เดิมทีข้าพเจ้าได้มีโอกาสเรียนวิธีการโต้วาทีจากวิชาภาษาไทย เพื่อเรียนรู้ว่าการโต้วาทีนั้นทำอย่างไร แต่ไม่ได้มีโอกาสพบการนำการโต้วาทีไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาอื่น ภายหลังจากการได้ฟัง คุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต (Senior Consultant/Adivsor of Petroleum Institute of Thailand) ให้แนวคิดด้านการเรียนการสอนด้วยวิธีการ ซึ่งท่านเรียกว่าการถกกระทู้ และข้าพเจ้าได้มีโอกาสสัมผัสการนำมาใช้จริงในการปฏิบัติงานทั้งกิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียน และกิจกรรมค่ายฯ วิทยาศาสตร์
รูปแบบการเรียนการสอนที่เราท่านได้เรียนกันมาจากวิชาการศึกษา ตลอดจนการศึกษาค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมรูปแบบการสอนใหม่ๆ ที่ได้มีการพัฒนาขึ้นก็ดี ล้วนเป็นความพยายามที่จะพัฒนาการเรียนการสอนให้ดีขึ้นโดยมุ่งหวังให้นักเรียนได้เกิดการเรียนรู้มากที่สุด ซึ่งบางครั้งเราอาจจะหลงลืมวิธีการสอน แบบเดิมที่มีการใช้กันมาตั้งแต่ในอดีต การโต้วาทีเป็นกลวิธีหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการเรียนการสอนทั้งอย่างจงใจ และไม่จงใจ เป็นวิธีที่ทำให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนความคิดและผ่านขั้นตอนการใช้กระบวนการคิดหลายอย่าง อาจเรียกได้ว่าใช้ความรู้รอบด้านเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่การตั้งหัวข้อหรือประเด็นหรือญัตติที่ครูหรือผู้เรียนจะร่วมกันตั้งขึ้นให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการเรียนรู้ซึ่งต้องใช้การคิดวิจารณญาณในการหาคำตอบไม่สามารถหาคำตอบได้ง่ายๆ หรือฟันธงไม่ได้นั่นเอง
ขั้นต่อไป นักเรียนจะซักซ้อมกับเพื่อนในกลุ่มเพื่อเตรียมตัวด้านการพูดนำเสนอให้ดีที่สุด ทำให้ได้ฝึกทักษะการพูดให้ผู้อื่นเข้าใจ การออกเสียง สำเนียงการพูดให้ผู้อื่นสนใจ และคล้อยตามให้ได้มากที่สุด รวมถึงการพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองและฝึกฝนการพูดต่อชุมชน และก่อนที่นักเรียนแต่ละคนจะอภิปรายได้นั้น นักเรียนจะต้องทำความเข้าใจเรื่องที่ได้รับมอบหมายให้แจ่มแจ้งเพื่อที่ตนจะได้พูดได้อย่างดีที่สุด ไม่ใช่ท่องจำมาพูด ซึ่งนั่นหมายถึงนักเรียนได้มีการเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาที่ศึกษาค้นคว้าอย่างดีแล้ว จากนั้นในฝ่ายของตนก็ต้องคาดเดาว่าฝ่ายตรงข้ามจะค้านเรื่องใด เพื่อจะได้เตรียมเหตุผลหักล้างไว้ ตรงจุดนี้เป็นการฝึกฝนการคิดรอบด้านหรือมองต่างมุม ไปในตัวนั่นเอง ซึ่งการคิดที่หลากหลายจากเรื่องหรือประเด็นเดียวกันเป็นสิ่งที่นักเรียนพบอยู่เสมอในชีวิตประจำวัน และถ้านักเรียนมีความเข้าใจธรรมชาติมนุษย์เรื่องนี้แล้ว จะเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้นักเรียนปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
การสอนด้วยวิธีนี้ ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการยอมรับในความสามารถของเพื่อนๆ และนักเรียนได้มีโอกาสแสดงความสามารถของตน ผู้เรียนบางคนตามปกติอาจจัดอยู่ในกลุ่มอ่อนแต่อาจจะเป็นคนที่มีความสามารถด้านการพูด การพูดโน้มน้าวใจ หรือเป็นผู้มีบุคลิกภาพที่ดี พูดได้น่าสนใจก็เป็นได้ ซึ่งจะเป็นประสบการณ์ที่ดีมากของนักเรียนถ้านักเรียนจะได้พบความสามารถพิเศษของตนเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง โดยปกตินักเรียนจะพยายามเตรียมข้อมูล เตรียมความรู้ และพัฒนาการพูดของตนเองอย่างเต็มที่ที่สุดโดยครูไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ เพราะตัวนักเรียนเองก็ต้องการให้ตนเองทำให้ดีที่สุดเพื่อกลุ่ม และดูดีที่สุดต่อหน้าประชุมชนอยู่เป็นทุนแล้ว นอกจากนี้คุณครูจะเห็นวานักเรียนจะตั้งใจฟังเพื่อนอีกฝ่ายพูดโดยไม่เบื่อ ไม่เหมือนกับการให้นักเรียนออกมารายงานหน้าชั้นตามปกติ ทั้งนี้เพราะต้องใจจดจ่อว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลอย่างไร เพื่อจับประเด็นและหาเหตุผลหักล้างฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด จึงทำให้ครูไม่ต้องเตือนบ่อยๆ ว่าให้ฟังเพื่อนพูด นอกจากนี้การหาเหตุผลหักล้างจะต้องทำเฉพาะหน้า ณ เวทีอภิปราย ดังนั้นนักเรียนจะต้องใช้ทักษะการคิดแก้ปัญหาอย่างเฉพาะหน้ามาก
สำหรับนักเรียนที่เป็นผู้ฟังก็ต้องตั้งใจฟังเช่นกัน เพราะต้องประเมินผู้อภิปรายแต่ละคนและนักเรียนก็อยากจะรู้ว่าความคิดของตนเองนั้นสอดคล้องหรือขัดแย้งกับฝ่ายใด มีเหตุผลอย่างไร เหตุผลเหมือนหรือต่างกับที่ตนคิดอย่างไร และฝ่ายใดจะชนะ จะพบว่าการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้นักเรียนจะให้ความสนใจอยู่กับกิจกรรม ได้ความรู้ ฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม ฝึกทักษะการคิดและแฝงไปด้วยความสนุกสนาน ครูทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ แนะนำแหล่งค้นคว้าหาความรู้ เติมเต็มความรู้ส่วนที่ขาดตกบกพร่องและให้กำลังใจ
การนำกิจกรรมนี้ ไปประยุกต์ใช้สามารถนำไปใช้เสริมกับการเรียนการสอนได้หลากหลายวิธชา ในหัวข้อที่เหมาะสม ซึ่งคุณครูอาจพิจารณาใช้เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศการเรียนการสอนจากรูปแบบเดิมไปบ้าง เพราะถ้าต้องเรียนด้วยรูปแบบการเรียนแบบเดียว ตลอดทั้งภาคเรียน อาจทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายได้ หรืออาจนำไปใช้ในค่ายวิชาการ ค่ายวิทยาศาสตร์ ค่ายพักแรมใดๆ ที่ต้องการให้นักเรียนได้ฝึกคารมความคิด (คำว่า คารมความคิดเป็นชื่อกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยการ จากการร่วมกันตั้งชื่อเป็นภาษาไทยของกิจกรรมนี้โดยนักเรียนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์)
ตัวอย่าง ญัตติที่นักเรียนร่วมกันเสนอในค่ายอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเปิดกว้างตามความสนใจของนักเรียน ณ ขณะนั้น (นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2) ได้แก่ สืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตนั้นดีแน่ แต่ให้แท้ห้องสมุดนั้นดีกว่า วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีกับวิถีภูมิปัญญาไทยใครแน่กว่า เรียนพิเศษหรืออ่านทบทวนเองดีกว่า พรสวรรค์สำคัญกว่าพรแสวง กินอยู่วิถีไทยดีกว่าใช้สไตล์นอก วิทยาศาสตร์สนุกกว่าคณิตศาสตร์ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้จริงหรือ เหล่านี้เป็นต้น
โดย : อุษา จีนเจนกิจ
ที่มาข้อมูล : วารสารวิชาการ ปีที่ 10 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน 2550