ถอดเทปสนทนารายการรอบรั้วเสมา ช่วงผู้บริหารสนทนา ประเด็น
การเตรียมความพร้อมการจัดประชุมโต๊ะกลมไทย-สหรัฐ ครั้งที่ ๗
ประเด็นเรื่อง
การเตรียมความพร้อมการจัดประชุมโต๊ะกลมไทย-สหรัฐ ครั้งที่ ๗
วัน เวลาออกอากาศ วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ เวลา ๐๘.๓๐ – ๐๘.๔๕ น.
วิทยากร นายสมศักดิ์ ดลประสิทธิ์
ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา
ประเด็นสนทนา
ผู้ดำเนินรายการ : อยากให้ท่านผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษาขยายความเกี่ยวกับการจัดประชุมโต๊ะกลมไทย-สหรัฐ
ด้านการศึกษาเป็นอย่างไร
ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา :
ก่อนอื่นต้องกล่าวถึงความเป็นมาก่อน ในการดำเนินงานจัดประชุมโต๊ะกลมไทย – สหรัฐฯ ฝ่ายไทยและสหรัฐ
สบับกันเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมมาแล้ว ๖ ครั้ง ที่ผ่านมาใน ๕ ครั้งแรก
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานเปิดการประชุมทุกครั้ง สำหรับการประชุมครั้งที่ ๑
ครั้งที่ ๓ และ ครั้งที่ ๕ จัดขึ้น ณ ประเทศไทย ส่วนครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๔
และครั้งที่ ๖ จัดขึ้น ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๗
หน่วยงานที่จะเป็นตัวแทนและดำเนินการในเรื่องนี้คือ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
ในการประชุมที่ผ่านมามีผลงานออกมาทั้งในเชิงวิชาการ งานวิจัย
และมีการดำเนินการผลักดันในแต่ละประเด็น
ประเด็นที่มีการดำเนินการขับเคลื่อนและผลักดันอย่างต่อเนื่อง
คือเรื่อง “สะเต็มศึกษา” หรือ STEM Education โดยที่ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารโครงการประชุมโต๊ะกลมไทย – สหรัฐ ด้านการศึกษา มีมติเลือกชื่อเรื่องการประชุม “STEM
Education: Learning Culture of the 21st
C Workforce” เพื่อต้องการผลักดันให้สะเต็มศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ
ผู้ดำเนินรายการ :
ผลของการประชุมโต๊ะกลมมีผลบังคับต่อรัฐบาลในเชิงนโยบายอย่างไร
ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา :
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานเปิดการประชุม
จึงได้มีการเตรียมความพร้อมโดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเรือเอก ณรงค์
พิพัฒนาศัย) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารโครงการประชุมโต๊ะกลมไทย – สหรัฐ
ด้านการศึกษา เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา และเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม
๒๕๕๘ ได้มีการประชุมเตรียมความพร้อม โดยที่ประชุมมีมติเลือกเรื่องการประชุม “STEM
Education: Learning Culture of the 21st
C Workforce” ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ประเด็นสำคัญที่นำเสนอในการประชุม ๓ ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก คือ
ข้อเสนอนโยบายการส่งเสริมสะเต็มศึกษาในประเทศไทย และจะผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ
ประเด็นที่สอง คือ
บทเรียนในการนำสะเต็มศึกษาสู่การปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นสภาพการดำเนินงาน ปัญหา
อุปสรรค และข้อเสนอแนะในโครงการต่าง ๆ เช่น ๑)
โครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.)
สสวท. ๒) โครงการผลิตครูที่มีความสามารถทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (สควค.) สสวท.
๓) โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ๔) โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
และโรงเรียนจุฬาภรณ์ ๕) โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพสำหรับเด็กและเยาวชน (Junior
Science Talent Project: JSTP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
(สวทช) ๖) โรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (Science-Based Technology
School: SBTS) สอศ. ๗)
มหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สกอ. ๘) ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ (วมว.)
โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับมหาวิทยาลัย
ซึ่งเป็นการนำบทเรียนมาเสนอว่ามีการดำเนินการอย่างไร ทุกโครงการมีผลการดำเนินงานที่ดี
หากสามารถขยายผลไปในวงกว้างขึ้นจะเป็นผลดีต่อประเทศไทย
ประเด็นที่สาม คือ
การนำเสนอแผนแม่บทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย โดย สวทน.
สำหรับสะเต็มศึกษาเป็นการนำแนวคิดหรือรูปแบบการเรียนรู้
เป็นวิธีที่จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้ทั้งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science)
เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) เข้าด้วยกัน เพื่อเป็นกระบวนการที่จะบูรณาการคิดค้นหาคำตอบ
ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้รู้จักการคิดวิเคราะห์ได้อย่างสอดคล้องทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ
ซึ่งครูผู้สอนสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับวิชาหรือกิจกรรมต่าง ๆ
ได้หลากหลายไม่จำกัดเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และเทคโนโลยี
แต่ยังรวมถึงวิชาทางศิลปะ (Art) ครอบคลุมทุกวิชา
ผู้ดำเนินรายการ : เรื่อง STEM
ทำให้ผู้เรียนต้องเรียนทั้งวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ไปด้วยกัน
ในปัจจุบันถ้าคนที่เรียนกลุ่มวิทยาศาสตร์ก็จะเรียนไป
ส่วนคนที่เรียนกลุ่มวิทยาศาสตร์ประยุกต์ก็จะแยกกัน จึงมีคนบอกว่า แยกกันยังเรียนยาก
เมื่อเอามาเรียนร่วมกันจะทำให้ยากยิ่งขึ้นหรือไม่
ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา :
การนำกระบวนการคิดทางเชิงด้านวิทยาศาสตร์
ในเรื่องการสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีมาเป็นกระบวนการหาคำตอบ
ซึ่งกระบวนการหาคำตอบในที่นี้ เช่น วิชาคณิตศาสตร์ก็หาคำตอบเชิงคณิตศาสตร์
หรือแม้กระทั่งทางด้านศิลปะก็นำเอากระบวนการคิดมาใช้ในเชิงศึกษาทางศิลปะได้
บางที่อาจจะเรียกว่า สหวิทยาการ แต่ภาษาทางหลักสูตรเรียกว่า
บูรณาการการเข้าไปสู่กระบวนการเรียนการสอน
ผู้ดำเนินรายการ :
เป็นการนำเอาหลักคิดของ STEM ไปใช้กับศาสตร์ต่าง ๆ
รวมทั้งกับทางด้านศิลปะด้วยจากเดิมศิลปะอาจจะมีมุมมองในแง่ของความสวยความงาม
ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา :
วิธีคิดค้นความสวยความงาม
คือ สร้างครีเอทีฟ หรือการสร้างสรรค์งานขึ้นมา โดยใช้กระบวนการคิดเรียกว่า
สะเต็มศึกษาได้ เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ทำให้กระบวนการคิดเป็นระบบ
ผู้ดำเนินรายการ :
แนวคิดที่ได้จากการประชุมโต๊ะกลมในครั้งนี้คืออะไร
ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา :
การประชุมโต๊ะกลมครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๗
จะมีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยขอความร่วมมือจากสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
เพื่อเชิญผู้เชี่ยวชาญ เช่น Dr. Cheng Davis จากมหาวิทยาลัย Columbia, และผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัย Okklahoma,
มหาวิทยาลัย Minnesota, มหาวิทยาลัย Michigan, มหาวิทยาลัย Wisconsin เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญด้าน STEM
ศึกษาเข้ามาร่วมในการประชุมครั้งนี้อีกด้วย
ในส่วนของประเทศไทยได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ
รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่ได้กล่าวไว้
เพื่อเข้าร่วมการประชุมและนำเสนองานต่าง ๆ เช่น ผลการศึกษาของโครงการต่าง ๆ
ว่ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
มีประเด็นใดที่จะมีข้อเสนอแนะในการดำเนินงานต่อไป
ในการเตรียมความพร้อมในการจัดประชุมโต๊ะกลมไทย-สหรัฐ ครั้งที่ ๗
ในครั้งนี้ได้รับความกรุณาจาก รศ.ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ ประธานคณะกรรมการอุดมศึกษา
(กกอ.) เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย
ผู้ดำเนินรายการ : สุดท้ายอยากให้ท่านฝากอะไรถึงคุณผู้ฟัง
ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา : เรื่องสะเต็มศึกษาได้มีมานานแล้ว
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้มีส่วนดำเนินงานขับเคลื่อน “สะเต็มศึกษา” หรือ “STEM Education” มาใกล้จะครบรอบ ๑๐ ปี เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ
และพยายามผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติให้มีความต่อเนื่องโดยลำดับ
โดยมีกลไกและโครงการรองรับ เช่น โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพสำหรับเด็กและเยาวชน
(สวทช.) โครงการผลิตครูที่มีความสามารถทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (สควค.)
หรือแม้กระทั่งโครงการที่เกี่ยวกับโรงเรียนหรือสถาบันที่เกี่ยวข้องทางด้านวิทยาศาสตร์
เพราะว่าเห็นความจำเป็นเกี่ยวกับการสร้างคนของชาติให้เป็นนักวิทยาศาสตร์
หรือให้ความรู้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์
หรือเทคโนโลยีจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต โดยเฉพาะประเทศไทยเนื่องจากยังขาดแคลนในส่วนนี้
ถ้านำเรื่องนี้เข้าสู่คณะกรรมการหรือสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาก็จะผลักดันให้เป็นแนวคิดหรือรูปแบบการเรียนรู้
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างฐานความมั่นคงเศรษฐกิจตามวิสัยทัศน์ด้านการศึกษาของประเทศไทยที่จะพูดถึงในเรื่องของความ
มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในปี ๒๐๑๕
เรื่องนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะไปผลักดันให้เกิดเป็นผลต่อไป
