พอใช้ดุลยพินิจแบบนี้ กฎหมายเอื้อแบบนั้นก็จบเกมส์ครับ ผู้เสียหายก็งงว่าอะไรกันทำกับลูกเราถึงขนาดนี้เสียพันเดียว ถ้าอย่างนั้นเอาไปเลยสองพันขอฉันจัดการแบบที่เธอทำกับลูกฉันบ้าง..ก็เป็นเรื่องเป็นราวกันไปใหญ่ ความจริงหากผู้มีอำนาจหน้าที่จะได้พิจารณาถึงการให้ความคุ้มครองเด็กอย่างแท้จริงและต้องการลงโทษหรือปรามผู้กระทำความผิดอย่างแท้จริงก็น่าจะตั้งข้อหาให้เหมาะสมกับบาดแผลที่เด็กได้รับหรือเจตนาที่ผู้กระทำผิดแสดงออกให้เห็นผ่านกล้องวงจรปิด เช่นกรณีนี้น่าจะตั้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ หรือมาตรา 297 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงสิบปี อันตรายสาหัสนั้น คือ (8) ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ยี่สิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน หรือหากจะให้ตรงเป้าตรงจุด ตรงกฎหมายเฉพาะก็ปรับใช้พระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๒๕ หรือ มาตรา 26 ซะเลย ตามที่บัญญัติว่า “ผู้ปกครองต้องไม่กระทำการ (๕) ปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการเลี้ยงดูโดยมิชอบ” และ “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการ ดังต่อไปนี้ (๑) กระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก” ซึ่งกรณีนี้มีโทษถึง จำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งก็ดูจะเหมาะสมมากกว่าถ้าคิดว่าเด็กที่ถูกทำร้ายเป็นลูกของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ด้วยกัน (หากเป็นลูกท่านเองผมเสนอให้ตั้งข้อหาพยายามฆ่า โดยเจตนาประเภทเล็งเห็นผลดูจะเหมาะสมที่สุดครับ) อย่างไรก็ตาม หากผู้เกี่ยวข้องยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการให้ความรับรองคุ้มครองอนาคตของชาติอย่างแท้จริง ปัญหาเหล่านี้ก็คงไม่วายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่า “กรรมจะสนองกรรม” กระมังครับ
ที่มาข้อมูล : http://www.manager.co.th/ |