พอเข้าช่วงฤดูกาลฟุตบอลโลก 2010 บรรยากาศความคึกคักก็มาถึงขีดสุด ทุกคนตั้งตารอ โดยเฉพาะนัดที่มีทีมจากเอเชียอย่างเกาหลีใต้ได้ไปผงาดบนเวทีโลก ก็ต้องลุ้นกันมากหน่อย ทีมที่คุ้นสุดๆ ก็ไม่ต่างจากคนไทยทั่วไปที่นิยมชื่นชอบทีมอังกฤษ เพราะติดตามพรีเมียร์ลีกมาโดยตลอด ก็เลยทำให้คุ้นเป็นพิเศษ
มหกรรมฟุตบอลโลกก็เลยคึกคักมากสำหรับครอบครัว เมื่อไรที่ถึงฤดูกาลฟุตบอลโลก ก็จะต้องมีผู้คนอดหลับอดนอน เพื่อคอยลุ้นแมทซ์สำคัญๆ ซึ่งมักจะมารอบดึกระดับตีหนึ่งตีสอง ทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรมกันเป็นแถวๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่มักมาพร้อมกับการแข่งขันฟุตบอลโลกทุกครั้งก็คือ การพนันฟุตบอล น่าแปลกที่ตำรวจกลับหาไม่เจอ..!!นับวันการพนันชนิดนี้ ยิ่งเข้าหากลุ่มเป้าหมายที่เด็กลงๆ ทุกขณะ เมื่อก่อนระดับอุดมศึกษา แต่ตอนนี้มาระดับมัธยมศึกษา และลงมาประถมปลายอีกต่างหาก
ล่าสุดผลสำรวจจากปัญญาสมาพันธ์ เพื่อการวิจัยความเห็นสาธารณะแห่งประเทศไทย ได้ทำการสำรวจเกี่ยวกับผลกระทบจากการเล่นฟุตบอลของเยาวชนต่อสังคมไทยขึ้น โดยสอบถามกลุ่มเป้าหมายเยาวชนตั้งแต่ระดับมัธยมต้นถึงระดับอุดมศึกษาจำนวน4,461 คน ใน 25 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า กลุ่มนักเล่นพนันบอลส่วนใหญ่เริ่มเล่นตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีวงเงินที่เล่นพนันโดยเฉลี่ยครั้งละ 100-500 บาท พื้นเพส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สิ่งจูงใจให้เยาวชนไทยเล่นพนันบอลคืออยากได้เงิน เมื่อได้รางวัลแล้วจะนำไปใช้ในการกินเที่ยวกับเพื่อนฝูงมีเยาวชนร้อยละ 21.82 ที่เคยเล่นพนันบอลแล้วบอกว่าเคยเป็นหนี้เป็นนักศึกษาชั้นอนุปริญญาตรี ส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาและสถานศึกษาอยู่ในภาคใต้
ร้อยละ 43.33 จะใช้หนี้พนันบอลโดยยืมเงินจากเพื่อน โต๊ะบอล วิธีการทวงหนี้โดยการเจรจา รองลงมาคือการข่มขู่ และสุดท้ายรายการแข่งขันชิงถ้วยที่เยาวชนฮิตเล่นพนันอันดับหนึ่งคือพรีเมียร์ลีกของอังกฤษแต่ก็ยังมีเยาวชนส่วนใหญ่ใฝ่ดีที่ไม่เห็นด้วยกับการเล่นพนันบอล โดยพวกเขาบอกว่าไม่ยอมรับว่าการพนันบอลเป็นเรื่องปกติและไม่ได้ทำให้ดูทันสมัย กลุ่มเยาวชนเหล่านี้ไม่เห็นด้วยกับการเปิดให้มีการเล่นพนันบอลอย่างถูกกฎหมาย เพราะเห็นว่าจะทำให้เกิดหนี้นอกระบบมากที่สุด รวมทั้งปัญหาการลักขโมย ชิงทรัพย์ ฯลฯ และส่งผลกระทบถึงการเรียน
เมื่อลองสอบถามกลุ่มเยาวชนตัวอย่างที่ปัจจุบันเลิกเล่นพนันบอลไปแล้ว ส่วนใหญ่บอกเหตุผลตรงกันว่า เพราะได้รับผลตอบแทนไม่คุ้มค่ากับที่เสีย ตลอดจนไม่มีเงินเล่น กลัวติด กลัวพ่อแม่เสียใจและกลัวถูกจับ เป็นต้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือผลสำรวจในครั้งนี้พบว่าในช่วงฤดูกาลแข่งขันบอลโลก 2010 มีเยาวชนร้อยละ 17.66 บอกว่าจะเล่นพนันบอลครั้งนี้ด้วย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอนุปริญญาตรี
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น มีเด็กที่เคยติดพนันบอลก็บอกทุกปีเหมือนกันว่า การรณรงค์ที่ผ่านๆ มาไม่ให้เด็กเล่นพนันบอลเป็นเรื่องไม่ได้ผล เพราะคนที่เล่นเขาก็ยังคงเล่นต่อไป พวกเขาเหล่านั้นไม่สนใจเรื่องการรณรงค์อยู่แล้ว และเด็กทุกคนก็รู้ว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี แต่เขากลับพบมันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ประเด็นก็คือ ควรจะทำให้เด็กๆ และเยาวชนรู้ถึงผลที่ตามมาว่าจะส่งผลกระทบต่อชีวิตต่อไปในอนาคตอย่างไรมากกว่ายิ่งปัจจุบันมีสิ่งเร้าที่เป็นแรงกระตุ้นมากมายที่มีแนวโน้มทำให้เด็กและเยาวชนตกเป็นทาสของการพนันมากขึ้น
สิ่งเร้ายุคปัจจุบันที่เป็นตัวเร่งทำให้เด็กและเยาวชนตกเข้าไปสู่โรคติดพนันบอลมีอะไรบ้าง
หนึ่ง สื่อทุกแขนงทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ ทีวี ทั้งช่องฟรีทีวี และทีวีดาวเทียมที่ต่างก็มีการวิเคราะห์การแข่งขันฟุตบอลกันมากมายบางรายการถึงขั้นวิเคราะห์เป็นเรื่องการพนันอย่างโจ่งแจ้ง ชี้นำว่าทีมนั้นเป็นทีมต่อ ทีมนี้เป็นทีมรอง และบางรายถึงขั้นใช้ภาษาที่นักพนันบอลรู้กันอย่างโจ่งครึ่ม
สอง กระแสนิวมีเดียมาแรงมากในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและเยาวชนรุ่นนี้โดยเฉพาะช่องทางสื่ออินเทอร์เน็ต โทรศัพท์เป็นสื่อที่เข้าถึงได้เร็วเด็กและเยาวชนมักจะเลือกวิธีเล่นพนันบอลผ่านทางสื่อเหล่านี้ ในอดีตการแทงบอลยังต้องเดินทาง หรือโทรศัพท์ หรือมีหลักแหล่งที่ชัดเจน แต่ในยุคปัจจุบันการพนันบอลสามารถคลิกได้ด้วยปลายนิ้วก็สามารถเล่นพนันได้แล้ว ยิ่งโลกของเด็กรุ่นใหม่คือโลกอินเทอร์เน็ตก็ยิ่งทำให้เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว
สาม พ่อแม่เล่นเป็นแบบอย่าง มีเด็กจำนวนมากที่บอกว่าเห็นพ่อเล่นพนันบอล เห็นแม่เล่นหวยเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งยังเห็นเพื่อนเล่นกันมากมาย ก็เลยไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะใครๆ ก็เล่นกัน
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าถึงการพนันบอลได้อย่างน่าตกใจทีเดียว เพราะมีสิ่งยั่วยุและเร่งเร้ามากมายที่จะทำให้เด็กและเยาวชนตกเข้าไปในกับดักของการพนัน
นายแพทย์พนม เกตุมาน สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เคยกล่าวถึงเรื่องเด็กติดพนันบอลว่า เป็นโรคชนิดหนึ่งเรียกว่า “โรคติดการพนัน”(Pathological Gambling) มีลักษณะคล้ายกับติดสารเสพติดจิตใจจะจดจ่ออยู่กับการพนันตลอดเวลา ไม่สามารถคิดหรือทำอย่างอื่นได้ มีความอยากเล่นที่ยากจะควบคุม มีการเล่นโดยไม่ยั้งคิดและเมื่อเล่นเสีย ก็อยากเอาคืน ทำให้ถลำลึกไปเรื่อยๆ
สิ่งจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาทางด้านจิตใจ ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ควบคู่กับครอบครัวด้วย แต่โรคนี้เป็นโรคที่ยากต่อการรักษา ควรจะป้องกันตั้งแต่แรกจะได้ผลกว่า ครอบครัวเป็นด่านสำคัญที่สุดที่จะดูแลปกป้องลูกหลาน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการพนันเพราะจะทำให้มีปัญหาพฤติกรรมด้านอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเราเข้าข่ายติดพนันบอลหรือไม่ประการแรก ลูกเริ่มมีพฤติกรรมแปลกไป เริ่มหลบๆ ซ่อนๆเวลาดูบอลจะเคร่งเครียดเป็นพิเศษ ระหว่างดูบอลก็จะโทรศัพท์บ่อยๆ ระหว่างแข่งขันก็จะมีอารมณ์เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดยิ่งถ้าทีมที่เชียร์แพ้ แล้วมีอาการโมโห โกรธ หรือฟึดฟัดอารมณ์เสีย
ประการที่สอง โทรศัพท์บ่อยมาก โดยเฉพาะในช่วงก่อนแข่งขันหรือระหว่างแข่งขัน บิลค่าโทรศัพท์จะสูงมาก
ประการที่สาม มีพฤติกรรมการใช้เงินมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและเริ่มหลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวว่าพ่อแม่หรือคนในบ้านจะรู้
อาการเหล่านี้สามารถสังเกตได้ชัดเจน ถ้าพ่อแม่ใกล้ชิดลูกถ้ารีบเข้าไปจัดการปัญหาตั้งแต่แรกก็จะเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแต่ขณะเดียวกัน พ่อแม่ก็ควรจะมีทางเลือกในการชักชวนเขาทำกิจกรรมอื่นๆ ด้วย
เรื่องนี้สามารถใช้ความรักในการป้องกันได้ รวมถึงการพูดคุยให้เขาเห็นภาพว่าถ้าเขาเข้าไปสู่โรคติดพนัน จะนำไปสู่อะไร และผลกระทบมีอะไรบ้าง ความรักของพ่อแม่สามารถสกัดโรคได้ ถ้ารู้เท่าทันค่ะ
ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน