แต่แน่นอนว่า สิ่งที่ยากขึ้นหลังจากการเป็นนักร้องอาชีพ คือ เรื่องการแบ่งเวลาเรียน จากเดิมที่แค่ตื่นเช้ามาเรียน กับทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย แล้วก็หมดแค่นั้น แต่เมื่อมีงานเข้ามาด้วย ทำให้บางช่วงผมแทบไม่ได้เรียนเลย อย่างไรก็ตาม ผมติดต่อกับอาจารย์เสมอ ซึ่งท่านก็เข้าใจ ที่สำคัญผมไปขอกับทางค่ายเพลงด้วยว่า ถ้าวันไหนผมมีเรียนวิชาสำคัญขาดไม่ได้จริงๆ ผมขอเรียนก่อน เพราะยังไงเรื่องเรียน คือ สิ่งสำคัญที่สุด และต้องมาก่อน ยิ่งตอนนี้ผมเรียนปีสุดท้ายแล้ว ก็เลือกที่จะเอาเรื่องเรียนไว้ก่อน” ในฐานะนิสิตด้านดนตรี เตชินท์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า สาขาด้านนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง “ในชีวิตประจำวัน เมื่อคุณเครียด คุณเล่นดนตรี หรือร้องเพลง คุณย่อมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แต่ถ้าเป็นเรื่องหน้าที่การงานบางคนอาจจะถามว่า เรียนดนตรีไปแล้วจะทำอะไร เรียนไปแล้ว ไปเต้นกินรำกินหรือเปล่า ผมก็ตอบว่า ใช่ครับ พวกเราก็ไปทำแบบนั้นล่ะ เพราะความจริงคนที่มาเรียนดนตรีในภาควิชานี้ ต่างก็เรียนเพราะรักในดนตรี ขอเลือกมาเรียนด้านนี้โดยตรง ผมมองว่า คนเราเก่งทุกอย่างไม่ได้ บางคนไม่สามารถจะไปเก่งด้านวิทยาศาสตร์ แต่ถนัดด้านดนตรีมากกว่า ภาควิชานี้เหมือนเป็นการทำให้พวกเราได้โอกาสทำในสิ่งที่รัก ส่วนเรื่องงานก็หลากหลายครับ มีทั้งเล่นดนตรีตามร้าน เป็นครูสอนดนตรี เป็นนักดนตรี เลือกไปในเส้นทางตามที่ตัวเองต้องการ” เตชินท์ ชยุติ ยังฝากถึงวัยรุ่นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่า “ผม อยากแนะนำน้องๆว่า ควรมีทิศทาง และเป้าหมายของตนเอง สมัยยังเด็กผมรู้ว่าตัวเองชอบอะไร คือ ชอบร้องเพลง แล้วก็บอกตัวเองว่า ชาตินี้ต้องเป็นนักร้องให้ได้ ผมขีดเส้นตรงเอาไว้เลยว่า เส้นชีวิตของเราต้องพยายามเต็มที่ อยากให้น้อง ม.5 ม.6 ค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วมุ่งมั่นพยายาม ชอบอะไรก็เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่จำเป็นต้องมาเรียนดนตรี ไปเรียนอะไรก็ได้ที่ตัวเองรักจริงๆ ถึงแม้ว่าอาจจะต้องล้มลุกคลุกคลานบ้าง เหน็ดเหนื่อยบ้าง แต่ถ้าได้ทำในสิ่งที่ชอบ ย่อมมีความสุขแน่นอนครับ”
แหล่งที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
|