homescontents
homescontents

20 ภัยไซเบอร์ต้องรู้ ปี 2025

ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไม่หยุดนิ่ง มิจฉาชีพในโลกออนไลน์ก็พัฒนาเล่ห์เหลี่ยมของตัวเองไปพร้อมกัน การมีความรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์จึงเปรียบเสมือนการมี “วัคซีน” ติดตัว ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ

บทความนี้มีเป้าหมาย เพื่อให้ทุกคนสามารถทำความเข้าใจภัยคุกคามที่สำคัญ 20 ประเภท อัปเดตความรู้และรู้เท่าทันกลโกงของโจรไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเองจากอันตรายในโลกดิจิทัล

 

หมวดที่ 1 : การยืนยันตัวตนและการหลอกลวงใหม่ (New Authentication & Scams)

ภัยคุกคามในกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับวิธีการเข้าสู่ระบบและการยืนยันตัวตน ที่มุ่งเป้ามายังผู้ใช้งานโดยตรง เปรียบเสมือนด่านหน้าของการโจมตีที่ทุกคนมีโอกาสพบเจอได้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน และการรู้เท่าทันคือปราการด่านแรกที่สำคัญ

  1. Passkey

Passkey คือเทคโนโลยีการล็อกอินเข้าระบบยุคใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้รหัสผ่านแบบเดิมอีกต่อไป แต่จะเปลี่ยนไปใช้ข้อมูลชีวมาตร (Biometrics) เช่น การสแกนใบหน้าหรือลายนิ้วมือในการยืนยันตัวตน ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกออกแบบมาให้ปลอดภัยกว่า การใช้รหัสผ่านที่เสี่ยงต่อการถูกขโมยหรือคาดเดา

เปรียบเทียบง่ายๆ Passkey เหมือน “กุญแจคู่” ที่ดอกหนึ่งเป็นแม่กุญแจเก็บไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ และอีกลูกหนึ่งเป็นลูกกุญแจที่ฝังอยู่ในโทรศัพท์ของเรา

ทุกวันนี้ หลายคนยังคงใช้รหัสผ่านที่เดาได้ง่ายอย่างเช่น “123456”, “password” หรือวันเกิดของตัวเอง ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกแฮกอย่างมาก ปัจจุบันหลายแอปพลิเคชันกำลังเปลี่ยนไปสู่ Passkey มาใช้เข้าระบบแทนที่รหัสผ่าน เมื่อเราต้องการล็อกอิน โทรศัพท์จะส่งสัญญาณไปยืนยันกับเซิร์ฟเวอร์ว่า “ตัวจริงมาแล้ว” โดยที่เราไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่านเลย

 

  1. Phishing 2.0

Phishing 2.0 คือการโจมตีแบบฟิชชิ่ง (การหลอกลวงเพื่อขโมยข้อมูลที่ส่งมาทางอีเมล) ในเวอร์ชันที่ได้รับการอัปเกรดด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้ภาษาที่ใช้มีความสละสลวย เป็นทางการ และน่าเชื่อถือมากจนแทบแยกไม่ออก การหลอกลวงแนบเนียนและจับได้ยากขึ้นอย่างมาก มิจฉาชีพสามารถสั่งให้ Generative AI ช่วยเขียนอีเมลหลอกลวงในสถานการณ์ต่างๆ เช่น อีเมลทวงหนี้ที่ดูสุภาพแต่น่าตกใจ หรืออีเมลแจ้งเตือนที่กระตุ้นความกลัวของเราได้อย่างรวดเร็ว

ความอันตรายที่เพิ่มขึ้น

จุดสังเกต

 

  1. Deepfake Voice/Video

Deepfake คือเทคโนโลยี AI ที่ใช้ในการสร้างวิดีโอหรือคลิปเสียงปลอมของบุคคลใดบุคคลหนึ่งขึ้นมาได้อย่างสมจริง เปรียบเสมือนการ “โคลนนิ่ง” อันตรายของเทคโนโลยีนี้คือการที่มิจฉาชีพสามารถสร้างวิดีโอคอล ปลอมเป็นเจ้านาย เพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัว เพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงินหรือเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับ

จุดสังเกต

 

  1. Quishing (QR Phishing)

Quishing คือการโจมตีแบบฟิชชิ่งโดยใช้ QR Code เป็นเครื่องมือ หรือการรวมร่างของ QR Code กับPhishing เมื่อเหยื่อสแกน QR Code ปลอม ก็อาจถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมเพื่อขโมยข้อมูล หรืออาจนำไปสู่การติดตั้งแอปเพื่อดูดเงินออกจากบัญชีของคุณในทันที มิจฉาชีพอาจนำสติกเกอร์ QR Code ปลอมไปแปะทับของจริงตามสถานที่ต่างๆ เช่น เมนูอาหารบนโต๊ะในร้านอาหาร หรือตู้รับบริจาค เพื่อหลอกให้เราสแกนและเข้าไปยังเว็บไซต์ปลอม

วิธีป้องกันและจุดสังเกต

 

  1. MFA Fatigue

MFA Fatigue คือการโจมตีที่อาศัยช่องโหว่ทางจิตวิทยาของผู้ใช้งาน เมื่อมิจฉาชีพได้ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของเหยื่อไปแล้ว จะพยายามล็อกอินเข้าระบบของเหยื่อซ้ำๆ ทำให้ระบบการยืนยันตัวตนหลายชั้น (Multi-Factor Authentication หรือ MFA) ส่งการแจ้งเตือนเพื่อยืนยันตัวตนไปยังอุปกรณ์ของเหยื่ออย่างต่อเนื่องจนเกิดความรำคาญ และสุดท้ายเหยื่อก็เผลอกด “ยอมรับ” หรือ “Approve” เพื่อให้การแจ้งเตือนหยุดลง ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้าสู่ระบบได้สำเร็จ หรือเรียกเทคนิคนี้ว่า “Authentication Bombing” เป็นแผน “ตื๊อจนกว่าจะยอม”

วิธีป้องกันและจุดสังเกต

 

 

หมวดที่ 2 : การโจมตีระบบและข้อมูล (System & Data Attacks)

  1. RaaS (Ransomware-as-a-Service)

RaaS คือโมเดลธุรกิจในโลกใต้ดินที่เปิดให้ “เช่า” มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) พร้อมเครื่องมือและบริการสนับสนุน ทำให้ใครๆ ก็สามารถทำการโจมตีเพื่อเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อและเรียกเงินค่าไถ่ได้

ผลกระทบที่น่ากลัวที่สุด ของโมเดลนี้คือ มันได้ลดกำแพงทางเทคนิคลง ทำให้แฮกเกอร์มือใหม่ที่ไม่มีความสามารถในการเขียนโค้ด ก็สามารถทำการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่ซับซ้อนได้ ส่งผลให้จำนวนการโจมตีประเภทนี้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลทั่วโลก

 

  1. Infostealer Malware

Infostealer คือมัลแวร์ประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อ “ล้วง” หรือขโมยข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ โดยเฉพาะข้อมูลที่อยู่ในโปรแกรมต่างๆ เช่น เว็บเบราว์เซอร์ โดยมักแฝงตัวมากับโปรแกรมผิดกฎหมายหรือของฟรี เช่น เกมเถื่อน โปรแกรมแคร็ก หรือเว็บดูหนังฟรี

ประเภทข้อมูลที่มักถูกขโมย

 

  1. SIM Swap / eSIM Port-Out

SIM Swap คือการที่มิจฉาชีพหลอกลวงผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือให้โอนย้ายเบอร์โทรศัพท์ของเหยื่อไปยังซิมการ์ดใหม่ที่ตนเองควบคุมอยู่

เป้าหมายสูงสุด ของการโจมตีนี้คือการเข้าควบคุมเบอร์โทรศัพท์เพื่อดักรับรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (OTP) ที่ถูกส่งมาทาง SMS ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงและทำธุรกรรมในบัญชีธนาคารออนไลน์ โซเชียลมีเดีย หรือบริการสำคัญอื่นๆ ของเหยื่อ

นี่คือการ “ปล้นซิมกลางวันแสกๆ” ที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะมิจฉาชีพจะรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของเรา จากนั้นจะใช้เอกสารปลอมโทรศัพท์ไปที่ศูนย์บริการค่ายมือถือ แล้วปลอมตัวเป็นเราเพื่ออ้างว่าทำซิมการ์ดหายและขอออกซิมใหม่ หากเจ้าหน้าที่หลงเชื่อ ซิมการ์ดในมือของเราจะถูกตัดสัญญาณและขึ้นว่า “No Service” ทันที หลังจากนั้น สัญญาณโทรศัพท์รวมถึงรหัส OTP สำหรับทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดจะถูกส่งไปที่ซิมใหม่ในมือของโจรแทน

วิธีแก้ปัญหา

หากจู่ๆ สัญญาณโทรศัพท์มือถือหายไปอย่างผิดปกติ ให้รีบหา Wi-Fi เพื่อติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายและธนาคารเพื่อตรวจสอบและอายัดบัญชีทันที

 

  1. AiTM (Adversary-in-the-Middle)

AiTM คือการโจมตีที่ซับซ้อนกว่าฟิชชิ่งทั่วไป โดยแฮกเกอร์จะสร้างเว็บไซต์ปลอมที่ทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” ระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์จริง เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูลล็อกอินบนเว็บปลอม ระบบของแฮกเกอร์จะส่งข้อมูลนั้นไปยังเว็บจริงแบบเรียลไทม์ และดักจับข้อมูลการตอบกลับทั้งหมด สิ่งที่ทำให้ AiTM อันตรายกว่า ฟิชชิ่งทั่วไปคือ มันสามารถดักจับได้แม้กระทั่งรหัสยืนยันตัวตนแบบสองปัจจัย (2FA) หรือ Session Cookies ทำให้สามารถบายพาสการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดได้

เปรียบเทียบการทำงานของมันเหมือน “แม่สื่อจอมฉวยโอกาส” ที่คอยดักอยู่ตรงกลาง โดยโจรจะสร้างเว็บไซต์ปลอม (เช่น เว็บธนาคาร) ที่มีหน้าตาเหมือนของจริงทุกประการ เมื่อเราหลงเชื่อและกรอกชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และรหัส OTP ลงบนเว็บปลอมนั้น ระบบของโจรจะทำหน้าที่เป็น “แม่สื่อ” นำข้อมูลที่เรากรอกไปล็อกอินที่เว็บธนาคารของจริงให้ทันทีแบบเรียลไทม์ หน้าจอของเราอาจขึ้นว่า “ล็อกอินสำเร็จ” แต่ความจริงแล้ว คือ โจรต่างหากที่ล็อกอินสำเร็จไปแล้ว และเข้าควบคุมบัญชีของเราได้เรียบร้อย

 

  1. Credential Stuffing

Credential Stuffing คือการโจมตีที่นำชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่เคยรั่วไหลมาจากเว็บไซต์หนึ่ง มาลองสุ่มล็อกอินกับเว็บไซต์อื่นๆ โดย สาเหตุหลัก ที่ทำให้การโจมตีรูปแบบนี้ประสบความสำเร็จก็คือ “พฤติกรรมการใช้รหัสผ่านเดียวกันในหลายๆ บริการ” ของผู้ใช้เอง

เมื่อมิจฉาชีพแฮกข้อมูลชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านจากเว็บไซต์เล็กๆ ที่มีระบบความปลอดภัยต่ำได้สำเร็จ พวกเขาจะนำข้อมูลชุดนั้น (อีเมล + รหัสผ่าน) ไปลองล็อกอินกับบริการอื่นๆ ที่สำคัญทั้งหมดโดยอัตโนมัติ เช่น Facebook, Instagram, Shopee, Line หากเราใช้รหัสผ่านเดียวกันในทุกแพลตฟอร์ม ก็เท่ากับว่าบัญชีทั้งหมดของเราจะถูกยึดครองในคราวเดียว

วิธีป้องกัน

 

หมวดที่ 3 : ความเสี่ยงโครงสร้างและอุปกรณ์ (Infrastructure & Device Risks)

  1. Data Leak / Megadump

Data Leak คือเหตุการณ์ที่ข้อมูลส่วนตัวจำนวนมหาศาล (อาจเป็นหลักล้านหรือหลายสิบล้านรายการ) ของผู้ใช้งานจากบริการใดบริการหนึ่งรั่วไหลออกไป และถูกนำไปรวบรวมเป็นชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “Megadump” เพื่อขายในตลาดมืด ความเสี่ยงต่อเนื่อง ที่น่ากังวลคือ ข้อมูลเหล่านี้ (เช่น ชื่อ, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, รหัสผ่าน) จะกลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีให้แฮกเกอร์นำไปใช้ในการโจมตีประเภทอื่นๆ ต่อไป ข้อมูลที่รั่วไหลไปเปรียบเสมือนกุญแจบ้านที่ถูกปั๊มขายในตลาดมืด รอวันที่จะมีคนนำไปใช้ไขเข้าสู่ชีวิตดิจิทัลของคุณ

เหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลส่วนใหญ่มักเกิดจากความผิดพลาดขององค์กร ซึ่งเปรียบได้กับ “คนดูแลระบบลืมล็อกประตูบ้าน”

 

  1. Botnet / IoT Attack

Botnet คือเครือข่ายของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ IoT (เช่น กล้องวงจรปิด, เราเตอร์, สมาร์ททีวี) ที่ยังคงใช้รหัสผ่านตั้งต้นจากโรงงาน (เช่น admin/admin) มีความเสี่ยงสูงที่ถูกแฮกเกอร์เข้ายึดครองและควบคุมจากระยะไกลโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัวและฝังโปรแกรมอันตราย เพื่อเปลี่ยนอุปกรณ์เหล่านี้ให้กลายเป็น “ซอมบี้” แล้วสั่งการให้อุปกรณ์ทั้งหมดในเครือข่ายช่วยกันโจมตีเป้าหมายอื่นพร้อมๆ กัน เช่น การโจมตีเพื่อทำให้เว็บไซต์ล่ม (DDoS Attack)

 

  1. Malvertising

Malvertising (Malicious Advertising) คือการใช้โฆษณาออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่มัลแวร์ กลไกการหลอกลวง คือการสร้างโฆษณาที่ดูน่าเชื่อถือและนำไปแสดงผลบนเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมจำนวนมาก เช่น การสร้างปุ่ม “ดาวน์โหลด” ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือบนเว็บไซต์ที่คุณเข้าเป็นประจำ  เมื่อผู้ใช้หลงเชื่อและคลิกโฆษณาดังกล่าว ก็จะถูกนำทางไปยังหน้าเว็บอันตราย หรือถูกหลอกให้ดาวน์โหลดไฟล์ที่มีมัลแวร์แฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว หรือเว็บดูหนังฟรี เว็บพนัน ปรากฏป๊อปอัปที่น่าตกใจ เช่น “ตรวจพบไวรัสในเครื่องของคุณ! กดเพื่อล้างทันที” หรือมีปุ่มดาวน์โหลดปลอมๆ หลอกให้กด ในบางกรณีที่ร้ายแรง แค่เราเปิดหน้าเว็บนั้นทิ้งไว้ มัลแวร์ก็สามารถติดตั้งตัวเองลงในเครื่องได้โดยอัตโนมัติ (Drive-by download)

นิยามสั้นๆ ของมันคือ “โฆษณาแฝงพิษ” (Malware + Advertising)

  1. Supply-Chain Attack

Supply-Chain Attack คือการโจมตีทางไซเบอร์ที่ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่องค์กรเป้าหมายโดยตรง แต่เลือกที่จะโจมตีผ่าน Supply Chain หรือบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่เราใช้งาน

จุดเด่นของการโจมตีประเภทนี้คือ แฮกเกอร์จะมองหาบริษัทคู่ค้าหรือผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ (Supplier) ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่อ่อนแอกว่า เพื่อใช้เป็นช่องทางในการเจาะเข้าไปยังระบบขององค์กรเป้าหมายหลักที่ตนเองต้องการ

 

  1. Social Engineering 2.0

Social Engineering 2.0 คือการใช้หลักจิตวิทยาสังคมเพื่อหลอกลวงเหยื่อในเวอร์ชันที่ล้ำหน้าขึ้น โดยการนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อที่หาได้จากโลกออนไลน์อย่างละเอียด เพื่อสร้างเรื่องราวการหลอกลวงที่เฉพาะเจาะจง มีความน่าเชื่อถือสูง และออกแบบมาเพื่อเหยื่อรายนั้นๆ โดยเฉพาะ

นี่คือ “วิชามารของนักสืบโซเชียล” ที่ใช้ข้อมูลจริงมาสร้างเรื่องหลอกลวง

มิจฉาชีพจะใช้เทคนิคที่เรียกว่า OSINT (Open-Source Intelligence) คือการรวบรวมข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับตัวเราจากโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ Instagram เพื่อศึกษาวิถีชีวิตของเราว่าชอบทำอะไร ไปเที่ยวที่ไหน ลูกเรียนที่ไหน จากนั้นจะนำข้อมูลจริงเหล่านี้มาผูกเป็นเรื่องราวเพื่อหลอกลวงให้แนบเนียนยิ่งขึ้น เช่น “สวัสดีครับคุณปุ้ม พอดีเห็นว่าเพิ่งกลับจากญี่ปุ่น มีพัสดุของคุณติดอยู่ที่ด่านศุลกากรนะครับ” เมื่อโจรพูดข้อมูลที่ถูกต้อง เราก็จะหลงเชื่อได้ง่าย

 

หมวดที่ 4 : ภัยคุกคามต่อ AI และองค์กร (AI & Organizational Threats)

  1. Data Poisoning

Data Poisoning คือการโจมตีระบบ AI โดยการแอบป้อนข้อมูลที่ผิดพลาดเข้าไปในชุดข้อมูลที่ AI ใช้ในการเรียนรู้ (Training Data) เพื่อบิดเบือนการทำงานและทำให้ AI ตัดสินใจผิดพลาดในอนาคต

นี่คือการ “วางยา AI ด้วยข้อมูลขยะ”

เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนการสอนเด็ก ถ้าเราเอารูปแมวให้เด็กดูแล้วบอกว่า “นี่คือหมา” ซ้ำๆ เด็กก็จะจดจำข้อมูลที่ผิดๆ ไป โจรก็ใช้วิธีเดียวกันนี้โดยการป้อนข้อมูลขยะหรือข้อมูลที่ถูกบิดเบือนเข้าไปในระบบ AI ขององค์กร (เช่น ระบบตรวจจับทุจริตของธนาคาร) เพื่อทำให้ AI เรียนรู้และตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งจะสร้างช่องโหว่ให้แฮกเกอร์สามารถโจมตีระบบได้ในภายหลัง

 

  1. Prompt Injection

Prompt Injection คือเทคนิคการโจมตีโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) เช่น ChatGPT โดยการสร้างชุดคำสั่ง (Prompt) ที่แยบยลเพื่อหลอกล่อให้ AI ทำงานนอกเหนือขอบเขตที่ถูกกำหนดไว้ เป้าหมายหลัก คือการหลอกให้ AI เปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับขององค์กร หรือทำงานที่เป็นอันตรายตามคำสั่งของแฮกเกอร์ มันคล้ายกับการใช้คำพูดที่ฉลาดหลักแหลมเพื่อหลอกให้บรรณารักษ์ผู้เชี่ยวชาญหยิบหนังสือจากห้องสมุดโซนต้องห้ามมาให้คุณ ทั้งๆที่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ

เทคนิคนี้เปรียบเสมือนการ “สะกดจิต AI” หรือที่เรียกกันว่า “Jailbreaking”

 

  1. BEC (Business Email Compromise)

BEC คือกลโกงที่มุ่งเป้าไปที่องค์กร โดยแฮกเกอร์จะปลอมแปลงอีเมลให้ดูเหมือนว่าถูกส่งมาจากผู้บริหารระดับสูง เช่น CEO หรือ CFO เพื่อหลอกลวงให้พนักงาน โดยเฉพาะฝ่ายการเงินหรือบัญชี โอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพ

หลักสำคัญของกลโกง

 

  1. Zero-Day Exploit

Zero-Day Exploit คือการโจมตีที่ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ (Vulnerability) ในซอฟต์แวร์หรือระบบที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ล่าสุด ความอันตรายร้ายแรง ของมันคือ ณ วันที่ถูกโจมตี (Day “Zero”) ช่องโหว่นี้ยังไม่เป็นที่รู้จักของใคร แม้กระทั่งบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เอง ทำให้ยังไม่มีแพตช์ (Patch) หรือวิธีการป้องกันออกมาแก้ไขได้ทันท่วงที

 

  1. Shadow IT / Shadow AI

Shadow IT คือการที่พนักงานในองค์กรนำแอปพลิเคชัน ฮาร์ดแวร์ หรือบริการคลาวด์ที่ไม่ได้รับการอนุมัติจากฝ่าย IT มาใช้ในการทำงาน และในยุคนี้ยังรวมถึง Shadow AI ซึ่งคือการที่พนักงานนำข้อมูลของบริษัทไปใช้กับบริการ AI สาธารณะต่างๆ

ความเสี่ยงหลัก คือองค์กรจะสูญเสียการควบคุมและความสามารถในการมองเห็นว่าข้อมูลสำคัญของบริษัทถูกนำไปใช้งานที่ไหนบ้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลที่เป็นความลับได้โดยง่าย

 

เทคโนโลยีและภัยคุกคามทางไซเบอร์พัฒนาควบคู่กันไปเสมอ ไม่มีเครื่องมือใดที่จะป้องกันเราได้ 100% เกราะป้องกันที่ดีที่สุดจึงเป็นการติดตามข่าวสารและอัปเดต “วัคซีนความรู้” ของเราให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา

การทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้เราตระหนักรู้และเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น การแชร์บทความนี้จึงไม่ใช่แค่การส่งต่อข้อมูล แต่คือการช่วยกันฉีด “วัคซีนไซเบอร์” ให้กับเพื่อนและคนในครอบครัว เพื่อให้ทุกคนในสังคมออนไลน์ของเราปลอดภัยไปด้วยกัน

 

10 ธันวาคม เวลา 10.40 น. ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงสถานการณ์ของสถานศึกษาในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า เนื่องจากสถานการณ์การสู้รบยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มขยายวงกว้างในหลายพื้นที่ ส่งผลให้กระทรวงศึกษาธิการต้องสั่งปิดสถานศึกษาเพิ่มเป็น 1,168 แห่ง เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา ขณะเดียวกัน โรงเรียนในพื้นที่ปลอดภัย จำนวน 102 แห่ง ได้ถูกจัดตั้งเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง

“ดิฉันได้กำชับทุกหน่วยในสังกัดของกระทรวง ศธ. ให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของนักเรียน–ครู–บุคลากร พร้อมเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และสำรวจความเสียหายของสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง แม้ขณะนี้ยังไม่พบรายงานความเสียหายเพิ่ม แต่ทุกพื้นที่ต้องเตรียมแผนรองรับฉุกเฉินไว้ทันที” รมว.ศธ. กล่าว

รมว.ศธ. ยังกล่าวถึงการช่วยเหลือพื้นที่ว่า ตนได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)สนับสนุนนักเรียนอาชีวะเข้าร่วมปฏิบัติงานในหลายภารกิจ ทั้ง ติดตั้งระบบไฟฟ้า พัฒนาระบบโรงครัวพระราชทานที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กำลังพลสนับสนุนการจัดส่งยุทธภัณฑ์ของทหาร รวมถึงจัดนักศึกษาช่วยทำอาหารและดูแลประชาชน ภายในศูนย์พักพิง ช่วยแบ่งเบาภาระเจ้าหน้าที่หน้างานในภาวะวิกฤติ

รมว.ศธ. กล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ศธ.จะส่ง ศูนย์ Fix It Center ลงพื้นที่เพื่อช่วยซ่อมแซมอุปกรณ์การทำมาหากิน เครื่องจักรการเกษตร และครุภัณฑ์ในท้องถิ่น เพื่อให้ชุมชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพได้เร็วที่สุด

ภาพ-ข่าว: สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ

10 ธันวาคม 2568 — ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาที่ขยายวงกว้างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานศึกษาหลายแห่งต้องหยุดการเรียนการสอนชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ข้อมูลล่าสุดเวลา 08.30 น. ระบุว่า มีสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบรวม 1,168 แห่ง ใน 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด แยกเป็น สังกัดสพฐ. 1,101 แห่ง, สอศ. 10 แห่ง, สกร. 21 แห่ง, และ สช. 36 แห่ง ทั้งนี้ยังไม่พบรายงานความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา

โฆษก ศธ. กล่าวว่า ภายใต้ความห่วงใยของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ และการกำกับใกล้ชิดของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทุกหน่วยงานในสังกัดได้เร่งยกระดับมาตรการคุ้มครองผู้เรียนและบุคลากรเป็นกรณีเร่งด่วน โดย รมว.ศธ. ได้ขอชื่นชมผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่เขตพื้นที่ทุกสังกัดที่ดำเนินการปิดเรียน ปรับรูปแบบการเรียนการสอน และประสานความร่วมมือกับฝ่ายปกครองและหน่วยงานด้านความมั่นคงได้อย่างทันท่วงที รวมถึงร่วมสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวตามการประสานของพื้นที่ในทุกจังหวัดชายแดน

สำหรับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ว่าที่ร้อยตรี ธนุ ระบุว่า ครู บุคลากร และนักศึกษาได้ร่วมสนับสนุนการจัดเตรียมศูนย์พักพิงในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด ทั้งการปรับปรุงพื้นที่ ตรวจเช็กระบบไฟฟ้า ซ่อมอุปกรณ์จำเป็น จัดทีมครัวประกอบอาหาร และเตรียมพื้นที่พักคอย เพื่อให้สามารถรองรับประชาชนได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง ถือเป็นพลังสนับสนุนสำคัญที่ช่วยแบ่งเบาภารกิจของหน่วยงานในพื้นที่ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ

ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้สั่งการให้สถานศึกษาเดินหน้าการจัดการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่นตามเพื่อให้การเรียนรู้ไม่สะดุด เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งการสอนออนไลน์ การสอนแบบมอบหมายงาน และกิจกรรมบรรเทาความเครียดสำหรับเด็กในศูนย์พักพิง พร้อมเตรียมจัดส่ง ถุงยังชีพ–ชุดการเรียนรู้ ลงพื้นที่ โดยคณะผู้บริหารส่วนกลางจะลงพื้นที่ ในวันที่ 12 ธันวาคม นี้

ขณะที่กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ได้จัดประชุมออนไลน์เพื่อเตรียมความพร้อมภารกิจลงพื้นที่ โดยระดมทีมจิตอาสา สกร. จาก 14 จังหวัด เข้าร่วมให้กำลังใจผู้เรียนและประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์ ทั้งการจัดกิจกรรมสร้างกำลังใจ การให้ความรู้ การจัดมุมเรียนรู้ และการเตรียมหลักสูตรอาชีพระยะสั้น เพื่อให้การเรียนรู้ของผู้คนในพื้นที่ยังคงเกิดขึ้นได้แม้ในสถานการณ์ไม่ปกติ สะท้อนบทบาทของ สกร. ในฐานะกำลังสำคัญในการสร้างการเรียนรู้ที่ช่วยดูแลคุณภาพชีวิตและโอกาสทางการศึกษาของประชาชนทุกช่วงวัย

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ศ.ดร. นฤมล ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอส่งกำลังใจให้ผู้บริหาร ครู บุคลากร นักเรียน–นักศึกษา และเจ้าหน้าที่ทุกสังกัดที่ทุ่มเทดูแลประชาชนภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทาย กระทรวงศึกษาธิการพร้อมสนับสนุนทรัพยากร สื่อการเรียนรู้ และภารกิจในพื้นที่อย่างเต็มกำลัง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย” ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าว

คณะทำงานโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ

9 ธันวาคม 2568 – กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้จัดกิจกรรมงานวันต่อต้านการทุจริต และพิธีประกาศเจตนารมณ์ No Gift Policy ของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ภายใต้แนวคิด“กระทรวงศึกษาธิการไม่ทนต่อการทุจริต (MOE Zero Tolerance)” ณ หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Fanpage ศธ.360 องศา และ ETV Channal

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกล่าวเปิดงานและมอบนโยบาย No Gift Policy ในการจัดกิจกรรมงานวันต่อต้านการทุจริต และนำประกาศเจตนารมณ์ No Gift Policy ของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ภายใต้แนวคิด “กระทรวงศึกษาธิการไม่ทนต่อการทุจริต (MOE Zero Tolerance)” โดยมีผู้เข้าร่วมจากส่วนราชการ หน่วยงานในสังกัด และองค์กรในกำกับกระทรวงศึกษาธิการ รวมกว่า 1,000 คน ประกอบด้วย ณ หอประชุมคุรุสภา จำนวน 250 คน และผ่านการถอดทอดสด ประมาณ 750 คน

โดยการจัดงานครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อแสดงให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงพลังความร่วมมือของคนไทยในการรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง เนื่องจากองค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล” สร้างความตระหนัก กระตุ้น และปลุกจิตสำนึกในการไม่ยอมรับ ไม่ทำ และไม่ทนต่อการทุจริต ให้แก่บุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงการป้องกันปราบปรามการทุจริตและการประพฤติมิชอบเป็นวาระสำคัญที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) โดยเน้นให้ภาครัฐมีความโปร่งใส ปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2561 ที่ได้เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานเข้าร่วมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงาน และผู้บริหารสูงสุดจะต้องแสดงเจตจำนงสุจริต

ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดให้ “การแก้ไขปัญหาการทุจริต” เป็น “วาระแห่งชาติ” และกระทรวงศึกษาธิการในฐานะหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่หลักในการผลิตต้นทุนมนุษย์ที่สมบูรณ์ จึงต้องเป็นแบบอย่างของการสร้างวัฒนธรรมสุจริต การดำเนินงานตามนโยบาย No Gift Policy โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ได้ประกาศนโยบาย No Gift Policy เพื่อสร้างค่านิยมสุจริตให้กับข้าราชการระดับสูงและข้าราชการ นโยบายนี้มีจุดมุ่งหมายในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกระทรวงศึกษาธิการ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่ากระทรวงเป็นองค์กรที่ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม

ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เพื่อให้ประชาคมโลกและสังคมรับรู้ว่ากระทรวงศึกษาธิการ มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งกลไกควบคุมตนเอง คือ “หิริโอตตัปปะ” จะเป็นกุญแจสำคัญของการนำหลักธรรมมาใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมตนเอง

ขอเน้นย้ำว่า นโยบาย No Gift Policy ซึ่งเกี่ยวพันกับสังคมอุปถัมภ์ของไทย ในทางปฏิบัติแล้ว นโยบายนี้ไม่ได้ห้ามการรับของฝากหรือของขวัญโดยสิ้นเชิง หากมูลค่าไม่เกิน 3,000 บาท และเป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม เช่น วันเกิด หรือวันปีใหม่ ซึ่งการแสดงความปรารถนาดีต่อกันในโอกาสต่าง ๆ บุคลากรทุกระดับยังคงสามารถทำได้ด้วยการอวยพรผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงการทำจิตอาสา แทนการให้ของขวัญ เพื่อรักษาไมตรีและมิตรภาพความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล โดยไม่ขัดต่อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

“มองที่เจตนาเป็นหลักสำคัญ หากมีการมอบของขวัญแม้มีมูลค่าต่ำกว่า 3,000 บาท (เช่น 500 บาท) แต่มีเจตนาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้เจ้าหน้าที่ใช้บทบาทหน้าที่เอื้อประโยชน์หรือกระทำผิดระเบียบปฏิบัติ ถือว่าเป็นการผิดนโยบาย No Gift Policy ทันที พร้อมกำชับกำชับให้ข้าราชการเป็นแบบอย่างที่ดี และได้ฝากให้ข้าราชการทุกคนซึ่งมีโอกาสเรียนรู้เรื่องระเบียบปฏิบัติและองค์ความรู้มากมาย ให้นำความรู้นั้นไปเผยแพร่และแนะนำผู้ใต้บังคับบัญชา ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ในการต่อต้านการทุจริต เพราะ “คำสอนไม่สู้ตัวอย่างที่ดีเพียงแค่ 1 ตัวอย่าง” ปลัด ศธ.กล่าว

ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้เชิญชวนบุคลากรทุกคนร่วมแสดงเจตนารมณ์ที่จะประพฤติปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และยึดถือประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อสร้างสังคมไทยให้ปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชันต่อไป

รูปภาพเพิ่มเติม https://drive.google.com/drive/folders/1llhQRcLoRTUiWTgeQML4v7J8GQuU3506?usp=sharing

สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / ข่าว
ธนภัทร จันทร์ห่างหว้า และอินทิรา บัวลอย /ภาพ

ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (9 ธันวาคม 2568) มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้

1. นายคมกฤช จันทร์ขจร รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ

2. นางธรรมพร แข็งกสิการ รองศึกษาธิการภาค 2 แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ

3. นางจีรนันท์ เพ่งพินิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรววจราชการกระทรวงศึกษาธิการ

4. นางยุพิน บัวคอม รองอธิบดีกรมส่งสริมการเรียนรู้ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ

5. นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ

ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว
สมประสงค์ ชาหารเวียง / กราฟิก

จังหวัดนนทบุรี – 9 ธันวาคม 2568 / ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้แทน ศธ. เข้าร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “HERO OF THE TRUTH” ร่วมหยุดคอร์รัปชัน ณ ฮอลล์ 4 ศูนย์การประชุม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี

โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านการทุจริต และมีนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตลอดจนผู้แทนภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทยและระหว่างประเทศ) ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ก่อนเริ่มงานได้มีการยืนสงบนิ่งถวายความอาลัย และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล เป็นวันที่ประชาคมโลกแสดงจุดยืนร่วมกันในการขจัดการทุจริตในทุกรูปแบบ เพราะการทุจริตเป็นปัญหาที่ลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชน ในนามนายกรัฐมนตรีขอประกาศเจตจำนงอย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า รัฐบาลจะยืนหยัดกับการต่อสู้การทุจริตด้วยความเด็ดขาด ไม่ลังเล ไม่ประนีประนอม ไม่ผ่อนปรน ไม่มีข้อยกเว้นให้กับผู้ที่บ่อนทำลายผลประโยชน์ของประเทศชาติ และพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรม

ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านความโปร่งใสที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยดัชนีชี้วัดสำคัญในการรับรู้การทุจริต หรือคอร์รัปชัน CPI ปี 2567 ของประเทศเดนมาร์กสูงถึง 90 คะแนน เป็นอันดับ 1 ของโลก สิงคโปร์ประเทศเพื่อนบ้านได้ 84 คะแนน เป็นอันดับ 3 ของโลกและเป็นอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก ส่วนประเทศไทยของเรานั้นได้ 34 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศของเรายังมีช่องโหว่ที่จะต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง รัฐบาลนี้จะเร่งดำเนินการแก้ไข และจะมุ่งมั่นในการยกระดับความโปร่งใสของประเทศให้สูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เราต้องมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้สถิติของประเทศไทยดีขึ้นในเวทีโลก แต่เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถสร้างระบบรัฐที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยืนอยู่บนหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง เพื่อให้ประเทศไทยพัฒนาก้าวหน้าในทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และมีความเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ มีระบบธรรมาภิบาลที่ดี สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทยและชาวต่างชาติ

เพื่อให้เป้าหมายสำเร็จตามเป้าหมายจึงขอมอบนโยบายในการเสริมสร้างระบบการป้องกันการทุจริตให้ทุกหน่วยงาน กำหนดมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงรุก โครงการที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก ต้องผ่านการประเมินความเสี่ยง ต้องสร้างระบบการตรวจสอบภายในที่เข้มข้น ไม่ใช่เพียงการทำตามรูปแบบแต่ต้องดำเนินการตามความเป็นจริง และให้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การบริการภาครัฐ การลดขั้นตอนการบริการประชาชน ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น เพิ่ม e service และระบบ one stop service ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตและประพฤติไม่ชอบ สร้างความโปร่งใส ลดการใช้อำนาจและดุลยพินิจ และลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแทรกแซง และเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐให้ประชาชนได้รับทราบ สามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โปร่งใส และเสมอภาค ผู้ใดที่ทำการทุจริตต้องรับผิด ผู้ที่เอื้อประโยชน์ต้องรับผิด หากมีการค้นพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการสนับสนุนให้เกิดการทุจริต โดยไม่มีการละเว้น ไม่มีการใช้อภิสิทธิ์ไม่ว่าตำแหน่งใดหรือฝ่ายใด ส่วนผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต รัฐบาลจะให้การปกป้อง คุ้มครองและให้การสนับสนุนในความก้าวหน้าในอาชีพการงานอย่างเต็มที่

จะต้องมีการเสริมสร้างวัฒนธรรมความซื่อสัตย์สุจริตในสังคมไทยปลูกฝังจิตสำนึกด้านจริยธรรม และความโปร่งใส ตั้งแต่ในสถานศึกษาและหน่วยงานของรัฐ ให้ทุกคนมีความซื่อสัตย์สุจริต ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน เพื่อเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริต รวมทั้งการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส อย่างจริงจัง เพื่อให้ผู้ที่กระทำความดีได้รับการคุ้มครองอย่างจริงจัง

การป้องกันและปราบปรามการทุจริตต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย และเชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายเราจะต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อร่วมกันปราบปรามและลดความเสี่ยงต่อการทุจริต

ขอให้ทุกหน่วยงานตั้งเป้าหมายในการยกระดับการลดการทุจริต ด้วยการจัดทำแผนปฏิบัติราชการที่ส่งผลต่อการเพิ่มคะแนน CPI รัฐบาลจะดำเนินการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายคือเพื่อให้ประเทศไทยมีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ และมีอนาคตที่มั่นคงสำหรับทุกฝ่าย

“ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ร่วมมือกันปกป้องผลประโยชน์ของพวกเราทุกคน และทุ่มเทในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตของประเทศไทย ในวันนี้เป็นวันที่สำคัญที่พวกเราได้มาร่วมกันแสดงพลังที่มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริต เพื่อร่วมกันปลุกกระแสสังคมและจุดยืนของคนไทยว่า พวกเรา “ไม่ทำ ไม่ทน และไม่เฉย” ในการทุจริตอีกต่อไป มาร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริตพร้อมกันเพื่อเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกและเป็นสิ่งที่พวกเราพึงจะต้องปฏิบัติ”

จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้นำผู้เข้าร่วมงานประกาศเจตจำนงต่อต้านการทุจริต ความว่า “ข้าพเจ้า นายอนุทิน ชาญวีรกูล (…) ขอประกาศเจตจำนงว่า ข้าพเจ้าจะประพฤติปฏิบัติตน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำการทุจริต ข้าพเจ้าจะยึดมั่นในความยุติธรรม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน ข้าพเจ้าจะปกป้องเทิดทูน สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน และเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยจิตอาสา พร้อมทำความดีด้วยหัวใจ”

ในการนี้ นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร ในฐานะผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวภายในงานด้วยว่า กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการปลูกฝังค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริตแก่เด็กและเยาวชนมาอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทาง “เรียนดี มีคุณธรรม” ของศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

โดยเน้นการบูรณาการเรื่องการต่อต้านการทุจริตไว้ในกระบวนการเรียนการสอนและกิจกรรมของสถานศึกษา เพื่อสร้างผู้เรียนให้เติบโตเป็น “HERO of the TRUTH” ที่กล้ายืนหยัดในความถูกต้อง ไม่ยอมรับและไม่เพิกเฉยต่อการทุจริตในทุกรูปแบบ

การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดและจิตสำนึก ให้ผู้เรียนสามารถแยกแยะถูกผิด และใช้ความรู้ควบคู่กับคุณธรรมจริยธรรมในการดำเนินชีวิต ขณะเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการยังมุ่งส่งเสริมการบริหารจัดการในหน่วยงานและสถานศึกษาให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต

“เยาวชนถือเป็นพลังสำคัญของประเทศ การปลูกฝังแนวคิดต่อต้านการทุจริตตั้งแต่ในระบบการศึกษา จะช่วยสร้างสังคมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต และร่วมกันขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน”

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
ภารุจ พูลอำไภย์ / ภาพ

ภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1BwUetCut1/

9 ธันวาคม 2568 — ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า สถานการณ์การปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชายังคงมีความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานศึกษาจำนวนมากจำเป็นต้องหยุดการเรียนการสอนเพื่อความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากร โดยขณะนี้มีสถานศึกษาปิดเรียนชั่วคราว มากกว่าหนึ่งพันแห่ง ในจำนวนนี้เป็นโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 990 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด

1
2
3
4
5
6
7
8
9
โฆษก ศธ. กล่าวว่า ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ และ ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งการหน่วยงานในสังกัด โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา เฝ้าระวังสถานการณ์แบบรายชั่วโมง โดยให้ใช้ประกาศจากฝ่ายทหารและฝ่ายปกครองในพื้นที่เป็นข้อมูลหลักในการประเมินความเสี่ยง หากพบ แนวโน้ม ที่อาจไม่ปลอดภัย ให้ผู้บริหารสถานศึกษามีอำนาจสั่งหยุดเรียน หรือปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนทันทีโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง เพื่อให้การคุ้มครองนักเรียนและครูเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ เปิดเผยต่อว่า ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมความพร้อมและให้ความร่วมมือกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ในการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวตามความจำเป็น โดยสนับสนุนพื้นที่และทรัพยากรของหน่วยงานในสังกัดที่อยู่ในโซนปลอดภัย เพื่อรองรับประชาชนที่ต้องอพยพจากพื้นที่เสี่ยง พร้อมจัดส่งอาหาร น้ำดื่ม เวชภัณฑ์ อุปกรณ์จำเป็น และพร้อมสนับสนุนทีมดูแลด้านจิตใจลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องตอ่ไป โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเด็กเล็ก นักเรียนกลุ่มเปราะบาง
เมื่อรัศมีสถานการณ์ขยายตัว กระทรวงได้มอบหมายให้ เขตพื้นที่และโรงเรียนในโซนปลอดภัย เข้ามาสนับสนุนภารกิจแทนโรงเรียนที่อยู่ในแนวปะทะ ทั้งด้านการประสานข้อมูล การสนับสนุนการจัดการเรียนรู้แบบยืดหยุ่น รวมถึงร่วมดูแลเด็กและเยาวชนที่พักพิงอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว เช่น การจัดพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กเล็ก มุมการเรียนรู้ การดูแลสุขอนามัย และการสนับสนุนครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้เด็กทุกคนยังได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมแม้อยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ
“ศ.ดร. นฤมล เน้นย้ำความปลอดภัยและสวัสดิภาพของนักเรียนและครูคือสิ่งสำคัญสูงสุดกระทรวงศึกษาธิการจะทำงานเคียงข้างโรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ชายแดนอย่างใกล้ชิด สนับสนุนทุกด้านที่จำเป็น และร่วมประเมินสถานการณ์กับหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย” ว่าที่ร้อยตรี ธนุ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว
คณะทำงานโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ
แผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของสป.ศธ (ฉ.ปรับปรุงตามงบฯ) ประกาศรับสมัครบริหารต้น (ส่วนกลาง) ประกาศรับสมัครบริหารต้น (รอง ศธภ.) ประกาศเกณฑ์บริหารต้น (ส่วนกลาง) ประกาศเกณฑ์บริหารต้น (รอง ศธภ.)
8 ธันวาคม 2568 – กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจร่วมมือ (MOU) เพื่อยกระดับศักยภาพครูกรมส่งเสริมการเรียนรู้ทั่วประเทศสู่การเป็น “ครูนวัตกร” ซึ่งจัดขึ้น ณ ห้องอินฟินิตี้ บอลรูม โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพมหานคร

ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจร่วมมือ (MOU) ครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญเพื่อขับเคลื่อนองค์ความรู้ด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ไปสู่การสร้างประโยชน์ในเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ พร้อมวางรากฐานการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่ประชาชนทุกกลุ่มวัย เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน การศึกษาคือรากฐาน สร้างคนพร้อมรับโลกอนาคต

นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “การศึกษา” คือรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของประเทศ โดยกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาสนับสนุนการจัดกระบวนการเรียนรู้ เน้นย้ำว่า “การศึกษายุคใหม่ต้องไม่จำกัดอยู่เพียงการถ่ายทอดเนื้อหา แต่ต้องสร้างสมรรถนะที่ทำให้ประชาชนทุกวัยพร้อมรับโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทั้งด้านเทคโนโลยี อาชีพ และเศรษฐกิจ ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับคุณภาพคนไทยในทุกมิติ โดยครูสมัยใหม่ต้องไม่เพียงทำหน้าที่ถ่ายทอดเนื้อหา แต่ต้องสามารถ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ และสร้างอนาคตให้ผู้เรียนได้จริง”

“การศึกษายุคใหม่ต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนเรียนรู้ได้ตลอดเวลา นวัตกรรมจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคุณภาพประชาชน ความร่วมมือระหว่าง อว.–ศธ.–สกร. ครั้งนี้ จึงเป็นกลไกที่จะช่วยให้ทั้งครูและประชาชนเข้าถึงทักษะแห่งอนาคตอย่างแท้จริง” ปลัด ศธ.กล่าว

อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ นางเกศทิพย์ ศุภวานิช กล่าวว่า ความร่วมมือนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 โดยกรมส่งเสริมการเรียนรู้มีเครือข่ายสถานศึกษาและศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับตำบลกว่า 8,300 แห่งทั่วประเทศ ถือว่า “ครู สกร.” เป็นฟันเฟืองสำคัญในการยกระดับทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของประชาชน ความร่วมมือกับ อว. จะช่วยเปิดประตูให้นำองค์ความรู้ เครื่องมือ เทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เข้าสู่การทำงานของครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับครูให้ก้าวสู่การเป็น ครูนวัตกร (Innovator Teacher) ที่สามารถออกแบบการเรียนรู้และโครงการพัฒนาชุมชนได้จริง

สอดคล้องกับนโยบายของ ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่เน้นการพัฒนาสมรรถนะด้าน AI ให้ครูและนักเรียน เพราะ AI กลายเป็นทักษะสำคัญในชีวิตประจำวัน การทำงาน และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทุกคนจึงต้องมีทักษะรู้เท่าทัน AI ทักษะดิจิทัล และการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมควบคู่กันไป

อว. เชื่อมพลังมหาวิทยาลัยสู่ชุมชนด้วย “ครูนวัตกร”

ศาสตราจารย์ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า กระทรวง อว. เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนองค์ความรู้ด้าน อววน. โดยในปีงบประมาณ 2569 กระทรวง อว. จะบูรณาการกลไกทั้งหมดเพื่อพัฒนาศักยภาพครู สกร. ผ่านระบบ Upskill – Reskill – Newskill ความร่วมมือนี้เป็นการเชื่อมพลังของมหาวิทยาลัยในฐานะคลังปัญญา เข้ากับเครือข่ายสถานศึกษาของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศอย่างแท้จริง

ความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ สกร. สามารถนำความรู้เฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม (STI) จากมหาวิทยาลัยไปสู่ประชาชนได้ลึกและกว้างขึ้น โดย อว. จะจัดทำคอร์สเสริมสมรรถนะสำหรับครู สกร. เพื่อให้สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านี้สู่ระดับตำบลได้จริง สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น (Local Product) ให้ยกระดับสู่ตลาดสากล (Global) ตามแนวคิด “Learn to Earn” อย่างเป็นรูปธรรม

“อว. พร้อมบูรณาการเครือข่ายมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาครู สกร. ผ่านกระบวนการ Upskill – Reskill – Newskill และสนับสนุนการนำนวัตกรรมลงสู่พื้นที่จริง ตามนโยบายของ นายสุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ที่มุ่งสร้างบัณฑิตที่ “ใช้ AI เป็น” และพัฒนาระบบนิเวศการศึกษาไทยให้ทันสมัย” ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัด อว. กล่าว

การผลักดัน “ครู สกร.” สู่ “ครูนวัตกร” เป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างครู สกร. สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ เพื่อให้ครูสามารถนำองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างองค์ความรู้กับการพัฒนาชุมชนในระดับพื้นที่

ในด้านการพัฒนาบุคลากร หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นจะถูกนำไปใช้ในระบบ Credit Bank และเชื่อมโยงกับการปรับระดับคุณวุฒิ รวมถึงเป็นหลักฐานประกอบการพัฒนา วิทยฐานะบนฐานงาน (On the Job Training) ที่สร้างประโยชน์ให้ครู ชุมชน และประเทศชาติไปพร้อมกัน

โดยมีหัวใจสำคัญของความร่วมมือคือการนำองค์ความรู้ไปแก้ปัญหาในพื้นที่จริง (Problem-Based) เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น การย้อมผ้า ที่ชุมชนประสบปัญหา “สีตก” เมื่อผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเข้ามาเสริมองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ ในขณะที่เทคโนโลยี AI จะถูกนำมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ การพัฒนาแบรนด์ และการสร้างมูลค่าจากทรัพยากรท้องถิ่น เพื่อผลักดันสินค้าชุมชนให้เข้าสู่ตลาดโลก (Local to Global) อย่างแท้จริง

ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ภายใต้บันทึกข้อตกลงนี้ ครู สกร. จะได้รับการพัฒนาตั้งแต่ทักษะพื้นฐานด้านนวัตกรรมไปจนถึงทักษะเฉพาะทาง ผ่านความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันอุดมศึกษา โดยเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับครู สกร. ให้เป็น “ครูนวัตกร” ซึ่งหมายถึง ครูที่มีความสามารถในการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปสู่การพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตของประชาชน เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในชุมชนอย่างเป็นระบบ

และสำคัญที่สุดคือ ประชาชนจะได้รับการเรียนรู้ที่ทำได้จริง ใช้ได้จริง และ สร้างรายได้จริง (Learn to Earn) เมื่อครูเข้าถึงนวัตกรรม ประชาชนจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ได้มาตรฐาน เพิ่มมูลค่า และแข่งขันในตลาดที่กว้างขึ้น (Local to Global) ตลอดจนสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการนำประเทศไทยก้าวสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต เมื่อครู สกร. มีองค์ความรู้ มีเครื่องมือ และมีเครือข่ายที่แข็งแรง ก็จะสามารถเปลี่ยนการเรียนรู้ให้เป็นพลังในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้จริง ซึ่งพิธีลงนาม MOU ครั้งนี้ได้สะท้อนความตั้งใจร่วมกันของทั้งสองกระทรวงในการยกระดับศักยภาพมนุษย์ของประเทศ ผ่านการสร้าง “ครูนวัตกร” ที่มีความรู้เท่าทันโลก และสามารถเป็นผู้นำการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ พิธีลงนามได้รับเกียรติจาก นางสาวพิมพ์พร ชีวานันท์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเป็นประธานและสักขีพยาน การลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) โดย นางสาววราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวง อว.และดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้

สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / ข่าว-กราฟิก

สมประสงค์ ชาหารเวียง / ภาพ

ภาพเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/share/p/1HJtKQVTsb/?mibextid=wwXIfr

8 ธันวาคม 2568 – นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ศปป.5 กอ.รมน.) ณ ห้องประชุมจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ เพื่อขับเคลื่อนแนวทางการบริหารการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.)

ซึ่งการประชุมนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ ทั้งด้านการศึกษา วัฒนธรรม และอาชีพ โดยเน้นยกระดับคุณภาพการศึกษาเพื่อสันติสุข

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ำวัตถุประสงค์ข้อที่ 4 ซึ่งเป็นแกนหลักในการดำเนินงาน คือ การยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาทุกระดับให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงการเรียนรู้ และสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างสันติสุขและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า การจัดการศึกษาในพื้นที่ชายแดนใต้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น แต่รวมถึงครอบครัว หน่วยงานปกครอง และสาธารณสุข เนื่องจากเด็กใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนเพียง 5-6 ชั่วโมงต่อวัน ความท้าทายและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในส่วนของการดำเนินงานที่ผ่านมา พบว่ายังมีประเด็นที่ต้องเร่งแก้ไข คือ ปัญหาการอ่านออกเขียนได้ โดยเฉพาะภาษาไทย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่

นอกจากนี้ ปัญหาอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษา ได้แก่ การที่นักเรียนต้องแบกรับภาระการเรียนที่หนักเกินไปจากการเรียนสายสามัญพร้อมกับสายศาสนานอกเวลาเรียน ข้อจำกัดด้านภาษาที่กระทบต่อการเข้าถึงโอกาส และปัญหานักเรียนออกกลางคัน

อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ในระดับมัธยมศึกษามีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่าคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเพิ่มขึ้นจาก 27.85 เป็น 29.38 คะแนน โดยรายวิชาวิทยาศาสตร์มีพัฒนาการโดดเด่นที่สุด เช่นเดียวกันกับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่คะแนนเฉลี่ยรวมเพิ่มขึ้นจาก 24.81 เป็น 26.38 คะแนน

ซึ่งที่ประชุมได้มีความเห็นตรงกันว่า ปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขคือ ปัญหาการอ่านออกเขียนได้ โดยเฉพาะภาษาไทย ที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ และเพื่อสร้างรายได้และภูมิคุ้มกันทางสังคมให้แก่เยาวชน จึงได้มีการกำหนดแนวทางการส่งเสริมอาชีพ จึงได้วางแผนขับเคลื่อนเชิงรุกด้วยหลักสูตรบูรณาการและทักษะอาชีพ ปี 2569

โดยกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดกิจกรรมและแผนงานเพื่อขับเคลื่อนการศึกษาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ภายใต้ยุทธศาสตร์สำคัญที่มุ่งเน้นการบูรณาการและการสร้างความมั่นคง ดังนี้

• การเสริมสร้างความมั่นคงและความเข้าใจชาติ กระทรวงศึกษาธิการได้เสริมเนื้อหาด้าน “หน้าที่พลเมือง ประวัติศาสตร์ชาติไทย และกิจกรรมลูกเสือ” เพื่อปลูกฝังค่านิยมรักชาติ นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนหลักสูตรอิสลามศึกษา และการจัดโครงการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมในสังคมพหุวัฒนธรรมด้วยกระบวนการลูกเสือ

• การพัฒนาทักษะภาษาและวิชาการ มีการส่งเสริมการใช้ภาษาที่หลากหลาย โดยผลักดันการเรียนรู้ทั้งภาษาไทย ภาษามลายูถิ่น และภาษามลายูกลาง ควบคู่กับภาษาต่างประเทศ ในปีที่ผ่านมามีการจัดเวทีแข่งขันกล่าวสุนทรพจน์ถึง 5 ภาษา เพื่อสร้างโอกาสการแสดงศักยภาพของนักเรียน

• การสร้างโอกาสทางอาชีพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่ ที่ประชุมได้กำหนดแนวทางการส่งเสริมอาชีพให้เยาวชนเพื่อสร้างรายได้และภูมิคุ้มกันทางสังคม โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ดำเนินการตั้ง “ศูนย์ฝึกอาชีพ 23 แห่ง” ในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้เยาวชนเข้าถึงการฝึกอาชีพได้สะดวกยิ่งขึ้น

• การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มีแผนงานโครงการ “AI เพื่อการศึกษาสร้างสรรค์อนาคตจังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถและสมรรถนะใหม่ ๆ นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมายังมีการอบรมครูโรงเรียนเอกชนในการใช้เครื่องมือ AI อาทิ Prompt ChatGPT, Grok และ Claude ในการจัดทำชุดการเรียนรู้แบบองค์รวม

ในการดำเนินการเหล่านี้จะอยู่ภายใต้การประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.), กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.), ศูนย์ขับเคลื่อนการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศค.จชต.), สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)

ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังมีความประสงค์ให้ กอ.รมน. (ศปป.5 กอ.รมน.) สนับสนุนช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้บรรลุผลสำเร็จและทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ

ซึ่งที่ประชุมได้มีความเห็นตรงกันว่า ปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขคือ ปัญหาการอ่านออกเขียนได้ โดยเฉพาะภาษาไทย ซึ่งถูกระบุว่าเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ และเพื่อสร้างรายได้และภูมิคุ้มกันทางสังคมให้แก่เยาวชน จึงได้มีการกำหนดแนวทางการส่งเสริมอาชีพ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ดำเนินการตั้ง “ศูนย์ฝึกอาชีพ 23 แห่ง” ในพื้นที่ห่างไกล เพื่ออำนวยความสะดวกให้เยาวชนสามารถเข้าถึงการฝึกอาชีพได้ง่ายยิ่งขึ้น การดำเนินงานดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวว่า การจัดการศึกษาในพื้นที่ชายแดนใต้ไม่ใช่ภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการเพียงหน่วยงานเดียว แต่เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งครอบครัว หน่วยงานปกครอง และสาธารณสุข เนื่องจากเด็กใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนเพียงวันละ 5–6 ชั่วโมงเท่านั้น จึงจำเป็นต้องบูรณาการทุกหน่วยงานร่วมกันพัฒนา

ด้านการสร้างความเข้าใจและความมั่นคงผ่านการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้เสริมเนื้อหา “หน้าที่พลเมือง ประวัติศาสตร์ชาติไทย และกิจกรรมลูกเสือ” รวมไปถึงกิจกรรมด้านอื่น ๆ เพื่อปลูกฝังค่านิยมรักชาติ นอกจากนี้ กระทรวงยังมีบทบาทในการสนับสนุนหลักสูตรอิสลามศึกษา ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ชายเเดนภาคใต้

สุกัญญา จันทรสมโภชน์ และ ปวีณา ดาคำ /ข่าว-กราฟิก

ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / ภาพ

ภาพเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/share/p/16RVpLyeXL/?mibextid=wwXIfr

8 ธันวาคม 2568 : ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 9–20 ธันวาคม 2568 และ การแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ระหว่างวันที่ 20–26 มกราคม 2569 ซึ่งมีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จาก 11 ประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วมอย่างเป็นทางการ นับเป็นวาระสำคัญที่สะท้อนพลังของประชาคมอาเซียนในด้านกีฬา วัฒนธรรมและความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนบทบาทของไทยบนเวทีกีฬานานาชาติ

โฆษกกระทรวงศึกษาธิการระบุว่า การเป็นเจ้าภาพการแข่งขันระดับภูมิภาคครั้งนี้ มิได้มีความหมายเฉพาะด้านกีฬา หากแต่เป็นพื้นที่การเรียนรู้ขนาดใหญ่ของผู้เรียนทั่วประเทศ เพราะช่วยให้เด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึงคุณค่าของความมีวินัย ความพยายาม การทำงานเป็นทีม การเคารพกติกา และการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าใจความสัมพันธ์ของประเทศสมาชิกอาเซียน ผ่านบรรยากาศของความร่วมมือและมิตรภาพที่สะท้อนอยู่ในทุกช่วงของการแข่งขัน ซึ่งล้วนเป็นบทเรียนสำคัญต่อการพัฒนาทักษะชีวิต มุมมองต่อโลก และการอยู่ร่วมกันในภูมิภาคอาเซียน

กระทรวงศึกษาธิการจึงขอความร่วมมือจากสถานศึกษาทุกแห่ง ให้ร่วมสนับสนุนการประชาสัมพันธ์การแข่งขันกีฬาซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์อย่างต่อเนื่องและครอบคลุมทุกมิติ โดยเฉพาะการสร้างการรับรู้และกระตุ้นความสนใจในกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ นักเรียน และนักศึกษา ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ และเห็นคุณค่าของความมีน้ำใจนักกีฬา ความสามัคคี และความภาคภูมิใจในฐานะที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ มีการนำเนื้อหาเกี่ยวกับการแข่งขัน “ซีเกมส์–อาเซียนพาราเกมส์ 2025” บรรยากาศการแข่งขัน มิติประวัติศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียน ไปบูรณาการกับการจัดการเรียนรู้ ทั้งในด้านสังคมศึกษา ภาษา ศิลปะ กีฬา และการพัฒนาทักษะชีวิต เช่น การวิเคราะห์ข่าวกีฬา การเรียนรู้ภูมิรัฐศาสตร์อาเซียน การออกแบบสื่อรณรงค์และกิจกรรมเชียร์อย่างสร้างสรรค์ รวมถึงการศึกษาคุณธรรมและจิตวิญญาณของนักกีฬาที่เป็นแบบอย่างที่ดีของภูมิภาค เพื่อเชื่อมโยงการเรียนรู้กับเหตุการณ์จริงและเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายต่อผู้เรียน

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การแข่งขันซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ เป็นเวทีที่สะท้อนมิตรภาพและความร่วมมือของประชาคมอาเซียนอย่างแท้จริง ในฐานะเจ้าภาพ ประเทศไทยมีโอกาสสำคัญในการเปิดโลกการเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชน เห็นถึงคุณค่าของความสามัคคี การเคารพซึ่งกันและกัน และพลังของการก้าวไปข้างหน้าร่วมกันในภูมิภาค” กระทรวงศึกษาธิการจะเผยแพร่ข้อมูลและสื่อประกอบการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สถานศึกษานำไปใช้ได้ตามความเหมาะสม ร่วมกันสร้างบรรยากาศแห่งความภาคภูมิใจและเสริมสร้างความเข้าใจต่อบทบาทของไทยในประชาคมอาเซียนในฐานะเจ้าภาพ “ซีเกมส์–อาเซียนพาราเกมส์ 2025”

สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / ข่าว
ศศวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / กราฟิก

#คณะทำงานโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ

8 ธันวาคม 2568 — ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปะทะต่อเนื่องบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในจังหวัดศรีสะเกษและอุบลราชธานี ซึ่งมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นและส่งผลให้หลายพื้นที่ต้องย้ายประชาชนออกจากจุดเสี่ยงอย่างเร่งด่วน สร้างความกังวลต่อความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาในวงกว้างนั้น ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ และ ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานของกระทรวงยกระดับมาตรการดูแลนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาเป็นกรณีเร่งด่วน โดยขณะนี้ มีโรงเรียนและสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ที่จำเป็นต้องปิดการเรียนการสอนชั่วคราวตามคำแนะนำด้านความปลอดภัย ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สระแก้ว ตราด และจันทบุรี ด้วย

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ ระบุว่า รมว.ศึกษาธิการได้สั่งการให้สถานศึกษาในพื้นที่ชายแดนประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด หากพบสัญญาณที่อาจไม่ปลอดภัย ให้อำนาจผู้บริหารสถานศึกษาสั่งปิดเรียนหรือปรับรูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอนได้ทันที โดยไม่ต้องรอคำสั่งเพิ่มเติม พร้อมย้ำว่าความปลอดภัยในชีวิตของนักเรียนและครูเป็นภารกิจสำคัญที่สุดของกระทรวงในช่วงเวลานี้ โดยในส่วนของการดูแลหลังการเคลื่อนย้ายประชาชน กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้สำนักงานเขตพื้นที่ ศึกษาธิการจังหวัดและสถานศึกษาที่อยู่ในโซนปลอดภัยเข้ามาสนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยงตามความจำเป็น ทั้งการดูแลนักเรียนที่พักพิงอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง และการช่วยประสานข้อมูลด้านความปลอดภัยแทนโรงเรียนที่ยังไม่พร้อมปฏิบัติงาน นอกจากนี้ ยังได้สั่งให้ปรับการเรียนการสอนเป็นรูปแบบยืดหยุ่นในระหว่างสถานการณ์ไม่ปกติ งดภาระงานที่ไม่จำเป็น และให้ความสำคัญกับการดูแลด้านจิตสังคมของเด็กและครูที่ได้รับผลกระทบเป็นสำคัญ

“ศ.ดร. นฤมล ได้ย้ำให้ทุกหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการติดตามและประเมินสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างใกล้ชิด พร้อมสนับสนุนสถานศึกษาในเรื่องเร่งด่วนที่จำเป็น ทั้งการจัดสรรงบประมาณฉุกเฉิน การจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการอพยพ และทีมดูแลด้านจิตสังคม เพื่อให้ครู นักเรียน และครอบครัวในพื้นที่มั่นใจว่ากระทรวงศึกษาธิการจะอยู่เคียงข้างและดูแลอย่างเต็มกำลังจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย” โฆษก ศธ. กล่าว

#คณะทำงานโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ

สัญญาณอันตราย “ออนไลน์กรูมมิ่ง” ภัยเงียบใกล้ตัวลูกหลานที่คุณอาจไม่เคยรู้

ในยุคที่โลกออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเด็กๆ มันคือพื้นที่แห่งการเรียนรู้และความบันเทิง

แต่ในขณะเดียวกันก็มีภัยเงียบที่แฝงตัวมาในรูปแบบของมิตรภาพที่เรียกว่า “ออนไลน์กรูมมิ่ง” (Online Grooming)

ซึ่งเป็นพฤติกรรมการล่อลวงที่อาศัยความไว้ใจของเด็กเป็นเครื่องมือ การรู้เท่าทันกลวิธีเหล่านี้คือด่านแรกและด่านที่สำคัญที่สุดในการปกป้องคนที่คุณรัก

ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้า แต่คือ “การสร้างความไว้วางใจ”

ขั้นตอนแรกของออนไลน์กรูมมิ่งไม่ใช่การคุกคามที่โจ่งแจ้ง แต่เป็นการเข้ามาตีสนิทเพื่อ “สร้างความไว้วางใจ”
โดยมีเป้าหมายแอบแฝง คนร้ายมักเลือกเหยื่อที่เป็นเด็กเพราะมีความเปราะบางและหลงเชื่อง่าย
พวกเขาจะใช้เวลาในการสร้างความสัมพันธ์ พูดคุยอย่างเป็นมิตร จนเด็กเชื่อใจและมองว่าเป็น “เพื่อน” ที่ดีคนหนึ่ง
พฤติกรรมที่เข้าหาเพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับเด็ก โดยมีเจตนาแอบแฝง หรือเรียกง่าย ๆ ว่าการล่อลวงให้เหยื่อเชื่อใจ

“ของขวัญ” และ “คำชม” คือเหยื่อล่อชั้นดี

เพื่อซื้อใจเด็กให้เร็วขึ้น คนร้ายมักใช้กลยุทธ์มอบ “คำชม” ที่ทำให้เด็กรู้สึกดีกับตัวเอง
หรือมอบ “ไอเทมในเกม” เพื่อสร้างความประทับใจ พฤติกรรมที่ดูเหมือนเป็นความใจดีและเอื้อเฟื้อเหล่านี้
แท้จริงแล้วเป็นเพียงเครื่องมือในการหลอกล่อให้เด็กเกิดความไว้วางใจและติดกับดักที่วางไว้

การ “แยกตัว” สู่ห้องแชทส่วนตัวคือสัญญาณอันตราย

เมื่อคนร้ายสร้างความไว้ใจได้สำเร็จ ขั้นตอนต่อไปซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่อันตรายที่สุด
คือการ “ชักชวนให้เหยื่อเข้าห้องแชทส่วนตัว” หรือกลุ่มลับต่างๆ
นี่คือกลยุทธ์สำคัญในการแยกเด็กออกจากสายตาของผู้ปกครองหรือเพื่อนคนอื่นๆ
เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมความคิด ล่อลวง และข่มขู่
โดยที่ไม่มีใครสามารถเห็นหรือให้ความช่วยเหลือได้
นี่คือจุดที่การสร้างข้อตกลงเรื่องพื้นที่การใช้งานออนไลน์กับลูกไว้ล่วงหน้าจะกลายเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ

จุดประสงค์สุดท้ายคือการ “แบล็กเมล์และข่มขู่”

หลังจากที่เด็กเชื่อใจและถูกแยกตัวออกมาแล้ว คนร้ายจะเริ่มเผยเจตนาที่แท้จริง
นั่นคือการ “แบล็กเมล์” และ “บังคับให้เหยื่อทำตามใจตนเอง”
ข้อมูลส่วนตัวหรือความลับที่เด็กแชร์ในช่วงสร้างความไว้วางใจ จะถูกนำกลับมาใช้เป็นอาวุธในการแบล็กเมล์ในขั้นตอนนี้
ซึ่งอาจทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่น การบังคับให้ส่งภาพโป๊เปลือย หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจถึงขั้นบีบบังคับให้ทำร้ายร่างกายตนเอง นี่คือภัยร้ายที่ผู้ปกครองต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

วิธีรับมือ : ตั้งสติ รวบรวมหลักฐาน และแจ้งตำรวจไซเบอร์ทันที

หากคุณพบว่าบุตรหลานมีพฤติกรรมน่าสงสัยหรือตกเป็นเหยื่อของการออนไลน์กรูมมิ่งแล้ว
สิ่งที่ต้องทำคือตั้งสติ รีบ “เก็บหลักฐาน” การสนทนาหรือข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
และ “เข้าแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์ทันที” เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยเร็วที่สุด
รีบเก็บหลักฐานและเข้าแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์ทันที หรือโทรด่วน 1441 
อย่าปล่อยให้ความไม่รู้กลายเป็นเครื่องมือของคนร้าย
ออนไลน์กรูมมิ่งคือภัยร้ายที่ใช้ความไร้เดียงสาและความไม่รู้ของเด็กเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์
การป้องกันที่ดีที่สุดไม่ใช่การปิดกั้น แต่คือการสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการพูดคุยและสร้างความตระหนักรู้ในครอบครัว

8 ธันวาคม 2568 / นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธี “ผลงานและความดี สมศักดิ์ศรี รางวัลพระราชทาน” ประจำปีการศึกษา 2567 พร้อมด้วยนายวีระ แข็งกสิการ รองปลัด ศธ. นายคมกฤช จันทร์ขจร รองเลขาธิการ กช. นางอำภา พรหมวาทย์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนการศึกษา สกศ. ณ ห้องประชุมบุณยเกตุ หอประชุมคุรุสภา

พิธีดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อแนะนำและชี้แจงแนวทางการนำนักเรียน นักศึกษา และผู้แทนสถานศึกษา เข้าเฝ้าฯ รับรางวัลพระราชทาน ประจำปีการศึกษา 2567 ในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต โดยมีนักเรียน นักศึกษา และผู้แทนสถานศึกษา จำนวน 341 คน เข้าร่วมรับฟังคำชี้แจง ทั้งนี้ ก่อนเริ่มการประชุม ผู้เข้าร่วมได้ร่วมยืนสงบนิ่งถวายความอาลัย และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร กล่าวว่า ในนามกระทรวงศึกษาธิการ รู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้มีโอกาสมาต้อนรับทุกคนในวันนี้ ซึ่งคงรู้สึกแบบเดียวกัน คือซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ ในการมอบรางวัลพระราชทาน แก่นักเรียน นักศึกษา และผู้แทนสถานศึกษา

ซึ่งนอกจากจะเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ได้รับรางวัลพระราชทานแล้ว ยังเป็นความภาคภูมิใจและเป็นเกียรติประวัติต่อวงศ์ตระกูล การคัดเลือกผู้รับรางวัลในครั้งนี้ ต้องขอบคุณผู้บริหารสถานศึกษา คณะครูอาจารย์ ผู้ปกครอง ที่มีส่วนผลักดันส่งเสริมทั้งด้านการเรียน การอบรมสั่งสอนให้นักเรียน นักศึกษา มีความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรมจริยธรรม ปฏิบัติตนเป็นคนดีของสังคม มีวินัยในตนเองพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคงในอนาคต

ด้านการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาก็เช่นเดียวกัน ผู้บริหาร คณะครู บุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสถานศึกษา มีบทบาทสำคัญในการร่วมมือร่วมใจกัน ทำงานด้วยความทุ่มเทในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาผ่านการใช้ความรู้ ความสามารถ ความวิริยะอุตสาหะ และความมุ่งมั่นในการทำงานอย่างไม่ย่อท้อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน ทุกคนในสถานศึกษาต่างทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการพัฒนาและสร้างสรรค์โอกาสใหม่ ๆ เพื่อเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างทั่วถึงเท่าเทียม ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ สนับสนุนให้มีความตั้งใจและทุ่มเทในการเรียนรู้ และการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ สามารถเรียนรู้และเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพจนประสบความสำเร็จ

กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การนำของศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศธ. ได้วางแนวทาง “เรียนดี มีคุณธรรม” ซึ่งภาพความสำเร็จของนักเรียน นักศึกษา และสถานศึกษาที่ได้รับรางวัลพระราชทานในครั้งนี้ สะท้อนถึงความสำเร็จของการเรียนดีและมีคุณธรรม เพราะคำว่าคุณภาพของคนไม่ได้มีเพียงแค่ความเก่ง หากแต่ต้องประกอบด้วยทั้งความเก่งและความดี เมื่อเรามีพร้อมทั้งเก่งและดี จึงนำพาความสุขคือการที่ได้รับรางวัลพระราชทานในวันนี้

“การเข้ารับรางวัลพระราชทาน จะเป็นขวัญและกำลังใจสำคัญให้นักเรียน นักศึกษาทุกคน ได้รับการยอมรับในความพยายาม ความทุ่มเทในการเรียนรู้ และการพัฒนาตนเอง รางวัลพระราชทานไม่เพียงแต่เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จที่พวกเขาได้สร้างขึ้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจที่จะได้มีโอกาสเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นต่อไป ได้เห็นถึงความสำคัญของการมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ในการทำสิ่งที่ดี และยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนพัฒนาตนเอง มีแรงบันดาลใจในการทำความดี ก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคตอย่างมั่นคง และยังถือเป็นเกียรติยศของสถาบันการศึกษา คณะครู รวมทั้งผู้ปกครองที่คอยสนับสนุนและช่วยเหลือมาตลอดเส้นทางการศึกษา”

นายวีระ แข็งกสิการ กล่าวต้อนรับและชื่นชมผู้เข้าร่วมงาน พร้อมให้กำลังใจแก่นักเรียน นักศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา คณะครู และผู้ปกครอง ที่ร่วมกันพัฒนาผู้เรียนจนได้รับการคัดเลือกเข้ารับรางวัลพระราชทาน และกล่าวแนะนำถึงประวัติของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีประวัติยาวนาน มีสถานที่สำคัญอันเป็นสัญลักษณ์ คือ “วังจันทรเกษม” และผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางในการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษา และเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย ขอให้ผู้ได้รับรางวัลทุกคนเก็บสะสมคุณความดีและความทรงจำอันทรงคุณค่าจากเส้นทางที่ได้ผ่านมาทุกช่วงเวลาเป็นความทรงจำ เพื่อเป็นพลังใจและแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตในอนาคต

ขอชื่นชมและให้กำลังใจคณะครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละและความภาคภูมิใจในบทบาทหน้าที่ ซึ่งสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้มีการปรับหลักเกณฑ์และแนวทางการประเมินวิทยฐานะ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าในวิชาชีพครูให้มีความเหมาะสมในการนำผลงานที่ได้รับรางวัลที่ทรงคุณค่า และสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง เพื่อสงเสริมความก้าวหน้าในอาชีพ

“กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการคัดเลือกและเตรียมความพร้อมผู้รับรางวัลพระราชทานด้วยกระบวนการที่รอบคอบ เป็นไปตามกฎเกณฑ์และระเบียบอย่างเคร่งครัด เพื่อให้รางวัลพระราชทานคงไว้ซึ่งคุณค่าและสมพระเกียรติ พร้อมขอให้นักเรียน นักศึกษา รักษาความดี ความมีวินัย และความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง ให้เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม และเป็นพื้นฐานสำคัญในการก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคง”

สำหรับการเข้ารับรางวัลพระราชทาน จะมีเจ้าหน้าที่จาก กองวัง สำนักพระราชวัง ให้ความอนุเคราะห์ในการฝึกซ้อม ให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวกแก่ผู้รับรางวัลทั้งปกติและผู้บกพร่อง พร้อมชี้แจงรายละเอียดกำหนดการ ลำดับขั้นตอน และซักซ้อมพิธีการ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา ก่อนการเข้าเฝ้าฯ รับรางวัลพระราชทานอย่างเป็นทางการ

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า,
อินทิรา บัวลอย / ภาพ

ภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/16dsGA1NwU/

เตือนภัย!! “ใบขับขี่ออนไลน์ปลอม” กำลังระบาดหนัก

ในยุคที่ทุกอย่างดูเหมือนจะทำได้ผ่านปลายนิ้ว ความสะดวกสบายของบริการออนไลน์ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน
แต่ท่ามกลางความง่ายดายนั้นก็มีภัยร้ายแฝงตัวอยู่เสมอ
โดยเฉพาะข้อเสนอที่ดูดีเกินจริงอย่าง “การทำใบขับขี่ออนไลน์แบบเร่งด่วน” ที่มาพร้อมคำโฆษณาชวนเชื่อว่า “ไม่ต้องอบรมหรือทดสอบ”
และสามารถ “รอรับใบขับขี่ที่บ้านได้เลย” ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักบนโซเชียลมีเดีย
กลโกงนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าที่หลายคนคาดคิด และราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงกว่าเงินค่าดำเนินการที่เสียไปให้มิจฉาชีพหลายเท่านัก
บทความนี้จะเปิดเผยคำเตือนของหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจว่าทำไมการหลงเชื่อข้อเสนอเหล่านี้จึงอันตรายถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตได้
 
——————————————————————————–

เรื่องนี้กลายเป็น “ข่าวปลอมอาชญากรรมออนไลน์ อันดับ 1” ที่คนไทยสนใจมากที่สุด

เรื่องราวการหลอกลวงทำใบขับขี่ออนไลน์ไม่ใช่แค่กลโกงทั่วไป แต่เป็นภัยคุกคามที่มีขนาดใหญ่และแพร่หลายอย่างน่าตกใจ
จากการเปิดเผยของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่าข่าวปลอมเรื่อง “การรับทำใบขับขี่เร่งด่วนสำหรับคนต่างด้าว”
กลายเป็นข่าวปลอมที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในช่วงระหว่างวันที่ 21-27 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา
ข้อมูลนี้ได้มาจากการตรวจสอบข้อความในระบบออนไลน์กว่า 1,029,607 ข้อความ
โดยช่องทางหลักที่ตรวจพบการแพร่กระจายของข่าวปลอมนี้คือ “Social Listening”
ข้อเท็จจริงนี้ชี้ให้เห็นว่ากลโกงนี้ไม่ได้ถูกเผยแพร่ผ่านโฆษณาเพียงอย่างเดียว แต่กำลังถูกพูดถึงและส่งต่อกันในวงกว้างแบบปากต่อปาก
ยิ่ง “สร้างความน่าเชื่อถือปลอมๆ” และทำให้ภัยคุกคามนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและอันตรายยิ่งขึ้น
การที่ข่าวปลอมนี้ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีผู้คนจำนวนมหาศาลกำลังตกเป็นเป้าของข้อเสนอที่อันตรายเหล่านี้
โดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างชาติที่ตกเป็นเป้าหมายหลัก เนื่องจากมิจฉาชีพเล็งเห็นช่องโหว่จากอุปสรรคด้านภาษาและความไม่คุ้นเคยกับขั้นตอนราชการของไทย
ทำให้ข้อเสนอ “ทางลัด” กลายเป็นกับดักที่น่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ การขึ้นเป็นอันดับหนึ่งนี้จึงไม่ใช่แค่สถิติ
แต่คือสัญญาณของปฏิบัติการเก็บเกี่ยวข้อมูลส่วนบุคคลครั้งมโหฬารที่แฝงตัวมาในคราบบริการสาธารณะ
 
——————————————————————————–
 

สิ่งที่น่ากล้วไม่ใช่ “ใบขับขี่ปลอม” แต่คือ “ข้อมูลส่วนตัว” ของคุณ

หลายคนอาจคิดว่าความเสียหายสูงสุดคือการเสียเงินฟรีและได้ใบขับขี่ปลอมมา
แต่ความจริงที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ในขณะที่คุณคิดว่ากำลังซื้อเอกสารปลอม ความเป็นจริงคือ “ตัวคุณเอง” ต่างหากที่กำลังถูกขาย
ข้อมูลส่วนตัวของคุณมีค่าสำหรับอาชญากรมากกว่าเงินค่าธรรมเนียมที่พวกเขาเรียกเก็บเสียอีก
เมื่อข้อมูลเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพ ความเสี่ยงที่ตามมานั้นรุนแรงและหลากหลายกว่าที่คิด เช่น
• มีความผิดทางอาญาทันที : แค่คุณนำใบขับขี่ปลอมไปใช้งาน ก็ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญาแล้ว นี่คือความเสี่ยงแรกที่เกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องรอ
• ถูกใช้เปิดบัญชีม้า : ชื่อและใบหน้าของคุณอาจถูกนำไปสร้างบัญชีธนาคารเพื่อใช้ฟอกเงินจากอาชญากรรมอื่นๆ ทำให้คุณเข้าไปพัวพันกับเครือข่ายของเหล่าร้ายโดยไม่รู้ตัว
• ถูกสวมรอยกู้หนี้นอกระบบ : มิจฉาชีพสามารถใช้เอกสารของคุณไปกู้ยืมเงินดอกเบี้ยโหด ทิ้งให้คุณต้องเผชิญหน้ากับแก๊งทวงหนี้ที่อันตรายเพื่อทวงเงินที่คุณไม่เคยได้รับ
• ถูกนำไปใช้ก่อคดีอาชญากรรมร้ายแรง : และนี่คือความเสี่ยงสูงสุด ข้อมูลของคุณอาจถูกนำไปสวมรอยเพื่อใช้ในการก่อเหตุร้ายแรง ซึ่งอาจทำให้คุณกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาได้
เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งประชาชนสนใจมากที่สุด จาก 10 อันดับ พบว่าเป็นข่าวที่เกี่ยวกับการให้บริการของหน่วยงานรัฐ…
ซึ่งมีผลกระทบต่อทั้งตัวบุคคลที่เชื่อและแชร์ข้อมูลส่งต่อกันไปเป็นวงกว้าง ทำให้ประชาชนอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ทั้งยังอาจสร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและข้อมูลส่วนบุคคลได้
 
——————————————————————————–
 

ทางลัดไม่มีจริง กรมขนส่งฯ ยืนยัน “100% คือมิจฉาชีพ”

เพื่อป้องกันตัวเองจากกลโกงเหล่านี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการยอมรับความจริงที่ว่า การทำใบขับขี่ในประเทศไทยไม่มีทางลัด 
กรมการขนส่งทางบกได้ยืนยันหลักการที่ชัดเจนและไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถทุกคนต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข 2 ข้อนี้อย่างเคร่งครัด:
1. ผู้ขอรับใบอนุญาตต้อง ดำเนินการด้วยตนเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การยื่นเอกสาร, ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย, เข้ารับการอบรม, ไปจนถึงการสอบข้อเขียนและสอบปฏิบัติ
2. ต้องไปดำเนินการที่ สำนักงานขนส่งเท่านั้น ไม่สามารถทำผ่านช่องทางออนไลน์หรือตัวแทนใดๆ ได้
ดังนั้น ข้อเสนอใดก็ตามที่โฆษณาว่าสามารถทำใบขับขี่ให้คุณได้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนเหล่านี้ รับประกันได้ 100% ว่าเป็นมิจฉาชีพอย่างแน่นอน
 
——————————————————————————–
 
การหลอกลวงทำใบขับขี่ออนไลน์คือภาพสะท้อนความเสี่ยงที่ไม่สมมาตรในยุคดิจิทัล
เหยื่อยอมจ่ายเงินและข้อมูลส่วนตัวเพื่อแลกกับความสะดวกสบายเล็กน้อย แต่สิ่งที่อาชญากรได้ไปคือเครื่องมือทรงพลังในการสวมรอยตัวตนและก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงกว่าเดิมหลายเท่า
เรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญว่า “ความสะดวกสบายที่ผิดปกติมักมาพร้อมกับความเสี่ยง” การตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจเชื่อหรือส่งต่อ จึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
ในยุคที่ทุกอย่างดูเหมือนจะสำเร็จได้เพียงปลายนิ้ว เราจะสร้างเกราะป้องกันตัวเองจากข้อเสนอที่ ‘ดีเกินจริง’ ได้อย่างไร ก่อนที่จะสายเกินไป?
วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอุดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระบรมราชสมภพเมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออเบอร์น รัฐแมสชาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ทรงเคยศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพหานคร โรงเรียนในเมืองโลซานน์ และมหาวิทยาลัยโลซานน์ ตามลำดับ คณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของรัฐสภาได้มีมติกราบบังคมทูลเชิญพระองค์ขณะดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พระอิสริยยศเดิม คือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นทรงราชย์สืบต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๙ พระนามของพระองค์ขานโดยย่อ ภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้นพระองค์ เสด็จสวรรคตในพุทธศักราช ๒๕๕๙ ทรงได้รับการถวายพระเกียรติยศเฉลิมพระปรมาภิไธย ต่อมา ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ครั้งทรงพระเยาว์ได้มีโอกาสทรงศึกษาในประเทศที่อารยะ เมื่อแรกเสด็จขึ้นทรงราชย์ทรงรับพระราชภารกิจอันหนักเอื้ออำนวยแก่ประเทศไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเจริญพระราชไมตรีกับต่างประเทศทั้งทวีปยุโรป อเมริกาออสเตรเลีย และเอเชีย พระเมตตาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่ราษฎรในถิ่นทุรกันดาร ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมบำบัดทุกข์บำรุงสุขทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ทั้งปวงก่อให้เกิดพระราชกรณียกิจนานาประการ มีโครงการในพระบรมราชานุเคราะห์กว่า ๒,๐๐๐ โครงการ เป็นต้น ยังประโยชน์แก่ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าภายใต้ร่มพระบารมี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงเล็งเห็นความสำคัญอย่างยิ่งของการศึกษา มีพระราชปรารภว่าการศึกษาเป็นพื้นฐานการประกอบอาชีพ มีบทบาทในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพและคุณธรรมเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ในการพัฒนาประเทศ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงพระราชอุตสาหะในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้เข้าถึงคนทุกลุ่ม และสามารถนำหลักวิชามาใช้อย่างมีเหตุผลสอดคล้องกับภูมิสังคมและบริบทของประเทศ

พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์จากที่ได้ทอดพระเนตรเด็ก เยาวชน ประชาชนจำนวนไม่น้อย ขาดโอกาสทางการศึกษาขาดปัจจัยความพร้อม จึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์สร้าง ทำนุบำรุงสถานศึกษา แหล่งเรียนรู้ให้มั่นคงยั่งยืงยืน สำหรับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกลในถิ่นทุรกันดาร กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มผู้เรียนพิเศษลักษณะต่าง ๆ

พระมหากรุณาธิคุณแก่เยาวชนทั่วไปให้เห็นความสำคัญของการเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่ามีคุณภาพ จึงทรงพระวิริยอุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานปริญญาบัตรและพระบรมราโชวาทแก่นิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐ แก่นักเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ฯลฯ อย่างต่อเนื่องหลายสิบปี

พระมหากรุณาธิคุณพระราชทานการสนับสนุนให้ผู้มีสติปัญญาดีไปศึกษาต่อวิชาการชั้นสูงในต่างประเทศ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้เรียนดี แต่ขาดทุนทรัพย์ กลับมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาวิชาการต่าง ๆ ในประเทศ เช่น ทรงก่อตั้งทุนภูมิพล ทุนอานันทมหิดล ทุนเล่าเรียนหลวง รวมทั้งพระราชทานทุนเริ่มต้นก่อตั้งมูลนิธิช่วยนักเรียนที่ขาดแคลนในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อการศึกษาที่สูงขึ้นในประเทศสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ระดับอาชีวศึกษาและระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง

พระมหากรุณาธิคุณส่งเสริมด้านอาชีวศึกษา เช่น เสด็จพระราชดำเนินไปงานแสดงศิลปหัตถกรรมนักเรียน ทรงก่อตั้งโครงการพระดาบส สร้างคนให้มีสัมมาชีพ ยืนหยัดด้วยความสามารถของตนเอง ทรงพระราชดำริสร้างแหล่งเรียนร้ที่มีชีวิต คือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อศึกษา ทดลอง วิจัย แสวงหาแนวทางพัฒนาต่าง ๆ ให้เหมาะสม กับสภาพแวดล้อม และการประกอบอาชีพของประชาชนบริเวณนั้น

ฯลฯ

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐหลากหลายด้านพระองค์นี้ ไม่เพียงแต่ประชาชนชาวไทยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ องค์กรนานาประเทศจำนวนมากยังทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายราชสดุดีพระเกียรติคุณแด่พระองค์

บารมีพระมากพ้น รำพัน” มหาราชผู้ทรงเป็น “พลังแห่งแผ่นดิน” สมพระนามโดยแท้

พระมหากรุณาธิคุณ “พลังแห่งแผ่นดิน” พระมหากษัตริย์นักพัฒนา

วันที่ ๕ ธันวาคม ถือเป็นวันสำคัญที่พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศน้อมรำลึก ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐและเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้

ศาสตร์พระราชา รากฐานแห่งความยั่งยืน

สิ่งที่โดดเด่นและเป็นที่ประจักษ์ในรัชสมัยของพระองค์คือการเป็น “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา” ด้วยความห่วงใยพสกนิกรในทุกพื้นที่ของประเทศ และพระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมาย เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หัวใจสำคัญของโครงการเหล่านี้คือการนำเอา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ซึ่งปรัชญานี้เป็นรากฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความสามารถในการพึ่งตนเอง และสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่และคุณูปการมหาศาลหลายด้านที่ทรงสร้างไว้ เพื่อเป็นการยกย่องพระอัจฉริยภาพและความทุ่มเทของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงทรงเป็นแบบอย่างของ “พลังแห่งแผ่นดิน” ที่แท้จริง

ด้วยความเคารพและสำนึกในพระกรุณามหาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ขอสืบสานพระราชปณิธานด้วยความจงรักภักดีและเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทเพื่อร่วมกันพัฒนาและสรรค์สร้างการศึกษาไทยให้ประสบความสำเร็จก้าวหน้าสืบไป

 

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ กระทรวงศึกษาธิการ

เรียบเรียง – กราฟิก : สุกัญญา จันทรสมโภชน์

ข้อมูลอ้างอิง : แนวพระราชดำริ และพระราชกรณียกิจด้านการศึกษา ในพระมหากษัตริย์ แห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์. 129 ปี กระทรวงศึกษาธิการ, 2564

ภาพ : https://www.royaloffice.th/ และ กลุ่ม Facebook ฟรีไฟล์ภาพพระฉายาลักษณ์


Top Mourning Ribbon