homescontents
homescontents

1 ธันวาคม 2568 – ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) พร้อมด้วย นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นำคณะหน่วยงานด้านการศึกษา ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ลงพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตระเวนตรวจความพร้อมศูนย์ Fix It Center ซึ่งเปิดให้บริการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ประกอบอาชีพ เครื่องจักรกล และรถจักรยานยนต์ให้กับประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย

“กระทรวงศึกษาธิการพร้อมเดินหน้าส่งกำลังคนและอุปกรณ์สนับสนุนเพิ่มเติม หากพื้นที่ต้องการความช่วยเหลือ พร้อมติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การฟื้นฟูหลังน้ำท่วมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ น้องๆ อาชีวะ ขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าที่จมน้ำอย่าเสียบปลั๊กเพื่อทดสอบ โดยสามารถนำมาให้น้อง ๆ ตรวจดูและซ่อมได้ เพราะ หากเราไปเสียบปลั๊ก แผงวงจรมันจะช็อต ทำให้ไม่สามารถซ่อมได้”รมว.ศธ.กล่าว 

สำหรับจังหวัดสงขลา ได้ตั้งศูนย์ Fix It Center กระจายให้บริการรวม 50 จุดทั่วพื้นที่ เพื่อช่วยบรรเทาภาระให้ประชาชน โดยมีครูและนักศึกษาอาชีวศึกษาเข้าร่วมสนับสนุนงานซ่อมแซมอย่างเต็มกำลัง ทั้งนี้ รมว.ศธ. ได้กำชับให้แต่ละศูนย์เร่งดำเนินงานอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตและประกอบอาชีพได้โดยเร็วที่สุด

 ข่าว-ภาพ: สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ

30 พฤศจิกายน 2568 / ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นำ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.), กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ผนึกกำลังกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมชลประทานระดมเครื่องจักร เครื่องมือ และรถบรรทุก เข้าดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย บริเวณวงเวียนหน้าหมู่บ้านฉัตรทอง เขต 8 โดยเร่งทำความสะอาด เก็บขยะ และเคลียร์พื้นที่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้ไปตรวจสอบสภาพความเสียหายของโรงเรียนบ้านหน้าควนลัง เขตเทศบาลเมืองควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา เนื่องจากโรงเรียนถูกน้ำท่วมนาน 5 วัน ซึ่งสภาพภายในโรงเรียนเสียหายอย่างหนัก ทำให้สิ่งของอุปกรณ์การเรียนการสอนและการทำกิจกรรมของนักเรียนถูกน้ำท่วมเสียหายทั้งหมด โดยจะต้องได้รับการเยียวยาและฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน

“ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลประชาชนให้เร็วที่สุด และต้องทำอย่างเป็นระบบ กระทรวงศึกษาธิการไม่เพียงดูแลเฉพาะสถานศึกษา แต่ยังต้องลงไปช่วยเหลือครัวเรือน ชุมชน และอาชีพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเด็กและครอบครัวเป็นลำดับแรก และจะเร่งฟื้นฟูสถานศึกษาทุกแห่งให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็วที่สุด” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ศ.ดร.นฤมล ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของโรงเรียนและ อุปกรณ์การเรียน หนังสือ และสื่อการสอนต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย ศธ.จะเร่งนำเข้า ครม.เพื่อนำงบประมาณมาซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน รวมถึงดูแลด้านสภาพจิตใจของเด็กและครูที่ได้รับผลกระทบด้วย เพราะผลกระทบทางจิตใจหลังจากประสบภัยพิบัติเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การซ่อมแซมอาคารเรียน

ทั้งนี้ รมว.ศธ. ได้นำ สอศ. ตั้งศูนย์ Fix It Center จำนวน 50 ศูนย์ เพื่อให้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ประกอบอาชีพ เครื่องจักรกล และรถจักรยานยนต์ของประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ซึ่งถือเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนให้ประชาชนสามารถกลับไปประกอบอาชีพได้เร็วขึ้น โดยตลอดทั้งวันมีประชาชนนำรถจักรยานยนต์ที่ได้รับความเสียหายเข้ารับบริการกว่า 10,000 คันทั่วพื้นที่อำเภอหาดใหญ่

“ทุกคันที่นำมาซ่อมคือความหวังในการกลับไปทำงานของประชาชน เราจะทำทุกอย่างให้เขากลับมายืนได้เร็วที่สุด นี่คือหน้าที่ของรัฐ และกระทรวงศึกษาธิการพร้อมทำงานเคียงข้างประชาชนจนกว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

อาชีวะอาสาช่วยผู้ประสบภัยจังหวัดสงขลา : https://maps.app.goo.gl/oGKZRqwBHtTs2vkS6?g_st=i

ภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1Bv2xLutm2/

30 พฤศจิกายน 2568 – ได้มีการจัดโครงการสัมมนาในหัวข้อ “รวมพลังเครือข่ายสหกรณ์และสมาคมณาปนกิจสงเคราะห์: ก้าวสู่ความยั่งยืนด้วยหลักคิด WIN:WIN” ณ โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ต จ.ปทุมธานี การสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นการรวมพลังจาก 3 กระทรวงหลัก โดยมี ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน โดยมี นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานกรรมการดำเนินการ สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.) เป็นผู้กล่าวรายงานที่มาและวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้แทน เข้าร่วม

การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนำเสนอประเด็นปัญหาและข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลและ 3 กระทรวงหลัก ภายใต้การขับเคลื่อนของ 5 องค์กรเครือข่ายสำคัญ ประกอบด้วย สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.), ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด (ชสอ.), ชุมนุมสทกรณ์ออมทรัพย์ครูไทย จำกัด (ชสอค.), สมาพันธ์ฌาปนกิจสงเคราะห์แห่งประเทศไทย (สณท.), และชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแห่งประเทศไทย จำกัด (ชสค.) โดยเครือข่ายเหล่านี้มีสมาชิกรวมกันกว่า 11.86 ล้านคน และมีสินทรัพย์รวมกว่า 4.1 ล้านล้านบาท การนำเสนอข้อเสนอเน้นการแก้ไขอุปสรรคข้อขัดข้องที่มีต่อการดำเนินงานของสหกรณ์ และวิกฤตหนี้สินของสมาชิก โดยยึดหลัก WIN:WIN (รัฐได้ความมั่นคง สหกรณ์ได้ความยั่งยืน สมาชิกได้คุณภาพชีวิต)

ข้อเสนอแก้หนี้ครูพุ่งเป้า ศธ.

ประเด็นปัญหาสำคัญที่ถูกนำเสนอคือ วิกฤตหนี้สินครูและแนวทางการแก้ไขปัญหา ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาเสนอให้มีการแก้ไขระเบียบการหักเงินเดือน (ศธ. 2551) ที่กำหนดให้หักเงินเดือนแล้วต้องเหลือเงิน 30% ซึ่งระเบียบดังกล่าวนำมาซึ่งปัญหาที่ทำให้สมาชิกต้องไปกู้หนี้นอกระบบ หรือผิดนัดชำระหนี้สหกรณ์

ข้อเสนอการแก้ไขหนี้สินครู ได้แก่

• ยกเว้นระเบียบ การหักเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการบำนาญ และใช้วิธีปรับโครงสร้างหนี้ให้จบภายใน 10 ปี สำหรับกลุ่มประจำการ

• ขอให้ผ่อนผัน นำเงินบำเหน็จตกทอดบางส่วนมาชำระหนี้สถาบันการเงินได้ก่อน เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและปิดบัญชีหนี้วิกฤต

• เสนอให้รัฐจัดหา โครงการกองทุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 100,000 ล้านบาท (ดอกเบี้ย 0-2%) เพื่อ Refinance หนี้ครู ผ่านทางเลือกที่แนะนำคือให้ ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูไทย จำกัด (ชสอค.) เป็นศูนย์กลางในการรับเงินก้อนใหญ่และกระจายสู่สหกรณ์สมาชิก เนื่องจากมีความคล่องตัวที่สุด

การขับเคลื่อนงานฌาปนกิจสงเคราะห์ภายใต้ พม.

ในส่วนของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้มีการเสนอการแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ การจัดสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์

ข้อเสนอสำคัญต่อกระทรวง พม. และนายทะเบียน ได้แก่

• แก้ไขประกาศกระทรวง พม. เรื่องค่าจัดการศพและค่าใช้จ่ายบริหารสมาคมฯ ให้สอดคล้องกับต้นทุนความเป็นจริงในปัจจุบัน

• เร่งรัดการออกพระราชบัญญัติฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับใหม่ เพื่อความชัดเจนและเป็นสากลในการบริหารงาน

• ขอให้นายทะเบียนตีความ ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สามารถฝากเงินกับสหกรณ์หรือชุมนุมสหกรณ์ได้ เพื่อบริหารเงินกองทุนให้งอกเงย

ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า กล่าวเพิ่มเติมว่า ประโยชน์ที่เราได้จากการจัดงานในวันนี้ จะนำไปสู่การแก้ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมายรอง และกฎหมายหลัก เราต้องแยกความแตกต่างระหว่าง กฎหมายหลัก (เช่น พ.ร.บ.) ออกจากกฎหมายรอง กฎหมายหลักนั้นต้องใช้เวลา เพราะต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎรและผ่านสภาก่อนนำความกราบบังคมทูลถวาย เราต้องยอมรับว่าส่วนนี้ต้องใช้เวลา แต่เราต้องเร่งสรุปและขับเคลื่อนส่วน กฎหมายรอง นั้น

ในประเด็นของหนี้สินครู ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน ได้ย้ำกับเลขาธิการ สกสค. ไว้แล้วว่า ต้องแก้ปัญหาหนี้ครูและสวัสดิการครูโดยด่วน อันไหนที่สามารถทำได้ต้อง “ทุบโต๊ะทำ” เราจะมาบอกว่าติดขัดตรงนู้นตรงนี้ไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นพี่น้องครูก็ลำบาก และจะไม่ปล่อยให้ผู้ปฏิบัติทะเลาะกันเองในสหกรณ์แต่ละแห่ง

แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากคือ เราต้องสามัคคีกัน เพื่อก้าวไปสู่ความยั่งยืนภายใต้หัวข้อที่เราตั้งไว้ คือ “Win-Win” (ชนะกับชนะ) ซึ่งหมายความว่า ภาครัฐชนะ สหกรณ์ชนะ และสมาชิกก็ชนะ การบรรลุเป้าหมายวิน-วิน ถือเป็นวัตถุประสงค์สำคัญของการจัดงานในครั้งนี้

สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / ข่าว

ศศิวัฒน์ แป้นคุมญาติ / ภาพ

30 พฤศจิกายน 2568 — ตามที่ปรากฏกระแสในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับภาพและข้อความที่ระบุว่า อาจมีการให้คณะครูมาต้อนรับผู้บริหารระดับสูง ระหว่างการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นั้น ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ได้รับทราบประเด็นดังกล่าวแล้ว และชี้แจงเจตนาการลงพื้นที่ของผู้บริหาร ว่า “รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ศ.ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการทุกคน ต่างมีความห่วงใยครู ผู้บริหาร และนักเรียนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยอย่างหนัก และไม่ประสงค์ให้ครู–บุคลากรต้องออกมาดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติมในช่วงที่ทุกคนกำลังเผชิญความเดือดร้อน”

โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่า ภารกิจการลงพื้นที่ของผู้บริหารในครั้งนี้ มุ่งเน้นการติดตามสถานการณ์ การให้กำลังใจโรงเรียนและผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนการประสานทุกหน่วยงานเพื่อเร่งฟื้นฟูความเสียหายให้โรงเรียนกลับมาปลอดภัยโดยเร็วที่สุด พร้อมย้ำว่า “สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของครู–นักเรียน ในช่วงที่หลายครอบครัวกำลังเผชิญความยากลำบาก กระทรวงศึกษาธิการไม่ประสงค์ให้ครู–บุคลากรต้องออกมาดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติม นอกจากดูแลตนเองและครอบครัวให้ปลอดภัย”

เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูหลังภาวะอุทกภัย กระทรวงศึกษาธิการได้ประสานกำลังจากหน่วยงานต่าง ๆ ภายในของกระทรวง โดยเฉพาะ อาชีวะอาสา และ Fix It Center สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และหน่วยงานในสังกัดจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมแรงร่วมใจจากบุคลากรจิตอาสาในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบไม่มาก เข้ามาช่วยฟื้นฟูอาคารเรียน อุปกรณ์การศึกษา บ้านพักครู และสภาพแวดล้อมโดยรอบ เพื่อให้โรงเรียนและสถานศึกษาสามารถกลับมาเปิดเรียนได้อย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ศ.ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือโรงเรียนทันที ทั้งการสำรวจและตรวจสอบความเสียหาย การทำความสะอาดและฟื้นฟูห้องเรียน การซ่อมแซมครุภัณฑ์ รวมถึงการประเมินความจำเป็นเร่งด่วนในพื้นที่ เพื่อให้การสนับสนุนทรัพยากรเป็นไปอย่างตรงจุดและทันต่อสถานการณ์ เป้าหมายสำคัญคือการให้โรงเรียนกลับมาเปิดเรียนได้อย่างปลอดภัย และให้นักเรียน–นักศึกษาสามารถเรียนรู้ต่อได้โดยไม่สะดุด กระทรวงศึกษาธิการพร้อมยืนเคียงข้างทุกคนในพื้นที่ประสบภัย และจะมุ่งช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังในทุกมิติที่จำเป็น”  โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว

พบพร ผดุงพล / กราฟิก
คณะทำงานโฆษก / ข้อมูลข่าว

29 พฤศจิกายน 2568 – ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในการสนับสนุนภารกิจฟื้นฟูพื้นที่ภาคใต้หลังอุทกภัยครั้งใหญ่ ซึ่งได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหลายจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่าง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ยังคงต้องได้รับการเยียวยาและฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน โดย ศธ.จะร่วมกับของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจิตอาสาในหลายพื้นที่

รมว.ศธ. กล่าวต่อว่า ในวันพรุ่งนี้ (30 พฤศจิกายน 2568) ตนจะเดินทางลงพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดจัดเตรียมกำลังคน เครื่องมือ และชุดปฏิบัติการให้พร้อมเต็มที่ และให้ทุกส่วนปฏิบัติการสอดคล้องและประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยมุ่งเป้า ฟื้นเมือง คืนชีวิตให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติเร็วที่สุด โดยเฉพาะการฟื้นฟูบ้านเรือน โรงเรียน และสาธารณูปโภคที่เสียหาย ซึ่งต้องการทั้งเครื่องมือ เครือข่ายช่าง และกำลังคนจิตอาสาในพื้นที่จำนวนมาก

โดย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)ได้ตั้งศูนย์ Fix It Center 50 ศูนย์ทั่วพื้นที่ภาคใต้ให้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ประกอบอาชีพ เครื่องจักรกล และรถจักรยานยนต์ของประชาชนซึ่งได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ซึ่งจะสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน และสนับสนุนให้ประชาชนสามารถกลับไปประกอบอาชีพได้เร็วขึ้น

ด้านกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ได้รวบรวมกำลังจากหน่วยงานในเครือ สกร.จำนวนมากพร้อมชุดอุปกรณ์ทำความสะอาด ข้าวสารอาหารแห้ง และของจำเป็น เพื่อเร่งคืนสภาพพื้นที่ชุมชนให้ปลอดภัยและกลับมาใช้ประโยชน์ได้โดยเร็ว

ในส่วนของ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะรับผิดชอบล้างและฟื้นฟูโรงเรียนในพื้นที่ เพื่อเร่งให้โรงเรียนสามารถเปิดเรียนได้ทันตามกำหนด และลดผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน โดยจะเน้นการทำความสะอาดห้องเรียน ระบบไฟฟ้า สนาม และอาคารเรียนที่ได้รับผลกระทบ

“ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการลงพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการทำงานจริงเพื่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่ง ครู บุคลากร นักศึกษาอาชีวะ และเครือข่ายจิตอาสาของ ศธ. จะเป็นกำลังสำคัญของการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม ทั้งในด้านแรงงาน อุปกรณ์ และพลังใจ ทุกหน่วยต้องทำงานเชิงรุก ช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุดในช่วงเวลาอันสั้น เพราะการฟื้นฟูที่เร็ว คือการลดความเดือดร้อน รวมถึงใหัภาคการศึกษา ทั้ง โรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย สามารถกลับมาขับเคลื่อนต่อได้อย่างทันที” รมว.ศธ. กล่าว

พบพร ผดุงพล / กราฟิก
คณะทำงาน รมว.ศธ. / ภาพ , ข่าว

เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2568 – ศาสตรจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ครั้งที่ 2/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ

โดยที่ประชุมได้ร่วมกันหารือถึงร่างพระราชกฤษฎีกาขยายเวลาใช้บังคับพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 พ.ศ. …. ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 และจะครบกำหนดเวลา 7 ปี ในวันที่ 30 เมษายน 2569 เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 มีมติเห็นชอบการขยายเวลาใช้บังคับ พรบ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ.2562 ออกไปอีก 7 ปี โดยได้ทำการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการขยายเวลาฯ ผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) แบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์ และการประชุมรับฟังความคิดเห็นของหลายภาคส่วน เห็นพ้องกันว่า พ.ร.บ.ฯ มีเจตนารมณ์ปฏิรูปการบริหารและการจัดการการศึกษา เพื่อสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมการศึกษา เป็นการนำร่องในการกระจายอำนาจ และให้อิสระแก่หน่วยงานทางการศึกษา รวมถึงสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้เกิดการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพ และลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งมีการขยายผลนวัตกรรมการศึกษาไปใช้ในสถานศึกษาอื่นต่อไป

“ในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมจึงได้ให้ความเห็นชอบตาม (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาขยายเวลาใช้บังคับพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 พ.ศ. …. เพื่อขยายเวลาออกไปอีก 7 ปี พร้อมรับทราบรายงานความคืบหน้าการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา และการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อพัฒนานวัตกรรมการศึกษาด้วย” รมว.ศธ.กล่าว

นอกจากนี้ รมว.ศธ. ได้กล่าวถึงการประชุมรัฐมนตรีศึกษาว่าด้วยอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ในการศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุม OECD Global Forum on the Future of Education and Skills ณ สาธารณรัฐสโลวัก ว่า จะใช้แนวคิดและความร่วมมือกับ OECD มาช่วยพัฒนานวัตกรรมการศึกษา เพื่อช่วยปลูกฝังจริยธรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างปลอดภัยต่อไป

ธรรมนารี ชดช้อย/กราฟิก
สํานักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ/ ข่าว-ภาพ

28 พฤศจิกายน 2568 – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ร่วมกับ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อตรวจติดตามการบูรณาการความร่วมมือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัยในพื้นที่จังหวัดแพร่ พร้อมมอบนโยบายขับเคลื่อนการศึกษา และมอบถุงยังชีพแก่นักเรียนกลุ่มเปราะบาง รวมถึงให้กำลังใจผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา

โดยนายวีระ แข็งกสิการ รองปลัด ศธ. พร้อมด้วย นายสุภชัย จันปุ่ม รองเลขาธิการ สกศ. นางภัทริยาวรรณ พันธ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ. นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดี สกร. นายคมกฤช จันทร์ขจร รองเลขาธิการ สช. นายพลรพี ทุมมาพันธ์ รองเลขาธิการคุรุสภา นายพีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ สนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่

ที่ปรึกษา รมว.ศธ. กล่าวว่า ในวันนี้ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ มารับฟังปัญหาในระดับพื้นที่ เพื่อให้ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องการย้ายครู วิทยฐานะ หนี้สินครู สหกรณ์กลาง ลดภาระครู ที่ผ่านมาเราได้ทำงานร่วมกัน และบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น MOU บ้านพักครูกับ การเคหะแห่งชาติ พม. และ กำลังจะ MOU กับ กรมพลศึกษา กก. จัดแข่งฟุตบอลนักเรียน 7 คน ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย ให้เด็กมีโอกาสและพัฒนาตัวเองไปเป็นนักกีฬาอาชีพ ถ้าผลลัพธ์สำเร็จไปในทางที่ดีต่อยอดไปถึงกีฬาชนิดอื่นด้วย นี่เป็นการร่วมมือกันระหว่างกระทรวงไม่ได้ทำงานแบบโดดเดี่ยว แต่เป็นการบูรณาการกระจายการบริหารให้เกิดการพัฒนางบประมาณและบุคลากรในเชิงพื้นที่ เพื่อสร้างคุณภาพผู้เรียนให้เดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

ขอชื่นชมและขอขอบคุณครูแทนผู้ปกครอง แทนคนเมืองแพร่ ที่โรงเรียนวัดเมธังกราวาส (เทศรัฐราษฎร์กูล) ได้สร้างมาตรฐานให้กับผู้เรียน รู้สึกภูมิใจที่สามารถจัดการศึกษาได้ออกมามีผลสัมฤทธิ์ที่ดี การที่จะสร้างคุณภาพการศึกษาพัฒนาผู้เรียนนั้น หน่วยสำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่กระทรวงหรือเขตพื้นที่การศึกษา แต่อยู่ที่สถานศึกษา โจทย์ที่เราต้องไปคิดต่อคือทำให้เด็กเข้าถึงการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ สร้างความเท่าเทียมให้โรงเรียนส่วนใหญ่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ยอดพีระมิด จุดนี้จะสำเร็จได้โรงเรียนต้องสร้างเครือข่ายให้ครูแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน กันยกระดบมาตรฐานใหม่ให้ดียิ่งขึ้น

สิ่งที่อยากฝากคือเรื่องของการสร้างความรู้คู่คุณธรรม รมว.ศธ. นฤมล ได้เน้นย้ำเรื่องวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง เพื่อให้ผู้เรียนมีจิตสำนึกของความรักชาติ ซึ่งนักการศึกษาต้องให้ความสำคัญกับเรื่องหลักสูตรค่อนข้างมาก เนื้อหาเยอะต้องใช้ประโยชน์ได้ อีกเรื่องคือปรับกระบวนการคิดวิเคราะห์ให้มากกว่าใช้วิธีให้เด็กท่องจำ เด็กจะได้มีโอกาสได้เรียนรู้กับครูที่ดี และอยู่ในสถานศึกษาที่มีผู้บริหารที่ดี วันนี้มีความสุขที่ได้มาเห็นการจัดการศึกษาของที่นี่ และจะมีความสุขกว่านี้ถ้าโรงเรียนอื่นก็มีคุณภาพแบบนี้เช่นกัน

“นโยบายจะดีอย่างไรก็ตามแต่ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ขยับก็ไม่เกิดประโยชน์ ฝากแต่ละหน่วยงานบูรณาการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกัน ให้เกิด ONE TEAM ระดับจังหวัด นำนโยบายมายกระดับการศึกษาสู่ความยั่งยืน สร้างผู้เรียนของเราให้เป็นเด็กชั้นนำระดับประเทศให้ได้” ที่ปรึกษา รมว.ศธ. กล่าว

สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ที่ปรึกษา รมว.ศธ. ได้เดินทางไปยังโรงเรียนวัดเมธังกราวาส (เทศรัฐราษฎร์กูล) เพื่อลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจนักเรียน ในการดำเนินกิจกรรมการจัดการศึกษา ใน 4 ด้าน อาทิ เรียนดี มีงานทำ ที่พัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้สอดล้องตลาดแรงงาน ครูดี มีคุณภาพ ที่สนับสนุนการพัฒนาครู โรงเรียนดี มีนวัตกรรม ที่ยกระดับโรงเรียนด้วยเทคโนโลยี และการศึกษาดี วิถีไทย ที่ปลูกฝังคุณธรรมและทักษะชีวิต

ในเวลาต่อมา ได้เดินทางไปยังวิทยาลัยเทคนิคแพร่ เพื่อพบปะบุคลากรทางการศึกษาจังหวัดแพร่และมอบนโยบายทางการศึกษา โดยนายสุทิน จันทรวรเชตต์ ศึกษาธิการจังหวัดแพร่ และบุคลากรในพื้นที่ จำนวน 340 คน ให้การต้อนรับ พร้อมรับฟังผู้บริหารหน่วยงานการศึกษาในสังกัดและองค์กรในกำกับ นำเสนอผลการขับเคลื่อนการจัดการศึกษา ผลการดำเนินงาน พร้อมรับฟังเสียงสะท้อนสภาพปัญหาอุปสรรค รวมทั้งข้อเสนอแนะภาพรวมในพื้นที่ ซึ่งผู้บริหารส่วนกลางสร้างความเข้าใจในการขับเคลื่อนงานตามภารกิจของแต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบ และเดินทางต่อไปยังวิทยาลัยเทคนิคแพร่

ในการนี้ ที่ปรึกษา รมวศธ. ได้มอบเงินกองทุนช่วยเหลือนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้แก่นักเรียนกลุ่มเปราะปางและกลุ่มเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 จำนวน 10 คน 10 โรงเรียน ได้แก่ รร.อนุบาลแพร่, รร.บ้านนาจักร(จักราษฎร์บำรุง), รร.รัฐราษฎร์บำรุง, รร.บ้านร่องฟอง, รร.บ้านแม่หล่าย(ประชานุสรณ์), รร.บ้านไผ่โทน, รร.บ้านอ้อยวิทยาคาร, รร.อนุบาลเทพสุนทรินทร์, รร.บ้านลู (คัมภีร์ราษฎร์บำรุง) และ รร.บ้านทุ่งแค้ว (คันธวงค์วิทยาคาร)

สำหรับนิทรรศการทางการศึกษา จากหน่วยงานในสังกัดและองค์กรในกำกับ มีดังนี้

  1. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1
  1. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2
  1. สำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดแพร่
    -Fixit Center / ผลิตภัณฑ์ไม้สัก / สถานประกอบการ
  2. สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดแพร่
  1. โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 25 จังหวัดแพร่
  1. ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดแพร่
  1. โรงเรียนแพร่ปัญญานุกูล จังหวัดแพร่
  1. โรงเรียนเอกชนจังหวัดแพร่
  1. สำนักงานคณะกรรมการ สกสค

พบพร ผดุงพล / ข่าว
อินทิรา บัวลอย / ภาพ

ประกาศสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รับส

“ขอฝากให้คณะกรรมการสถานศึกษาช่วยกันผลักดันการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ให้มีความสนุก ทันสมัย และเชื่อมโยงกับชีวิตจริงมากขึ้น เพื่อช่วยพัฒนาความเข้าใจชีวิต ความเป็นมนุษย์ และการเรียนรู้จากอดีต พร้อมสร้างความเข้าใจแก่ผู้ปกครองถึงความสำคัญของวิชาเหล่านี้ ตามแนวปฏิบัติด้านการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ที่ สพฐ. ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งร่วมกันกำหนดแนวทางพัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน ไม่มุ่งเน้นเฉพาะวิชาการ เพราะเด็กแต่ละคนมีความถนัดแตกต่างกัน ทั้งด้านศิลปะ กีฬา หรือทักษะเฉพาะทางอื่น ๆ ในการจัดเวทีให้เด็กทุกกลุ่มได้แสดงศักยภาพอย่างเท่าเทียม”

ความตอนหนึ่งของ ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในการเป็นประธานเปิดงานวิชาการ “ร่วมคิด ร่วมทํา รวมพลังผู้นําการศึกษาและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568

ธรรมนารี ชดช้อย / สรุป
ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / กราฟิก
สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / บรรณาธิการ

“จากการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาและอุปสรรคของพี่น้องข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ผ่านมา การเก็บข้อมูลเชิงวิจัย รวมทั้งการหารือร่วมกับคณะกรรมการในที่ประชุม ได้นำไปสู่การพัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำหรับการประชุมในครั้งนี้ที่ประชุมได้มีมติสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการย้ายข้าราชการครู ซึ่งครูหลายท่านให้ความสนใจ และถือเป็นนโยบายสำคัญที่กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการให้ครูได้ย้ายกลับภูมิลำเนาเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่”

ความตอนหนึ่งของศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 10/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568

ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / กราฟิก
สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / บรรณาธิการ

 

🚨 ระวัง! “Ai หลอก Ai” มิติใหม่ของแก๊งสแกมเมอร์

 
ปัจจุบัน แก๊งสเกมเมอร์ใช้เทคโนโลยี AI ปลอม “ใบหน้าเหยื่อ” ทำคลิปหันหน้า-กะพริบตา-อ้าปาก
หลอกผ่านระบบยืนยันตัวตน (KYC) ของธนาคารและแพลตฟอร์มเงินดิจิทัล‼️
 
⚠️ อันตรายมาก! เพราะเหยื่ออาจถูกสวมรอยเป็นผู้ต้องหาได้โดยไม่รู้ตัว
 
💥เตือนประชาชน💥
– อย่าอัปโหลดหรือส่งคลิปยืนยันตัวตนให้ใครผ่านลิงก์แปลกๆ
– หากพบระบบขอ “ยืนยันตัวตน” ที่น่าสงสัย ให้ตรวจสอบกับธนาคารหรือหน่วยงานโดยตรง
– แชร์เตือนคนรอบข้าง เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของ “Ai หลอก Ai”
 
💻 แจ้งเบาะแสหรือความเสียหายออนไลน์ได้ที่: www.thaipoliceonline.go.th
☎️ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วน 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง
 
 
 
 

‘AI หลอก AI’ กลโกงใหม่ที่อาจทำให้คุณกลายเป็นผู้ต้องหาโดยไม่รู้ตัว

ในยุคดิจิทัลที่ธุรกรรมทางการเงินส่วนใหญ่ทำผ่านช่องทางออนไลน์ การยืนยันตัวตน (KYC – Know Your Customer)
กลายเป็นขั้นตอนมาตรฐานที่สร้างความอุ่นใจให้กับผู้ใช้งาน  ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีธนาคารหรือการใช้แพลตฟอร์มสกุลเงินดิจิทัล 
เราต่างคุ้นเคยกับการถ่ายคลิปวิดีโอเพื่อยืนยันว่าเราคือเจ้าของบัญชีตัวจริง
แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องเรา กลับกลายเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ?
ปัจจุบันได้เกิดภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “AI หลอก AI” ซึ่งแก๊งสแกมเมอร์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อเจาะระบบยืนยันตัวตนที่ใช้ AI เช่นกัน 
บทความนี้จะเจาะลึกถึงกลโกงอันแยบยลนี้ และแนะนำวิธีป้องกันตัวที่คุณสามารถทำได้ทันที
 
มิติใหม่ของกลโกง : “AI หลอก AI” ทำงานอย่างไร?
กลไกหลักของกลโกงนี้คือการที่มิจฉาชีพใช้เทคโนโลยี AI เพื่อสร้างวิดีโอปลอม (Deepfake) จากใบหน้าของเหยื่อ
โดยวิดีโอดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาให้สามารถทำตามคำสั่งของระบบยืนยันตัวตนได้อย่างแนบเนียน
ไม่ว่าจะเป็นการหันหน้าซ้ายขวา การกะพริบตา หรือการอ้าปาก
คลิปวิดีโอปลอมนี้จะถูกนำไปใช้หลอกระบบตรวจสอบและยืนยันตัวตนอัตโนมัติ (KYC) ของสถาบันการเงินและแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล
ทำให้มิจฉาชีพสามารถสวมรอยเปิดบัญชีในชื่อของเหยื่อได้สำเร็จ แม้ว่าเหยื่อจะไม่เคยทำธุรกรรมนั้นด้วยตนเองเลยก็ตาม
 
อันตรายที่มากกว่าเสียเงิน : เมื่อตัวตนของคุณถูกสวมรอยเป็นอาชญากร
ผลกระทบที่น่ากลัวที่สุดของภัยคุกคามนี้ไม่ใช่แค่การสูญเสียทรัพย์สิน แต่คือการที่ตัวตนของคุณถูกขโมยไปใช้ในการกระทำผิดกฎหมาย
เมื่อมิจฉาชีพสวมรอยเปิดบัญชีในนามของคุณได้สำเร็จ บัญชีดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย
เช่น ใช้เป็นช่องทางรับและถ่ายโอนเงินที่ได้จากการก่ออาชญากรรม
สิ่งที่ตามมาคือ คุณอาจกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีอาชญากรรมทางการเงินโดยไม่รู้ตัว
และต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง ซึ่งสร้างความเดือดร้อนและความเสียหายต่อชื่อเสียงอย่างมหาศาล
 
วิธีป้องกันตัวจากภัย “AI หลอก AI” ที่คุณทำได้ทันที
แม้เทคโนโลยีของมิจฉาชีพจะซับซ้อนขึ้น แต่เราสามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยความรอบคอบและปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้
• อย่าอัปโหลดหรือส่งคลิปยืนยันตัวตนให้ใครผ่านลิงก์แปลกๆ : ห้ามส่งวิดีโอที่ใช้ยืนยันตัวตนของคุณให้กับบุคคลอื่น หรืออัปโหลดผ่านลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่ใช่ช่องทางที่เป็นทางการของหน่วยงานนั้นๆ โดยเด็ดขาด
• ตรวจสอบกับหน่วยงานโดยตรงเสมอ : หากคุณได้รับคำขอให้ยืนยันตัวตนผ่านระบบหรือเว็บไซต์ที่ดูน่าสงสัย ให้หยุดทำรายการทันที และติดต่อสอบถามกับธนาคารหรือบริษัทนั้นๆ โดยตรงผ่านช่องทางที่เป็นทางการเพื่อตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
• แชร์ข้อมูลเพื่อเตือนคนรอบข้าง : แบ่งปันข้อมูลและคำเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคาม “AI หลอก AI” นี้ให้กับเพื่อน ครอบครัว และคนรู้จัก เพื่อช่วยกันสร้างความตระหนักรู้และป้องกันไม่ให้มีใครตกเป็นเหยื่ออีก
 
บทสรุป : ก้าวต่อไปในโลกดิจิทัลอย่างเท่าทัน
ภัย “AI หลอก AI” คือเครื่องย้ำเตือนว่าในโลกดิจิทัลที่เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ภัยคุกคามก็พัฒนาตามไปด้วยเช่นกัน
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตั้งคำถามและใช้ความระมัดระวังอยู่เสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลและการยืนยันตัวตน
การเท่าทันกลโกงและปฏิบัติตามหลักความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้เราใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
 
ช่องทางแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือจากตำรวจไซเบอร์
หากคุณสงสัยว่าจะตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือต้องการแจ้งเบาะแส สามารถติดต่อได้ที่หน่วยงานตำรวจไซเบอร์โดยตรง
• แจ้งเบาะแสหรือความเสียหายออนไลน์ : www.thaipoliceonline.go.th
• สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : สายด่วน 1441 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
27 พฤศจิกายน 2568 – ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 10/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ

รมว.ศธ.เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า “จากการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาและอุปสรรคของพี่น้องข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ผ่านมา การเก็บข้อมูลเชิงวิจัย รวมทั้งการหารือร่วมกับคณะกรรมการในที่ประชุม ได้นำไปสู่การพัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำหรับการประชุมในครั้งนี้ที่ประชุมได้มีมติสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการย้ายข้าราชการครู ซึ่งครูหลายท่านให้ความสนใจ และถือเป็นนโยบายสำคัญที่กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการให้ครูได้ย้ายกลับภูมิลำเนาเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่

โดยคณะกรรมการวิเคราะห์ในหลายมิติแล้วเห็นว่าการย้ายข้าราชการครูในครั้งที่ 1 ปี 2569 ที่จะถึงนี้ ให้ระงับการย้ายข้าราชการครูผ่านระบบ TRSตามหลักเกณฑ์ฯ ว 6/2567 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ เดิม หรือ ว 18/2566 มาใช้สำหรับการพิจารณาการย้ายข้าราชการครูไปพลางก่อน เนื่องจากสำนักงาน ก.ค.ศ. และทีมพัฒนาระบบได้ทบทวนและวางแผนดูแล้วว่าระยะเวลาที่จะใช้ในการพัฒนาระบบ TRS ณ ตอนนี้ไปจนถึงรอบการย้ายครั้งที่ 1/2569 มีระยะเวลาเพียงเดือนเศษ อาจทำให้การพัฒนาระบบ TRS เสร็จไม่สมบูรณ์และใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบสมบูรณ์ สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การย้ายที่พัฒนาให้มีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น

เนื่องด้วยระยะเวลาสำหรับการพัฒนาระบบย้ายข้าราชการครู TRS นั้น มีความจำกัดอย่างมาก (เพียง 1 เดือนเศษ ระหว่างเดือนธันวาคม 2568 ถึงเดือนมกราคม 2569) ซึ่งอาจทำให้ระบบ TRS ไม่สามารถพัฒนาได้สมบูรณ์และใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพในการย้ายครั้งที่ 1 ประจำปี 2569 ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการย้ายข้าราชการครูเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเพื่อให้มีระยะเวลาในการพัฒนาระบบ TRS ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงมีมติระงับการใช้ระบบ TRS (ตามหลักเกณฑ์ฯ ว 6/2567 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เป็นการชั่วคราว โดยให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายเดิม (ว 18/2566) มาใช้สำหรับการพิจารณาการย้ายข้าราชการครูในครั้งถัดไป (มกราคม 2569) ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกำหนดปฏิทินและรายละเอียดตามหลักเกณฑ์ ว 18/2566 เพื่อให้มีผลใช้บังคับกับการย้ายรอบถัดไป (มกราคม 2569 เป็นต้นไป)

ทั้งในเรื่องของตำแหน่งว่าง จากเดิมที่ให้ระบุได้เพียง 1 วิชาเอกต่อ 1 อัตราว่าง ปรับเป็นสามารถระบุวิชาเอกได้สูงสุด 3 วิชาเอกต่อ 1 อัตราว่าง เพื่อความยืดหยุ่นในการพิจารณาย้าย รวมถึงการขยายพื้นที่ในการเลือกยื่นคำร้องขอย้าย โดยให้สามารถเลือกในสถานศึกษาใด ๆ ก็ได้ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอื่นในจังหวัดเดียวกัน และถึงแม้ว่าจะใช้หลักเกณฑ์เดิมชั่วคราว แต่ยังคงกำชับให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงความโปร่งใส เป็นธรรมในการดำเนินการทุกขั้นตอน และการอำนวยความสะดวกให้กับครูที่ต้องการขอย้ายให้มากที่สุด

“การลงพื้นที่เพื่อรับฟังเสียงของพี่น้องครูในแต่ละภูมิภาคที่ผ่านมา ทำให้เราได้เข้าใจถึงบริบทการจัดการเรียนการสอน การบริหารจัดการ และความต้องการที่แท้จริงของครู ซึ่งในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันทั้งด้านทรัพยากร บริบทแวดล้อม และความท้าทายในการจัดการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงมุ่งเน้นการขับเคลื่อนนโยบายที่ตอบโจทย์การปฏิบัติงานจริง โดยยืนยันที่จะพัฒนาระบบบริหารบุคลากรของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ทันสมัย มีความยืดหยุ่น ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน เพื่อร่วมกันยกระดับการศึกษาของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป” รมว.ศธ. กล่าว

เลขาธิการ ก.ค.ศ. นายธนู ขวัญเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้ สำนักงาน ก.ค.ศ. จะประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการ แนวปฏิบัติ ข้อกำหนดและเงื่อนไข รายละเอียด องค์ประกอบ ตัวชี้วัด รวมทั้งปฏิทินการย้ายข้าราชการครูฯ เพื่อเป็นฐานรองรับในการพัฒนาระบบ TRS ต่อไป การนำ ว 18/2566 มาใช้ในการย้ายรอบที่ 1 ของปี 2569 นี้ ก็เพื่อให้การดำเนินการย้ายไม่ติดขัดในระหว่างกระบวนการพัฒนาระบบ TRS ระยะที่ 3 และเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับข้าราชการครูให้สามารถยื่นคำร้องขอย้ายได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ก.ค.ศ. ยังได้เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เพื่อใช้ในการบรรจุและแต่งตั้งฯ ครูผู้ช่วยที่มีศักยภาพ มีพื้นฐานความรู้ เข้าใจและเห็นความสำคัญของการจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่อไป

สุกัญญา จันทรสมโภชน์ : ข่าว – กราฟิก

ศุภณัฐ วัฒนมงคลลาภ : ภาพ

ข้อมูล : สำนักงาน ก.ค.ศ.

ภาพเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/share/p/17oG39Gph4/?mibextid=wwXIfr

27 พฤศจิกายน 2568 – ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) เป็นประธานเปิดงานวิชาการ “ร่วมคิด ร่วมทํา รวมพลังผู้นําการศึกษาและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร

โดยมี นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี ว่าที่เลขาธิการ กพฐ. นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร รองปลัด ศธ. ผู้บริหารระดับสูง ศธ. ข้าราชการ คณะครู และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม

รมว.ศธ. กล่าวว่า ขอฝากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจากทั่วประเทศ ร่วมกันขับเคลื่อนและยกระดับคุณภาพการศึกษาให้เป็นรูปธรรม ตามข้อสั่งการของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งต้องอาศัยพลังร่วมจากทุกภาคส่วน อย่างเช่นเรื่องการนำ AI มาใช้สนับสนุนการจัดการเรียนการสอน ที่จำเป็นต้องมีนโยบายด้าน AI ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและจริยธรรม ซึ่งกระทรวงได้เร่งอบรมครูให้รู้เท่าทันการใช้ AI แล้วกว่า 1,500 คน เพื่อถ่ายทอดความรู้สู่ผู้เรียนกว่า 45,000 คนทั่วประเทศ ทั้งนี้ การขับเคลื่อนให้เกิดผลต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้บริหารและคณะกรรมการสถานศึกษาฯ เพื่อให้สามารถป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดกับครูและนักเรียนได้อย่างรอบด้าน

“ขอฝากให้คณะกรรมการสถานศึกษาช่วยกันผลักดันการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ให้มีความสนุก ทันสมัย และเชื่อมโยงกับชีวิตจริงมากขึ้น เพื่อช่วยพัฒนาความเข้าใจชีวิต ความเป็นมนุษย์ และการเรียนรู้จากอดีต พร้อมสร้างความเข้าใจแก่ผู้ปกครองถึงความสำคัญของวิชาเหล่านี้ ตามแนวปฏิบัติด้านการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ที่ สพฐ. ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งร่วมกันกำหนดแนวทางพัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน ไม่มุ่งเน้นเฉพาะวิชาการ เพราะเด็กแต่ละคนมีความถนัดแตกต่างกัน ทั้งด้านศิลปะ กีฬา หรือทักษะเฉพาะทางอื่น ๆ ในการจัดเวทีให้เด็กทุกกลุ่มได้แสดงศักยภาพอย่างเท่าเทียม” รมว.ศธ. กล่าว

สำหรับงานการจัดงานในครั้งนี้ นับเป็นกิจกรรมสำคัญในการขับเคลื่อนและยกระดับทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 รวมถึงนโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ปี 2568–2569 โดยมุ่งสร้างความเข้าใจบทบาทคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เสริมพลังความร่วมมือกับสถานศึกษา เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนแนวคิด “ร่วมคิด ร่วมทำ รวมพลัง” พร้อมจัดนิทรรศการสะท้อนผลการขับเคลื่อนนโยบายของ สพฐ.

ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมจากเขตพื้นที่การศึกษา 245 เขต โรงเรียน 29,005 แห่ง คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 275,877 คน ครูและผู้ปกครองทั่วประเทศกว่า 410,000 คน สะท้อนพลังเครือข่ายการศึกษาไทยที่พร้อมเดินหน้าปฏิรูปสู่อนาคตอย่างเป็นรูปธรรม

ธรรมนารี ชดช้อย/ ข่าว-กราฟิก
ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า/ ภาพ
ปวีณา ดาคำ/ วิดีโอ

ประกาศ สป. ลว 26 พ.ย. 68

กระทรวงศึกษาธิการ – 27 พฤศจิกายน 2568 / ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ครั้งที่ 12/2568 โดยมีนายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการ กอศ. รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ สกศ. นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ. นายธนู ขวัญเดช เลขาธิการ ก.ค.ศ. นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการ กช. นางอมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการ คส. ตลอดจนผู้บริหาร ศธ. ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการฯ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมราชวัลลภ และระบบออนไลน์ Zoom Meeting

รมว.ศธ. เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ มีการพิจารณาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้

เห็นชอบการรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพ

1. ให้การรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา จำนวน 17 แห่ง รวมจำนวน 40 หลักสูตร

– ปริญญาตรีทางการศึกษา (หลักสูตร 4 ปี) จำนวน 32 หลักสูตร ประกอบด้วย 1) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 2) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 3) มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี 4) มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช 5) มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด 6) มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จังหวัดลำปาง 7) มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จังหวัดราชบุรี 8) มหาวิทยาลัยรามคำแห่ง กรุงเทพมหานคร 9) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กรุงเทพมหานคร 10) วิทยาลัยสันตพล จังหวัดอุดรธานี และ 11) สถาบันสารสาสน์เทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ

– ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู จำนวน 6 หลักสูตร ประกอบด้วย 1) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร กรุงเทพมหานคร 2) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 3) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กรุงเทพมหานคร 4) มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ กรุงเทพมหานคร 5) มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร และ 6) วิทยาลัยนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา

– ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพครู) จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยนานาชาติเซนต์เทเรซา จังหวัดนครนายก

– ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพบริหารการศึกษา) จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่ วิทยาลัยสันตพล จังหวัดอุดรธานี

2. ให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา ที่คุรุสภาให้การรับรองแล้ว โดยเปลี่ยนแปลงแผนการรับนักศึกษา จำนวน 4 แห่ง รวมจำนวน 5 หลักสูตร ประกอบด้วย 1) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม 2) มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 3) มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก และ 4) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ทั้งนี้สามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ksp.or.th หัวข้อ ตรวจสอบรายชื่อสถาบันผลิตครูที่คุรุสภารับรอง

เห็นชอบการรับรองผลการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู

ด้านการปฏิบัติงานและการปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพครู ครั้งที่ 11/2568 ของผู้ผ่านเกณฑ์การประเมินฯ จำนวน 607 คน โดยเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างศึกษาในหลักสูตรปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา จำนวน 606 คน ประกอบด้วย 1) หลักสูตรปริญญาตรีทางการศึกษา จำนวน 284 คน 2) หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู จำนวน 321 คน และ 3) หลักสูตรปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพครู) จำนวน 1 คน ผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรปริญญาอื่นที่ผ่านการรับรองความรู้ จำนวน 1 คน และมอบสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

เห็นชอบการรับรองผลการเทียบเคียงผลการทดสอบสมรรถนะทางวิชาชีพครู

ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครู ครั้งที่ 5/2568 จำนวน 2 คน ประกอบด้วย 1) กลุ่มวิชาภาษาจีน จำนวน 1 คน และ 2) กลุ่มวิชาภาษาอังกฤษ จำนวน 1 คน และมอบสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

เห็นชอบให้กลุ่มบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) หรือเรียกชื่ออย่างอื่น เข้ารับการอบรมในหลักสูตรอบรมมาตรฐานความรู้วิชาชีพครู (KSP 7Module) ของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา

เพื่อเข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และต่อยอดสู่การขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้บริหารการศึกษาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเข้ารับการอบรมในหลักสูตรอบรมมาตรฐานความรู้วิชาชีพครู สำหรับผู้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพควบคุมเป็นการชั่วคราว และเมื่อได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูแล้ว ให้เข้ารับการพัฒนาในหลักสูตรพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้บริหารการศึกษาของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และเข้าสู่กระบวนการได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา หรือผู้บริหารการศึกษา และมอบสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
ศุภณัฐ วัฒนมงคลลาภ / ภาพ

ภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1ExCwg2CUN/

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ศาสตราจารย์ ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ร่วมหารือทวิภาคีกับ Mr. Andreas Schneider ผู้อำนวยการด้านการศึกษาและทักษะ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าในความร่วมมือด้านการศึกษาและแนวทางสนับสนุนประเทศไทยในช่วงการขอเข้าเป็นสมาชิก OECD

ศาสตราจารย์ ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวขอบคุณ OECD ที่ได้ให้การสนับสนุนประเทศไทยในการดำเนินงานด้านการศึกษาอย่างดี ทำให้ประเทศไทยได้แสดงศักยภาพในการผลักดันตนเองให้เข้าเป็นสมาชิก OECD ทั้งนี้ การดำเนินงานของไทยยังจำเป็นต้องเรียนรู้จาก OECD และประเทศสมาชิกอื่น ๆ เพื่อให้สามารถพัฒนาได้ตามมาตรฐานนานาชาติต่อไป

“OECD ชื่นชมการเตรียมความพร้อมของไทยทั้งในกระบวนการ Education Technical Review และการพัฒนาภาคการศึกษา ซึ่งอยู่ “บนเส้นทางที่ถูกต้อง” ไทยเป็นพันธมิตรที่มีความเข้มแข็ง พร้อมเปิดโอกาสให้ไทยส่งข้อมูลสำหรับจัดทำรายงาน OECD Digital Education Outlook รวมถึงทำงานร่วมกันในการพัฒนาแบบประเมิน AI Literacy ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

รองศาสตราจารย์ธีระเดช เจียรสุขสกุล ผู้อํานวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ได้รายงานความก้าวหน้าการพัฒนาหลักสูตร AI แห่งชาติ จาก “การเรียนรู้เกี่ยวกับ AI” สู่ “การเรียนรู้ด้วย AI” รวมถึงการเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ของ OECD เช่น PISA และการทำงานร่วมกับโครงการวิจัยนานาชาติในด้านนวัตกรรมการศึกษา

นายปานเทพ ลาภเกษร ผู้อำนวยการกลุ่มความร่วมมือพหุภาคี สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวถึงการดำเนินงานระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและ OECD ที่ต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 อาทิ การจัดทำ Education Policy Review ทั้งนี้ เสนอแนะให้มีการเน้นการพัฒนาระบบประเมินคุณภาพการศึกษา และการยกระดับระบบทดสอบแห่งชาติ

ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเดินหน้าความร่วมมือ ทั้งด้านหลักสูตร นวัตกรรมการศึกษา
ระบบข้อมูล และการประเมินคุณภาพ เพื่อยกระดับระบบการศึกษาของไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากลและสนับสนุนการเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD อย่างมีประสิทธิภาพ

📌 รูปภาพเพิ่มเติม

พบพร ผดุงพล / กราฟิก
คณะทำงาน รมว.ศธ. / ภาพ , ข่าว

26 พฤศจิกายน 2568 / นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำ (ร่าง) สาระสำคัญของแผนปฏิบัติราชการ และ (ร่าง) การทบทวนเป้าหมายการให้บริการของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยมีนายสุรชัย คุ้มสมบัติ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สป. ผู้แทนจากองค์กรหลักและหน่วยงานในกำกับที่รับผิดชอบการทำแผนและงบประมาณ ตลอดจนวิทยากรจากสำนักงบประมาณ ให้การต้อนรับและเข้าร่วม ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพมหานคร

รองปลัด ศธ. กล่าวว่า การจัดทำแผนและงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ ต้องอาศัยการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ทั้งองค์กรหลัก และองค์กรในกำกับ สิ่งสำคัญที่สุดคือความร่วมมือของทุกทุกหน่วยงาน เพราะ “พวกเราคือเสนาธิการของกระทรวงศึกษาธิการ” ที่ร่วมกันวางแผนการทำงาน เพราะกำหนดยุทธศาสตร์และการบริหารจัดการที่ดี จะขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุความสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้ผู้รับผิดชอบการจัดทำแผนและงบประมาณ รวมถึงงานติดตามและประเมินผล สามารถจัดทำกรอบแนวทางการดำเนินงาน ตลอดจนทบทวนและปรับปรุงเป้าหมายการให้บริการของกระทรวงฯ เพื่อประกอบการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ การดำเนินงานด้านการจัดทำแผนจำเป็นต้องตอบโจทย์ด้านยุทธศาสตร์ของกระทรวงฯ พวกเราทุกคนมีความสำคัญสำหรับทุกหน่วยงาน และทุกหน่วยงานล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้น ทั้งในส่วนขององค์กรหลัก องค์กรในกำกับ และองค์การมหาชน ซึ่งต่างมีบทบาทและฟังก์ชันที่หลากหลาย จึงต้องบูรณาการการทำงานให้เป็นทิศทางเดียวกันของกระทรวงศึกษาธิการ

ภารกิจหลักสำคัญคือ “งานนโยบายและแผน และงานงบประมาณ” ที่ต้องร่วมบูรณาการและขับเคลื่อนไปพร้อมกัน และต้องมีเป้าหมายในการจัดทำแผนเพื่อให้สอดคล้องตามเป้าหมายแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561-2580) ด้านการศึกษา แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ รวมถึงแผนการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ของกระทรวงศึกษาธิการ และการจัดทำเป้าหมายการให้บริการของกระทรวงศึกษาธิการ

การจัดทำแผนประจำปีต้องสามารถตอบโจทย์การดำเนินงานและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ จึงต้องมีการวางแผนเชื่อมโยงตั้งแต่แผนระยะสั้น แผนระยะกลาง ไปสู่แผนระยะยาว โดยการนำทฤษฎีสู่การปฏิบัติเป็นหัวใจสำคัญ นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการจะต้องต่อยอดสู่หน่วยงานผ่านแนวคิด “หนึ่งนโยบาย หลากหลายการปฏิบัติ” เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่กำหนด

การจัดทำแผนปี 2570 นั้น จำเป็นต้องมองย้อนถึงผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เพื่อเรียนรู้ทั้งจุดแข็งและข้อจำกัด พร้อมทั้งวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและความท้าทายในปีถัดไป เปรียบเสมือนการ “ย้อนอดีต มองปัจจุบัน วาดฝันอนาคต” เพื่อให้เห็นภาพรวมของการพัฒนาอย่างชัดเจน การวางแผนที่ดีจะช่วยให้ทุกหน่วยงานสามารถกำหนดภารกิจและกิจกรรมที่ตอบโจทย์งานของกระทรวงได้อย่างเหมาะสม และช่วยให้การจัดทำคำของบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายของกระทรวง เป็นกรอบสำคัญที่ใช้ในการกำหนดทิศทางการพัฒนาและขับเคลื่อนงานของทุกหน่วยงาน การสรุปประเด็นและแนวทางดำเนินงานให้ชัดเจน จะช่วยให้แผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 และเป้าหมายการให้บริการของกระทรวงศึกษาธิการมีความเป็นเอกภาพ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในทุกระดับ เมื่อทิศทางชัดเจน การขับเคลื่อนงานก็จะง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ทุกหน่วยงานมีบริบทการทำงานและบุคลากรที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะ “นักวางแผน” ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่แปลงนโยบายสู่แผนงานและโครงการที่ปฏิบัติได้จริง นักวางแผนคือกำลังหลักที่ช่วยให้การดำเนินงานของกระทรวงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และนำพาภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการและของประเทศไปสู่ความสำเร็จตามที่ตั้งไว้”

ในการนี้สำนักงบประมาณได้ให้เกียรติกระทรวงศึกษาธิการ ส่งวิทยากร นางสาวสัมพันธ์ บัวสังข์ นักวิเคราะห์งบประมาณชำนาญการพิเศษ และนางสาวปานจิตต์ พิชิตกุล นักวิเคราะห์งบประมาณชำนาญการ มาบรรยายให้ความรู้ในเรื่อง “กรอบแนวทางการปรับปรุง ทบทวนเป้าหมายการให้บริการ ผลผลิต/โครงการ ตัวชี้วัดผลสำเร็จ ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานรับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2570

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
อินทิรา บัวลอย / ภาพ

26 พฤศจิกายน 2569 – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เขตตรวจราชการที่ 14 (กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ได้แก่ อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ) พร้อมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สู่การปฏิบัติ” โดยมี นายสมใจ วิเศษทักษิณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (หน.ผตร.) ผู้รับผิดชอบเขตตรวจราชการที่ 14 ร่วมดำเนินการประชุมและบรรยายพิเศษ หัวข้อ “ทิศทางการดำเนินงาน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 สู่การปฏิบัติ” ณ ห้องประชุมสนั่น อินทรประเสริฐ กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Online (Zoom Meeting)

โดยก่อนเริ่มประชุมผู้เข้าร่วมประชุมได้ยืนสงบนิ่ง เป็นเวลา 1 นาที เพื่อถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

การประชุมครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 3,000 คน ผ่านระบบ Online ประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ศึกษาธิการภาค 14, ศึกษาธิการจังหวัด, หัวหน้าหน่วยงานทางการศึกษา, ผู้บริหารสถานศึกษา, ครู และบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดทั้ง 4 จังหวัด วัตถุประสงค์หลักของการประชุมคือ เพื่อสื่อสาร สร้างการรับรู้ และสร้างความเข้าใจให้บุคลากรทางการศึกษานำนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง

ในการบรรยายพิเศษ ที่ปรึกษา รมว.ศธ. ได้เน้นย้ำประเด็นสำคัญหลายด้านเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญสู่การปฏิบัติในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 14 ได้แก่

ทั้งนี้ ที่ปรึกษา รมว.ศธ. ได้กล่าวขอบคุณและส่งกำลังใจให้กับครู ผู้บริหาร และบุคลากรทุกระดับ โดยย้ำว่ากระทรวงพยายามแก้ไขปัญหาและสนับสนุนเพื่อให้ทุกคนสามารถพัฒนาผู้เรียนได้อย่างมีคุณภาพ

ในโอกาสนี้ นายสมใจ วิเศษทักษิณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และรักษาการศึกษาธิการภาค 14 ได้ดำเนินการประชุม ชื่นชมการดำเนินงานของทุกหน่วยงานในเขตตรวจราชการที่ 14 ที่ทุ่มเทพัฒนาการศึกษาอย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องปรับตัวกับบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี โดยให้ที่ประชุมร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เสนอความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ และผลักดันนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการให้เกิดผลสัมฤทธิ์เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน พัฒนาครู และสร้างระบบการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศชาติ ซึ่งนโยบายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 คือ

พร้อมกำชับให้แนวทางการตรวจราชการครั้งนี้ตามหลักการ “ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด” เน้น คุณภาพผู้เรียน สอนให้นักเรียนเป็นคนดีและเป็นคนเก่ง ทำงานแบบบูรณาการในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายทางการศึกษาเดียวกัน เปรียบเสมือนการบรรเลงวงออร์เคสตรา ที่เครื่องดนตรีแต่ละชิ้น (แต่ละหน่วยงาน) แม้จะมีบทบาทแตกต่างกัน แต่เมื่อผู้ควบคุมวง (ทีมนักการศึกษา) นำมาประสานเสียงร่วมกัน ก็จะสร้างผลงานที่มีคุณภาพที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นศิลปินเดี่ยว คือการทำงานเป็นทีมย่อมทรงพลัง เพราะเป็นการผนึกจุดแข็ง ทักษะ และความเชี่ยวชาญที่หลากหลายของแต่ละบุคคลเข้าด้วยกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / ข่าว
ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า / ภาพ


Top Mourning Ribbon