หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ “กีฬาสแต็ค (Sport Stacking )” กันมาบ้างแล้ว ที่ตอนนี้กำลังกลายเป็นกีฬายอดนิยมของคนทุกเพศทุกวัย ขึ้นชื่อว่ากีฬาคงมีประโยชน์ด้านการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอยู่แล้ว แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น กีฬาสแต็คสามารถใช้เป็นเครื่องมือบำรุงสมองของทุกคนในบ้าน วันนี้ทีมงาน Life & Family จึงขออาสาพามารู้จักกับกีฬาสแต็คกันค่ะ
“สแต็ค” เป็นกีฬาเรียงแก้วจำนวน 12 ใบ ให้ถูกต้องตามรูปแบบที่กำหนดไว้ กีฬาประเภทนี้เข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี แต่เพิ่งได้รับความนิยมเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา “ณรงค์ ตันละมัยงาม” อุปนายกสมาคมกีฬาสแต็ค กล่าวว่า ในประเทศแถบยุโรปและเอเซียบางประเทศได้นำกีฬาสแต็คบรรจุไว้เป็นวิชาพื้นฐานในหมวดพลศึกษาของโรงเรียนต่างๆ กว่า 30,000 โรงเรียน เพราะเห็นความสำคัญและประโยชน์ของกีฬาประเภทนี้ที่มีประวัติในการเล่นมายาวนานกว่า 30 ปี
“ตอนนั้นผมมีโอกาสเดินทางไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งใช้กีฬาสแต็คเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน หลังจากนั้นผมได้เสนอเรื่องต่อกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้มีการใช้กีฬาสแต็คเป็นสื่อในการเรียนในบ้านเราบ้าง ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากเด็กๆ และมีโรงเรียนจำนวนไม่น้อยนำกีฬาสแต็คไปใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์เบื้องต้น ในกลุ่มสาระเศษส่วน เนื่องจากการเล่นกีฬาสแต็คเป็นการเรียงแก้ว โดยจะมีโจทย์ให้แบ่งแก้วออกเป็นกองละ 3 ใบ จะได้แก้วทั้งหมดกี่กอง ซึ่งใช้เป็นสื่อประกอบในการคิดคำนวณได้”
สำหรับประสิทธิภาพการคิดคำนวณในเชิงคณิตศาสตร์ โดยการใช้กีฬาสแต็คเป็นตัวช่วย อุปนายกสมาคมกีฬาสแต็คเล่าให้ฟังว่า เคยมีอาจารย์คณิตศาสตร์ทำการทดลองก็พบว่า วิธีการเล่นสแต็คสามารถใช้ตอบโจทย์ของวิชาคณิตศาสตร์ความน่าจะเป็น คณิตศาสตร์คอมพิวเตอร์ และสามารถนำไปประยุต์ใช้กับการเรียนการสอนในกลุ่มสาระอื่นๆ ที่มีโครงสร้างการคิดคำนวณใกล้เคียงกันได้ เพราะตามหลักการของการเล่นกีฬาสแต็คจะเล่นไปตามระบบ เช่นเดียวกับการคิดคำนวณที่ต้องมีกระบวนการคิดที่เป็นขั้นตอน เพื่อให้ได้คำตอบที่แน่นอนออกมา
ส่วนการเล่นกีฬาสแต็คสามารถเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ไปจนถึงวัยผู้สูงอายุ พูดได้ว่าสามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย โดยเล่นเพื่อพัฒนาทักษะและความสนุกสนานผ่อนคลายได้ ซึ่งการเล่นกีฬาประเภทนี้จะแบ่งวิธีการเล่นออกเป็น 3 ระดับ คือ 1.เด็กตั้งแต่ 3-5 ขวบ สามารถเล่นด้วยวิธีการง่ายๆ โดยการเรียงแก้วเป็นกองๆ ตามลำดับที่ถูกต้อง เพื่อฝึกทักษะการหยิบจับสิ่งของ ประสาทสัมผัสทั้งมือและสายตา ทำให้สมองสามารถจัดเรียงลำดับข้อมูลในสมองได้ ส่วนเด็กที่อายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไปจนถึงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงอายุของการพัฒนาสมองและการเรียนรู้ก็จะเล่นในรูปแบบที่ยากขึ้น มีการจับเวลาเพื่อแข่งขันกับตัวเอง ทั้งนี้ กีฬาสแต็คจะช่วยพัฒนาสมองทั้งสองซีก เพราะการเล่นจะมีการใช้ร่างกายทั้งสองด้านทั้งซ้ายและขวา ซึ่งแตกต่างจากกีฬาบางประเภทที่มักจะใช้ร่างกายด้านที่ถนัดในการเล่น เช่น แบตมินตัน ปิงปอง เทนนิส แต่กีฬาสแต็คจะมีความคล้ายคลึงกับการเล่น “บาสเก็ตบอล” ที่มีการใช้ทุกส่วนของร่างกายและยังมีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ร่างกายเกิดการพัฒนาได้เท่าๆ กันอีกด้วย อีกทั้งการใช้มือทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน ในทางการวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่าสมองทั้งสองซีกมีการทำงานร่วมกัน เกิดกระบวนการกระตุ้นสมอง ถ้ามีการเริ่มตั้งแต่เด็กๆ จะช่วยเพิ่มรอยหยักในสมองให้มากขึ้น “เด็กที่เล่นกีฬาสแต็คจะมีทักษะในเรื่องการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไว ทักษะการควบคุมการมองเห็น เพราะต้องจดจ่อกับการเรียงแก้วส่งผลให้มีสมาธิมากขึ้น หากมีการเรียงแก้วได้ถูกต้องและเร็วก็จะเป็นการเพิ่มทักษะเรื่องความแม่นยำ ซึ่งในต่างประเทศมีการวิจัยโดยการนำเด็กสมาธิสั้นมาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเรียนตามปกติ ส่วนกลุ่มที่ 2 ใช้กีฬาสแต็คเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอนปรากฎว่า เด็กกลุ่มที่ 2 มีสมาธิในการเรียนและการอ่านหนังสือมากกว่าเด็กกลุ่มแรก” ณรงค์ กล่าว | ||||
อย่างไรก็ตาม ณรงค์ฝากแนะนำกีฬาสแต็คให้เป็นทางเลือกกับทุกครอบครัวว่า คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้มีการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว เพื่อให้เด็กๆ รู้จักการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ อาจจะเป็นการทำอาหาร อ่านหนังสือหรือการเล่นกีฬา และ “กีฬาสแต็ค” ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นประโยชน์และสามารถใช้เป็นกิจกรรมของครอบครัวได้ ทดแทนการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ถึงแม้บางเกมจะมีประโยชน์ก็ตาม แต่การใช้เวลาเล่นเกมคอมพิวเตอร์นานๆ ก็อาจส่งผลเสียต่อสายตา ควรหันมาทำกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะให้ทุกคนในบ้านกันดีกว่า ***สำหรับบ้านไหนที่สนใจเล่นกีฬาสแต็คสามารถเข้าไปดูวิธีการเล่นได้ที่ http://www.WSSATHAILAND.org และ www.ThaiStack.com |