การเรียนอย่างมีประสิทธิภาพด้วยอิทธิบาท 4


 

       “สิกฺขา วิรุฬหิ สมฺปตฺตา” พุทธภาษิตบทนี้แปลความได้ว่า การศึกษาเล่าเรียนเป็นความ เจริญงอกงาม หรือ การศึกษาเล่าเรียนช่วยเสริมสร้างความเจริญในทุกด้านของมนุษย์










       ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ผู้ปกครองจึงพยายามส่งเสริมให้บุตรหลานมีโอกาสเรียนรู้ เพื่อให้บุตรหลานมีความเจริญงอกงามในทุกด้าน ส่วนบุตรหลานก็พยายามตอบสนองเจตนาที่ดีของพ่อแม่ผู้ปกครองด้วยการ เรียนให้ดีที่สุด 

       การเรียนให้ดีที่สุดหรือให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดนั้นเป็นเรื่องที่มีการอภิปรายกันอย่าง กว้างขวาง บางคนเห็นว่าการที่จะเรียนได้ดีนั้น ผู้เรียนต้องมีสติปัญญาดี แต่บางคนก็แย้งว่า การเรียนได้ดีหรือเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องมีวิธีการและกลวิธีในการเรียนเป็นสำคัญ สติปัญญานั้นสำคัญก็จริงแต่เป็นเรื่องรองลงมา ต่อให้มีสติปัญญาดีเลิศอย่างไร แต่ถ้าขาดวิธีการเรียนที่ถูกต้อง ประสิทธิภาพก็ย่อมเกิดไม่ได้

       จะอย่างไรก็ตาม ได้มีการศึกษาวิจัยมากมายเพื่อเปรียบเทียบกันเกี่ยวกับวิธีการเรียนของ นักเรียนที่เรียนเก่งกับนักเรียนที่เรียนอ่อน พบว่าวิธีการเรียน เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากมีวิธีการเรียนแล้ว ยังมีเรื่องต่างๆ ที่ส่งเสริมการเรียนให้มี ประสิทธิภาพ เช่น สุขภาพดีทั้งกายและใจ การวางแผนการเรียนอย่างเหมาะสม ที่พักอาศัย อาหารการกิน เป็นต้น

       ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้รู้มากมายพยายามเสนอแนะด้วยความหวังดีเพื่อให้นักเรียนเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น

การใช้หลัก สุ. จิ. ปุ. ลิ. คือ





























สุ.
มาจากคำว่า สุต แปลว่า ฟัง (รวมทั้งอ่านด้วย)

จิ.
มาจากคำว่า จินตนะ แปลว่า คิด

ปุ.
มาจากคำว่า ปุจฉา แปลว่า ถ่ม

ลิ.
มาจากคำว่า ลิขิต แปลว่า เขีียน


          หลักการนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเรียนนักศึกษา ในการเรียนให้เกิดประสิทธิภาพนั้น ต้องอาศัยการฟัง (อ่าน) ฟังแล้วนำมาคิด ถ้าหากไม่เข้าใจก็ต้องถามหรือค้นคว้าหาคำตอบที่ถูกต้อง และท้ายสุดต้องบันทึกไว้เพื่อให้จดจำได้

 










การใช้หลักอิทธิบาท 4 ได้แก่


1. ฉันทะ คือความพอใจ ใฝ่ใจที่จะเรียน


2. วิริยะ คือความเพียรในการเรียน อดทนไม่ท้อถอยในการเรียน


3. จิตตะ คือความคิด ตั้งใจรับรู้ในสิ่งที่เรียน


4. วิมังสา คือความไตร่ตรอง ทดลองตรวจตราใคร่ครวญหาเหตุผล


สรุปได้ว่าการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีความพอใจ มีความเพียร หมั่นคิดและค้นคว้าในสิ่งที่เรียน

          หลักการข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่ผู้รู้เสนอแนะเพื่อให้นักเรียนเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน นักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศจำนวนมากให้ความสนใจในเรื่องวิธีการเรียนให้มีประสิทธิภาพ จึงได้รวบรวมวิธีการและกลวิธีในการเรียนและเขียนเผยแพร่กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งหากประมวลแล้ว อาจสรุปได้ว่า การเรียนอย่างมีประสิทธิภาพนั้น นักเรียนควรปฏิบัติตนดังนี้


1. มีความเจตคติดีต่อครู ต่อการเรียน และต่อวิชาที่เรียน (รู้สึกดีมีชัยไปกว่าครึ่ง)


2. มีเทคนิคหรือกลวิธีในการเรียน ซึ่งได้แก่



  • รู้จักวิธีการจัดตารางในการใช้เวลา (จัดเวลาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง)

  • หาบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเรียน

  • พัฒนาทักษะในการอ่าน (อ่านเร็วดีมีชัยไปกว่าครึ่ง)

  • พัฒนาทักษะในการฟังและบันทึก (ฟังดีบันทึกดีมีชัยไปกว่าครึ่ง)

  • พัฒนาทักษะในการสื่อสาร เช่น การเขียน การพูด เป็นต้น

  • พัฒนาทักษะในการจำ

  • มีการเตรียมตัวสอบที่ดี (เตรียมตัวสอบดีมีชัยไปกว่าครึ่ง)

 


ที่มาข้อมูล : http://www.hot-ed.co.th


ที่มาเว็บ : http://www.myfirstbrain.com