วิถีชีวิตแบบครอบครัวเดี่ยวในสังคมปัจจุบัน เมื่อพ่อแม่ต้องออกจากบ้านไปทำงานทั้งคู่ ภาพปู่ย่าตายายที่มาคอยช่วยเลี้ยงหลานจึงค่อยๆ เลือนหายไป อาชีพพี่เลี้ยงเด็กจึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งในสมัยก่อนพี่เลี้ยงเด็กจะมาจากต่างจังหวัด คนรู้จักแนะนำต่อกันมา แต่สมัยนี้พบว่าพี่เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากกลับเป็นบรรดาพี่เลี้ยงต่างด้าว ซึ่งเราจะมีวิธีเลือกอย่างไร เพื่อให้เรามั่นใจว่า จะได้พี่เลี้ยงดีๆ สักคนมาดูแลลูกของเรา ไปอ่านบทความนี้กันเลยค่ะ
พี่เลี้ยงต่างด้าว มาจากไหน
พี่เลี้ยงต่างด้าวในประเทศไทย มาจากแรงงานราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง สัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่งจะมีตั้งแต่อายุน้อยๆ ไปจนถึงวัยกลางคน เมื่อมาเป็นพี่เลี้ยงหรือแม่บ้านก็จะพักอาศัยกินอยู่ที่บ้านของนายจ้าง ซึ่งการหาแรงงานเหล่านี้ ปัจจุบันพบได้ 2 ช่องทาง คือ
- มีนายหน้าจัดหามาให้แล้วจัดเก็บค่าหัวคิว โดยนายจ้างจะหักเงินส่วนนี้คืนจากค่าแรงในแต่ละเดือน
- จากคนรู้จักแนะนำต่อกันมา เช่น คนรู้จักจ้างแรงงานต่างด้าว จึงแนะนำญาติ หรือคนหมู่บ้านเดียวกันกับลูกจ้างของเขามาให้ ไม่ต้องเสียค่าหัวคิว
- แรงงานต่างด้าวค่าจ้างถูกกว่า ถ้าเทียบกับพี่เลี้ยงชาวไทยไม่ว่าจะมาจากศูนย์ หรือพี่เลี้ยงที่ติดต่อจากคนรู้จัก คนไทยจะคิดเดือนละ 7,000 บาทขึ้นไป ส่วนพี่เลี้ยงต่างด้าวนั้น มีตั้งแต่ 2,000-4,000 บาท
- แรงงานต่างด้าวปกครองง่ายกว่า พี่เลี้ยงคนไทยจะมีปัญหาจุกจิก เช่น ลูกป่วย ญาติมีปัญหา ลากลับบ้าน หยุดตามเทศกาล ขอค่าชดเชยวันหยุด ซึ่งเมื่อเทียบกับพี่เลี้ยงต่างด้าวที่ไม่มีวันหยุด เพราะการกลับบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีใครแวดล้อม จะทำอย่างไรลูกจ้างก็ยอมเพราะอยู่ตัวคนเดียว เมื่อถือว่าพี่เลี้ยงต่างด้าวสามารถทำงานได้มากกว่าและมีปากเสียงน้อยกว่า จึงเป็นที่พึงพอใจของนายจ้าง
- จากทัศนคติของชาวไทยที่รู้สึกว่า อาชีพแม่บ้านหรือพี่เลี้ยงเด็กต่ำต้อย และบางครั้งต้องรองรับอารมณ์ของนายจ้าง และรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว ไม่ค่อยมีสังคม ต่างจากการทำโรงงานที่ค่อนข้างมีอิสระกว่า มีสังคม มีเพื่อน แม้จะมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่ากิน ค่าที่พัก แต่ก็เป็นที่นิยมกว่า พี่เลี้ยงไทยจึงค่อยๆ ลดจำนวนลง
การจัดระเบียบของรัฐ
มีการออกประกาศให้มีการพาพี่เลี้ยงหรือแรงงานต่างด้าวไปขึ้นทะเบียน เพื่อสำรวจจำนวน ดูแลควบคุมเรื่องโรค ประกันสุขภาพ และควบคุมจำนวนแรงงานที่เข้ามาในไทย แต่เนื่องจากการขึ้นทะเบียนมีหลายขั้นตอน ต้องยื่นคำร้องขออนุญาต เตรียมเอกสาร มีการตรวจสุขภาพ และเสียค่าธรรมเนียม 3,800 บาท แบ่งเป็น ค่าตรวจสุขภาพ 600 บาท ค่าประกันสุขภาพ 1,300 บาท ค่าธรรมเนียมการยื่นขอใบอนุญาต ฉบับละ 100 บาท ค่าใบอนุญาตทำงานปีละ 1,800 บาท หากเทียบกับค่าตอบแทนที่แรงงานต่างด้าวได้รับ ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากพอสมควร หากนายจ้างจะออกให้ ก็ไม่คุ้มค่า ดังนั้นส่วนมากจึงเลือกวิธีการไม่ไปขึ้นทะเบียน หลบหนีตำรวจโดยให้พี่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน
ปัญหาระดับชาติที่ไม่อาจมองข้าม
คนไทยมีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจ และมักจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับผู้ด้อยโอกาสกว่าเสมอ แต่การไหลทะลักเข้ามาของแรงงานต่างด้าวในไทยก็เป็นเรื่องที่เราไม่อาจมองข้ามไปได้ เพราะปัจจุบันนี้เพียงในกรุงเทพฯ จังหวัดเดียว มีจำนวนแรงงานต่างด้าวที่มายื่นคำร้องขอจดทะเบียนทั้งสิ้นถึง 208,816 คนเลยทีเดียว
เป็นชาวพม่า 128,553 คน ชาวลาว 53,920 คน กัมพูชา 26,343 คน ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏนี้เป็นเพียงตัวเลขการจดทะเบียนที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ยังมีแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกไม่น้อยกว่า 1 ล้านคนเลยทีเดียว
ปัญหาเริ่มตั้งแต่การลักลอบเข้ามาในประเทศไทย ตามที่เคยมีข่าวปรากฏว่ามีแรงานต่างด้าวเบียดเสียดยัดเยียดกันบนรถจนขาดอากาศหายใจตายกันไปเหมือนผักปลา ปัญหาชาวกระเหรี่ยงที่ไม่ได้รับรองสัญชาติพม่าจึงไม่สามารถจดทะเบียนได้ รวมไปถึงการเข้ามาจำนวนมากจนกระทั่งสามารถรวมตัวกันกลายเป็นชุมชนแออัดขนาดใหญ่ในหลายจุดของประเทศไทย มีปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด เด็กต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยไม่ได้รับการศึกษา บางหน่วยก็ต้องแบกรับภาระดึงงบประมาณของประชาชนที่มีอย่างจำกัดเพื่อไปดูแลควบคุมชุมชนเหล่านี้เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย
จะพบปัญหาจากพี่เลี้ยงต่างด้าวที่มีผลต่อลูกหลายประการ คือ
- พฤติกรรมของลูกวัยเลียนแบบ เด็กวัยเตาะแตะจะซึมซับพฤติกรรมมาจากผู้เลี้ยงดู ซึ่งในกรณีนี้คงจะเป็นพี่เลี้ยงชาวต่างด้าวนั่นเอง เห็นได้จากพฤติกรรมเลียนแบบการตะโกนใส่หน้าเพื่อนที่เห็นได้จากตัวอย่างข้างต้น และยังมีในเรื่องของความมีระเบียบวินัย ระบบความคิด และลักษณะนิสัยใจคอที่อาจยังไม่แสดงผลในช่วงวัยเด็ก แต่จะถูกบันทึกไว้ในระบบความคิดของลูกไว้ก่อน แล้วสร้างปัญหาในระยะยาวได้
- การจดจำรูปแบบภาษาที่ไม่ถูกต้อง เด็กเริ่มเรียนรู้การใช้ภาษาจากการฟัง และจดจำรูปแบบนั้นไว้ในสมองเรื่อยมา ข้อมูลเหล่านั้นจะค่อยๆ ฝังรากลึกในระบบความจำทีละเล็กน้อย เมื่ออวัยวะในการออกเสียงเริ่มพร้อม ลูกก็จะทดลองออกเสียงแล้วพัฒนาการพูดจนได้เสียงตรงตามที่บันทึกไว้ ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อลูกเริ่มต้นเรียนรู้ภาษาด้วยการอยู่กับผู้ที่ใช้ภาษาไม่ถูกต้อง ในช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิต สมองของลูกก็จะบันทึกรูปแบบเหล่านั้นเข้าไปในระบบความจำ ซึ่งในเด็กปกติทั่วไป ช่วงแรกๆ ของการหัดใช้ภาษาหรือก่อนวัยเรียน ลูกอาจพูดไม่ชัดได้ แต่ถ้าสมองได้บันทึกการใช้ภาษาที่ถูกต้องเอาไว้แล้ว ไม่นานนักเมื่ออวัยวะในการออกเสียงพร้อม ลูกก็จะสามารถพูดชัดได้เอง
แต่สำหรับเด็กที่สมองถูกบันทึกภาษาที่ผิดรูปแบบมาตั้งแต่แรก การจะแก้ไขปัญหานี้ก็เปรียบเทียบได้กับการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศในคนไทย ที่หากให้เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก จะทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่ การแก้ไขปัญหารูปแบบภาษาผิดๆ ที่ฝังลึกในสมองเด็กก็เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องใหญ่และยุ่งยากมากกว่าการป้องกันหลายเท่าตัวนัก เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม
- พฤติกรรมที่ไม่น่าไว้ใจของพี่เลี้ยง ที่พบได้ทั้งเรื่องการโกหก ลักขโมย และที่ดูน่ากลัวที่สุดเห็นจะเป็นกรณีที่พาน้องออกไปหาเพื่อนนอกบ้าน ลองคิดดูเล่นๆ ว่า หากวันนั้นเขาไม่พาน้องกลับมา จะเกิดอะไรขึ้น เรื่องคดีลักเด็ก ขโมยเด็กไปตัดอวัยวะ จับไปนั่งขอทาน หรือไปขายต่างประเทศกันอยู่ตลอดมา
- ปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง อาจจะเป็นเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพี่เลี้ยงที่ทำให้ถูกไล่ออก หรือความไม่พอใจจากการทำงานที่ลูกจ้างมีต่อนายจ้าง เราจะพบว่าทางออกของปัญหานี้ที่หลายๆ คนเลือกคือวิธีการให้ออก แล้วหาคนใหม่ แต่ก็มักจะเป็นข่าวว่ามีคดีแรงงานต่างด้าวที่ถูกไล่ออกย้อนกลับมาปล้นนายจ้างเพื่อแก้แค้นและฆ่าชิงทรัพย์ปรากฏให้เห็นเป็นระยะ
ทำอย่างไรถ้าต้องจ้างพี่เลี้ยงต่างด้าว
- ตรวจสอบประวัติ ความเป็นมาว่าไม่มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรม ไม่มีประวัติการกระทำผิดต่อเด็กหรือละเมิดสิทธิเด็ก ไม่เป็นผู้วิกลจริตไม่สมประกอบ ไม่ติดสารเสพติดทุกชนิด โดยอาจติดต่อสอบถามจากเจ้านายเก่าว่าความประพฤติที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง สาเหตุของการออกจากบ้านเดิม
- เลือกพี่เลี้ยงที่มีสุขภาพแข็งแรง ทางที่ดีควรพาไปตรวจสุขภาพเพื่อให้มั่นใจว่าไม่เป็นโรคร้ายแรงหรือโรคติดต่อ หากมีโรคแม้เล็กๆ น้อยๆ เช่น เป็นเหา ก็ควรพาไปรักษาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดมาถึงลูกได้
- สังเกตบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยของพี่เลี้ยง ทั้งจากการพูดคุยสัมภาษณ์ และการแสดงออกกับลูกว่าเป็นอย่างไรบ้าง พี่เลี้ยงควรมีพื้นฐานอารมณ์ที่ดี ใจเย็น รักเด็ก มีความอดทน และมีความเข้าใจเรื่องเด็กอยู่บ้าง เมื่อรับเข้ามาทำงานแล้ว หมั่นสังเกตลูกว่ามีปฏิกิริยาอย่างไรกับพี่เลี้ยง
- ฝึกสอนเรื่องการรักษาความสะอาด และระเบียบวินัยภายในบ้านให้กับพี่เลี้ยง เพื่อจะได้คอยดูแลสภาพแวดล้อมรอบตัวให้เหมาะกับการเจริญเติบโตของลูกอย่างปลอดภัย
- แจ้งรายละเอียดงานให้ชัดเจน ตกลงเรื่องเงินเดือนและหน้าที่รับผิดชอบให้พี่เลี้ยงเข้าใจตั้งแต่เริ่มต้น จัดวันหยุดพักผ่อนและสวัสดิการให้ตามสมควร หากเพิ่มงานให้ควรถามความยินยอมของเขาก่อน และให้เงินเพิ่มตามงานด้วย เพื่อป้องกันความคับข้องใจที่อาจสร้างปัญหาใหญ่ในภายหน้าได้
- จัดบรรยากาศแวดล้อมให้ปลอดภัย ไม่เอื้อต่อการกระทำความผิด ทั้งการเก็บทรัพย์สินมีค่าไว้ให้มิดชิด เพื่อนบ้านและคนในบ้านคอยเป็นหูเป็นตา (แต่ไม่ต้องถึงกับจับผิดจนพี่เลี้ยงรู้สึกอึดอัด)
- ควรพาพี่เลี้ยงที่ยังไม่มีใบอนุญาตไปขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง เพราะจะได้มีหลักประกันสุขภาพ ไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ หนีการจับกุมของตำรวจหากเขาไม่ได้ทำผิดอะไร และรัฐจะได้มีฐานข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนแรงงานต่างด้าวในประเทศ เพื่อวางแผนการพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Mother&Care