การฝึกอบรมข้ามวัฒนธรรม (Cross Cultural Training)

Martin Luther King นักต่อสู้เพื่อความเสมอภาคของคนอเมริกันผิวดำในสหรัฐอเมริกา ได้เคยกล่าวไว้ว่า “การที่คนเกลียดกันและกันนั้นเพราะเขากลัวซึ่งกันและกัน และการที่พวกเขากลัวซึ่งกันและกันนั้นเป็นเพราะเขาไม่รู้จักกันและกัน…” (Men hate each other because they fear each other, and they fear each other because they don’t know each other…”)

การติดต่อค้าขายและ ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีระหว่างคนต่างวัฒนธรรมมีมาช้านานนับตั้งแต่เริ่ม มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และในปัจจุบันการติดต่อสื่อสาร ถ่ายทอดความรู้และการทำธุรกิจข้ามชาติ ข้ามวัฒนธรรมมีอัตราสูงกว่าในอดีตมาก ในกระบวนการของการดำเนินธุรกิจในระบบเสรีนิยมนั้นเปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอด ความรู้ ทักษะ และเจตคติที่มีต่อการทำงานและอาชีพของคนในต่างวัฒนธรรมอีกด้วย

การ ฝึกอบรมเพื่อการทำงานร่วมกัน หรือถ่ายทอดความรู้ ทักษะและเจตคติระหว่างวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการเจริญเติบโตของ การทำธุรกิจข้ามวัฒนธรรมไปด้วย การทำให้คนต่างวัฒนธรรมรู้จักซึ่งกันและกันนอกจากจะสามารถทำให้สามารถทำงาน ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังลดความเกลียดชังและนำมาซึ่งสันติภาพของมวลมนุษยชาติได้อีกด้วย

ความหมายของการฝึกอบรมข้ามวัฒนธรรม (Cross Cultural Training)

การฝึกอบรมข้ามวัฒนธรรม ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Cross Cultural Training หรือ Intercultural Training หมายถึงการฝึกอบรมของผู้ที่มีความหลากหลาย และแตกต่างทางวัฒนธรรม โดยที่คนเหล่านั้นยังไม่มีกรอบของวัฒนธรรมพื้นฐานร่วมกัน จากความหมายนี้จึงไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่อยู่คนละประเทศเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้แม้อยู่ในประเทศเดียวกันที่มีความแตกต่างและหลากหลาย ทางวัฒนธรรม

ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย มีการให้ผู้ที่มีภูมิลำเนาในเขตชายแดน 3 จังหวัดภาคใต้ซึ่งส่วนมากเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม จำนวนประมาณ 3,000 คนได้เข้าเรียนในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี โดยให้มีการกระจายกันเข้าศึกษาในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีทั่วประเทศ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการเรียนการสอนของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีที่อยู่ ในเขตภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางเกิดขึ้นทันที ซึ่งแต่เดิมมีความแตกต่างไม่มากนัก อาจารย์และนักศึกษารวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องเช่น คนไข้ในโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ต้องปรับตัวและเรียนรู้วัฒนธรรมของนักศึกษาพยาบาลตาม โครงการนี้ การจัดการเรียนการสอนหรือการฝึกอบรมต้องมีวิธีการที่แตกต่างไปจากเดิม

อีกตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่ การนำเอาการอาชีวศึกษาและการฝึกอาชีพแบบ Dual System ตามแบบอย่างของประเทศเยอรมันนีมาใช้กับประเทศไทย ซึ่งเป็นการนำเอาระบบการฝึกอาชีพต่างวัฒนธรรมเข้ามาใช้ในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง และระบบ Dual System ของประเทศเยอรมนีนั้น เมื่อนำมาใช้ในประเทศไทยเรียกว่าระบบ “ทวิภาคี” จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือเรียกว่า Re-invention ใหม่ให้เหมาะกับสังคมไทย เพราะไม่สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่ใช้กับคนเยอรมันมาใช้กับคนไทยได้

การฝึกอบรมข้ามวัฒนธรรมจึงเป็นประเด็นที่สำคัญและมีการพัฒนาอย่างมากตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่มีการติดต่อกันในระหว่างประเทศและต่างวัฒนธรรมมากขึ้น

ประโยชน์ของการฝึกอบรมข้ามวัฒนธรรม

ความจริงประการหนึ่งในขณะนี้คือ ในการทำงานปัจจุบันเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น แม้แต่ในสถาบันการศึกษาก็มีการติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น เช่น มีข้อตกลงความร่วมมือกับต่างประเทศมากขึ้น มีการประชุมสัมมนาทางวิชาการระดับนานาชาติมากขึ้น มีหลักสูตรสำหรับนักเรียนนานาชาติมากขึ้น และมีนักศึกษาต่างชาติในสถาบันการศึกษาของไทยมากขึ้น รวมทั้งมีการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ ลักษณะนิสัยการทำงานและเทคโนโลยีจากต่างชาติต่างวัฒนธรรมผ่านกระบวนการฝึก อบรมมากขึ้นเช่นกัน

การฝึกอบรมข้ามวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นนั้นให้ ประโยชน์ทั้งใน ระดับบุคคล (ระดับผู้บริหาร/ผู้ปฏิบัติ) ระดับองค์กร และในระดับสังคมโดยรวม ประโยชน์ที่เกิดขึ้นในระดับบุคคลจะส่งผลถึงระดับองค์กรและระดับสังคมใน ที่สุด ซึ่งสรุปได้ดังนี้

1. ทำให้รู้จักตนเองจากคนอื่น การเข้าใจตนเองจากความคิดของผู้อื่นเป็นสิ่งที่แต่ละคนอาจมองข้ามและไม่เคย รับรู้มาก่อน ว่าผู้อื่นรู้สึกกับตัวเราเช่นไร

2. สร้างความมั่นใจให้ตนเองมากขึ้น เมื่อมีความเข้าใจตนเองและเข้าใจผู้อื่นจะเกิดความมั่นใจในการทำงานร่วมกัน

3. ทำลายกำแพงวัฒนธรรมลงได้ การขจัดความแตกต่างในพฤติกรรมส่วนบุคคลอันเป็นผลจากวัฒนธรรม หรือการยอมรับในพฤติกรรมของความแตกต่าง ทำให้ความแตกต่างไม่เป็นกำแพงขวางกั้นอีกต่อไป

4. สร้างความเชื่อถือระหว่างกัน ความเชื่อถือเกิดจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน

5. สร้างแรงกระตุ้นและแรงจูงใจ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมสร้างความตื่นเต้น เร้าใจโดยเฉพาะในระยะแรก ๆ ทำให้สามารถสร้างสรรค์งานและกิจกรรมของการทำงานร่วมกันได้อย่างดี

6. เปิดวิสัยทัศน์ให้กว้างไกล การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเป็นการขยายพิสัยของการคิด การมองสภาพของปัญหาและการพัฒนาด้วยมิติที่แตกต่างจากเดิม

7. พัฒนาทักษะสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารทางวัฒนธรรมเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความเข้าใจร่วมกัน หรือซึ่งกันและกันเป็นพื้นฐาน

8. พัฒนาทักษะของการฟังสำเนียงต่าง ๆ ความสามารถในการฟังจากการพูดด้วยสำเนียงของคนในต่างวัฒนธรรมทำให้พัฒนาทักษะ ของการฟังได้อย่างดี เช่น คนในประเทศสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อังกฤษ อินเดีย ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา พูดภาษาอังกฤษที่สำเนียงและสำนวนต่างกัน

9. การใช้สามัญสำนึกร่วมกัน การสร้างความเข้าใจและสำนึกสากลให้เกิดขึ้นเป็นจุดประสงค์หนึ่งที่แฝงไว้ สำหรับการฝึกอบรมข้ามวัฒนธรรม เพราะถ้าคนมีสำนึกร่วมกันแล้วจะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ยั่งยืน

10.พัฒนาวิชาชีพ สร้างโอกาสการมีงานทำ ความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมทำให้สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ ทักษะ และถ่ายทอดเทคโนโลยีได้ง่าย นอกจากนั้นยังทำให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานและเปิดโอกาสให้มีการจ้างงานจากคน ต่างวัฒนธรรมได้มากขึ้น

ประโยชน์ในระดับบุคคลดังกล่าวนำมาซึ่งประโยชน์ในระดับองค์กรและสังคมดังนี้

1. เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่หรือนวัตกรรมข้ามวัฒนธรรมขึ้น

2. มีการบริหารงานข้ามวัฒนธรรมในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ

3. มีการเจรจาต่อรองข้ามวัฒนธรรมที่สามารถยุติด้วยความเป็นธรรมของทุกฝ่าย

4. สามารถบริหารจัดการในองค์กรหรือสังคมที่มีวัฒนธรรมเฉพาะอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. สร้างรูปแบบการฝึกอบรม ที่เหมาะสมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม

การฝึกอบรมข้ามวัฒนธรรมที่มีประสิทธิภาพ

การสอนหรือถ่ายทอดความรู้ ทักษะ เจตคติและเทคโนโลยีข้ามวัฒนธรรมธรรมนั้นมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาแตกต่างไปจากการทำความเข้าใจในวัฒนธรรมของกลุ่มผู้เข้าฝึกอบรม ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ปรากฏอยู่ในคู่มือนักท่องเที่ยวที่แจกให้กับผู้ ที่เข้าไปในประเทศนั้น ซึ่งมักจะมีข้อห้าม และข้อแนะนำ หรือที่เรียกกันว่า Do and Don’t นั้นยังไม่เพียงพอ ผู้รับผิดชอบหรือวิทยากรที่ทำการจัดการฝึกอบรมข้ามวัฒนธรรมควรมีการดำเนิน การดังนี้

1. ทำความรู้จักและเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในหมู่ผู้เข้าฝึกอบรมให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก

2. แสวงหาจุดร่วมกัน หรือ ความเหมือนกัน และสงวนความแตกต่างไว้ก่อน

3. ออกแบบกิจกรรมที่สามารถทำร่วมกันได้โดยไม่มีข้อขัดแย้งจากวัฒนธรรมอันใดอันหนึ่ง

4. นำความแตกต่างออกมาใช้เป็นตัวอย่างของความแตกต่างที่ทำให้ผู้อื่นยอมรับ

5. สร้างวัฒนธรรมร่วมกันขึ้นใหม่ หรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันใหม่ขึ้นในหมู่ผู้เข้าฝึกอบรม

6. รักษาวัฒนธรรมนั้นไว้จนกว่าจะสิ้นสุดการฝึกอบรม

7. ไม่พยายามตัดสินคุณค่าของวัฒนธรรมที่หลากหลาย

การดำเนินการตามกระบวนการดังกล่าวข้างต้นจะทำให้การฝึกอบรมข้ามวัฒนธรรมมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และนำไปสู่คุณภาพของการจัดฝึกอบรมได้

รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์


ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์