พ่อแม่ควรรู้ “กฎหมายเอาผิดครูทารุณเด็ก”





พ่อแม่ควรรู้ “กฎหมายเอาผิดครูทารุณเด็ก”




























       ไม่ได้รับใช้ท่านผู้อ่านเสียนานเนื่องจากภาระงานค่อนข้างล้นมือ มาวันนี้ ผมมีอีกหนึ่งประเด็นน่าสนใจที่อยากนำมาฝากคุณพ่อคุณแม่กัน เนื่องจากผมพบกระทู้หนึ่งในห้องชานเรือน เว็บไซต์พันทิปเกี่ยวกับเด็กที่ถูกครูพี่เลี้ยงในเนิร์สเซอร์รี่กระทำรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บ (ในกระทู้มีแปะคลิปด้วยครับ เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนั้น ผมเชื่อว่าพ่อแม่ที่ได้คลิกดูคลิปย่อมสะเทือนใจจนยากจะห้ามน้ำตาได้กันแทบทุกคน)
       
       ผู้เขียนเองก็มีลูกครับ เพราะฉะนั้นเรื่องเข้าใจหัวอกพ่อแม่นี่ไม่เป็นรองใครแน่ ๆ และคงต้องบอกว่า พ่อแม่ในยุคปัจจุบันเองก็น่าเห็นใจส่วนหนึ่ง เพราะหลายคนก็ตกอยู่ในภาวะจำยอม ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว ทำให้ต้องตัดใจนำลูกไปฝากเลี้ยง ดีที่สุดที่พ่อแม่จะทำได้ก็คือ การหาสถานรับเลี้ยงเด็กที่พอจะไว้ใจได้ แต่ถ้ามาเจอเรื่องแบบนี้ คนที่พอจะช่วยได้จะเป็นใครล่ะครับ ถ้าไม่ใช่กระบวนการยุติธรรม
       
       น่าเศร้าคำรบสอง เมื่ออ่านจากกระทู้พบว่า คุณแม่ได้เดินทางไปแจ้งความแล้ว แต่เมื่อสอบถามข้อหาและโทษกับทางตำรวจได้ความว่าปรับ 1000 บาท!
       
       หนึ่งพันบาท กับสภาพที่ลูกโดนทำร้ายจับหัวโขกเสาจนปากแตกทั้งบน – ล่าง หูถูกหยิก ฯลฯ
       
       ผลก็คือมีคุณพ่อคุณแม่หลายคนในกระทู้อดรนทนไม่ไหว จะขอไปจัดการกับครูพี่เลี้ยงจอมโหดรายนี้ และขอจ่าย 1,000 บาทให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบ้าง แฟร์ ๆ กันไปเลย
       
       หลายคนคงสงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมพนักงานตำรวจถึงปรับแค่พันเดียว ทั้ง ๆ ที่ขัดกับความรู้สึกของคนโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ยิ่งหากคนเป็นพ่อแม่เด็กด้วยแล้วคงอยากเห็นการดำเนินคดีลงโทษให้รุนแรงสาสมกับความผิดที่กระทำกับเด็กตัวเล็กๆที่ไม่มีทางสู้และให้สาสมกับการหักหลังความไว้วางใจที่พ่อแม่อุตส่าห์ฝากฝังลูกไว้กับครูพี่เลี้ยงดังที่ตั้งใจ
       
       เรื่องของเรื่องก็คือการตั้งข้อหาของตำรวจเป็น “ดุลยพินิจ” ครับ อันนี้แหละครับปัญหาระดับโลก เพราะการใช้ดุลพินิจที่เป็น “อัตตวิสัย” มันเปลี่ยนไปมาได้ มากน้อยสูงต่ำเอาอารมณ์มาจับต้องได้มากกว่าเรื่องใดๆ นี่ยังไม่นับว่าเลือกปฏิบัติเพราะเหตุว่างานล้นมือหรือเรื่องของเขาเราไม่เกี่ยวนะครับ เพราะตำรวจไทยเรามีแต่ดี ๆ ทั้งนั้น ที่ไม่ดีมีน้อยมากถึงมากที่สุด
       
       วกกลับเข้ามาเรื่องนี้ต่อครับ หากกรณีนี้ตำรวจปรับหนึ่งพันบาทจริง ก็น่าจะเพราะใช้ดุลพินิจมองว่าเป็นความผิดลหุโทษ (คือความผิดซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับเช่นว่ามานี้ด้วยกัน) ตามประมวลกฎหมายอาญา”มาตรา 391 ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิด อันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
       หรือไม่ก็ “มาตรา 398 ที่ว่าผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทารุณ ต่อเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี คนป่วยเจ็บหรือคนชรา ซึ่งต้องพึ่ง ผู้นั้นในการดำรงชีพหรือการอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่ง เดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
       
       คราวนี้ก็เข้าเรื่องสิครับ เพราะเมื่อใช้ดุลพินิจว่าเป็นความผิดลหุโทษแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจก็ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติ การเปรียบเทียบคดีอาญา พุทธศักราช 2481 มาตรา 4 ที่ว่า “ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษ หรือความผิดที่มีอัตราโทษ ไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ หรือคดีที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท ให้พนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจทำการสอบสวนคดีนั้นมีอำนาจ เปรียบเทียบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37(2)หรือ(3) คดีอาญาเลิกกันได้ ดังต่อไปนี้
       (2) ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดที่มี อัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ หรือคดี อื่นที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือความผิดต่อกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรซึ่ง มีโทษปรับอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท เมื่อผู้ต้องหาชำระค่าปรับตามที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบ เทียบแล้ว
       
       (3) ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดที่มี อัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ หรือ คดีที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งเกิดในกรุงเทพมหานคร เมื่อผู้ต้องหา ชำระค่าปรับตามที่นายตำรวจประจำท้องที่ตั้งแต่ตำแหน่งสารวัตรขึ้นไป หรือนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ผู้ทำการในตำแหน่งนั้น ๆ ได้เปรียบเทียบแล้ว














 



       พอใช้ดุลยพินิจแบบนี้ กฎหมายเอื้อแบบนั้นก็จบเกมส์ครับ ผู้เสียหายก็งงว่าอะไรกันทำกับลูกเราถึงขนาดนี้เสียพันเดียว ถ้าอย่างนั้นเอาไปเลยสองพันขอฉันจัดการแบบที่เธอทำกับลูกฉันบ้าง..ก็เป็นเรื่องเป็นราวกันไปใหญ่
       
       ความจริงหากผู้มีอำนาจหน้าที่จะได้พิจารณาถึงการให้ความคุ้มครองเด็กอย่างแท้จริงและต้องการลงโทษหรือปรามผู้กระทำความผิดอย่างแท้จริงก็น่าจะตั้งข้อหาให้เหมาะสมกับบาดแผลที่เด็กได้รับหรือเจตนาที่ผู้กระทำผิดแสดงออกให้เห็นผ่านกล้องวงจรปิด เช่นกรณีนี้น่าจะตั้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ หรือมาตรา 297 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงสิบปี
       อันตรายสาหัสนั้น คือ (8) ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ยี่สิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน
       
       หรือหากจะให้ตรงเป้าตรงจุด ตรงกฎหมายเฉพาะก็ปรับใช้พระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๒๕ หรือ มาตรา 26 ซะเลย ตามที่บัญญัติว่า “ผู้ปกครองต้องไม่กระทำการ (๕) ปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการเลี้ยงดูโดยมิชอบ”
       และ “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการ ดังต่อไปนี้ (๑) กระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก”
       ซึ่งกรณีนี้มีโทษถึง จำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งก็ดูจะเหมาะสมมากกว่าถ้าคิดว่าเด็กที่ถูกทำร้ายเป็นลูกของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ด้วยกัน (หากเป็นลูกท่านเองผมเสนอให้ตั้งข้อหาพยายามฆ่า โดยเจตนาประเภทเล็งเห็นผลดูจะเหมาะสมที่สุดครับ)

       
       อย่างไรก็ตาม หากผู้เกี่ยวข้องยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการให้ความรับรองคุ้มครองอนาคตของชาติอย่างแท้จริง ปัญหาเหล่านี้ก็คงไม่วายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่า “กรรมจะสนองกรรม” กระมังครับ


ที่มาข้อมูล : http://www.manager.co.th/