคิดกลไกการทำงาน พร้อมทั้งออกแบบกระบวนการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาให้มีความชัดเจนมากขึ้น และเป็นข้อสรุปร่วมกันต่อไป ซึ่งหากจะประกาศใช้เต็มระบบ จะต้องประกาศใช้ล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 ปี เพื่อไม่ให้กระทบกับนักเรียนที่เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว |
บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
15/11/2556
Published17/11/2556