“หัวใจสำคัญ คือ การบูรณาการให้สอดคล้องกับภารกิจปกติ ไม่แยกส่วนจนเป็นภาระงานเพิ่ม หากสามารถผสานโครงการเข้ากับหลักสูตรรายวิชาได้อย่างกลมกลืน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยการบูรณาการควรเป็นเนื้อเดียวกันทั้งระบบ เปรียบเสมือน “ขนมเค้ก” ไม่ใช่ “ขนมชั้น” ที่แยกส่วนเป็นลำดับ”
ความตอนหนึ่งของ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ สนองพระราชดำริ ของกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 2/2568 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Zoom Meeting) วันที่ 19 ธันวาคม 2523
ธรรมนารี ชดช้อย / สรุป
ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / ภาพ
สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / บรรณาธิการ
19 ธันวาคม 2568 – นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานนการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ สนองพระราชดำริ ของกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 2/2568 โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานทางการศึกษาที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุมจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Zoom Meeting)
ปลัด ศธ. กล่าวว่า โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ สนองพระราชดำริ ของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นโครงการในพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ที่มุ่งบูรณาการการอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุกรรมควบคู่กับการจัดการศึกษา จึงจำเป็นต้องดำเนินงานอย่างรอบคอบ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไม่เป็นเพียงแผนงานบนกระดาษ โดยกำหนดเป้าหมายระยะยาวให้สถานศึกษาทุกแห่งเข้าร่วมโครงการ และวางแผนเพิ่มสัดส่วนการดำเนินงานในแต่ละปีอย่างเป็นขั้นตอน สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการประจำปี
ควรพิจารณาบูรณาการโครงการเข้าสู่หลักสูตรหรือกิจกรรมเสริมหลักสูตร พร้อมวางแผนการวัดและประเมินผลอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มต้นจากการสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้บริหาร ก่อนขยายผลไปสู่นักเรียน ผ่านการเชิญชวนด้วยความสมัครใจ ให้เห็นถึงประโยชน์ของโครงการ และเปิดโอกาสให้ทุกสถานศึกษาเข้าร่วมอย่างทั่วถึง เพื่อให้การขับเคลื่อนโครงการเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
หัวใจสำคัญ คือ การบูรณาการให้สอดคล้องกับภารกิจปกติ ไม่แยกส่วนจนเป็นภาระงานเพิ่ม หากสามารถผสานโครงการเข้ากับหลักสูตรรายวิชาได้อย่างกลมกลืน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยการบูรณาการควรเป็นเนื้อเดียวกันทั้งระบบ เปรียบเสมือน “ขนมเค้ก” ไม่ใช่ “ขนมชั้น” ที่แยกส่วนเป็นลำดับ
โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของกระทรวงศึกษาธิการ ในหลักการ แต่ขอให้ปรับแผนให้ชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเสนอให้เพิ่มเป้าหมายการดำเนินงานจากเดิมร้อยละ 9 เป็นอย่างน้อยร้อยละ 20 ของแต่ละหน่วยงาน พร้อมให้ทุกหน่วยจัดทำแผนยุทธศาสตร์และกำหนดตัวชี้วัด (KPI) ที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบร่างเค้าโครงแผนปฏิบัติการโครงการฯ ระยะ 5 ปีที่แปด (1 ตุลาคม 2569 – 30 กันยายน 2574) โดยเน้นการสร้างความตระหนักรู้เป็นจุดเริ่มต้น กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และให้ส่วนกลางมีบทบาทในการสนับสนุน กำหนดนโยบาย และเปิดโอกาสให้หน่วยงานขับเคลื่อนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับภาคการศึกษา ซึ่งเป็นพระราชปณิธานด้านการศึกษาของพระองค์ท่าน
ปลัด ศธ. ย้ำว่า แผนงานต้องสามารถปฏิบัติได้จริง วัดผลได้ทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ และสามารถรายงานผลได้อย่างชัดเจน พร้อมขอให้ทุกหน่วยทบทวนเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของโครงการให้เข้าใจตรงกันทั้งองค์กร เริ่มจากผู้บริหาร ขยายผลสู่บุคลากรและนักเรียน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนทั้งสถานศึกษา โดยย้ำว่าโครงการไม่ใช่งานเพิ่ม แต่เป็นการเสริมศักยภาพการจัดการศึกษา และสามารถบูรณาการเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบ รายงานผลการดำเนินงานสนองพระราชดำริ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และรับทราบข้อมูลโรงเรียน/สถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่สมัครเป็นสมาชิกสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
ธรรมนารี ชดช้อย / ข่าว – กราฟิก
อินทิรา บัวลอย / ภาพ
ภาพเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/share/p/1Bt3VgXPjW/?mibextid=wwXIfr
เผยกลโกงมิจฉาชีพสายพันธุ์ใหม่ สั่งวางของมีค่าตาม GPS
หลายคนคงคุ้นเคยกับภัยคุกคามจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรมาหลอกลวงให้โอนเงินจนหมดบัญชี แต่คุณทราบหรือไม่ว่าในวันนี้ ภัยร้ายเหล่านี้ได้พัฒนากลยุทธ์ไปอีกขั้น จนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
รูปแบบการหลอกลวงที่เคยรู้จักได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้มิจฉาชีพไม่ได้ต้องการแค่เงินในบัญชีธนาคารของคุณอีกต่อไป แต่พวกมันต้องการทรัพย์สินมีค่าที่คุณครอบครอง บทความนี้จะเปิดเผยกลโกง “สายพันธุ์ใหม่” ที่น่ากลัวกว่าเดิม ซึ่งคุณจำเป็นต้องรู้เท่าทันเพื่อป้องกันตัวเองและคนที่คุณรัก
พัฒนาการของกลโกง : จากการโอนเงินสู่การทิ้งทรัพย์สิน
ข่มขู่ให้กลัวสุดขีดและสั่งให้โอนเงิน
กลโกงยังคงเริ่มต้นด้วยรูปแบบคลาสสิก มิจฉาชีพจะโทรศัพท์เข้ามาและอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ โดยใช้หลักจิตวิทยาที่รุนแรงเพื่อหลอกให้คุณตกใจกลัว เป้าหมายแรกของพวกมันยังคงเป็นการหลอกลวงให้คุณโอนเงินทั้งหมดในบัญชีเพื่อ “ตรวจสอบ” ซึ่งเป็นวิธีการที่หลายคนเคยได้ยินและรับรู้มาก่อน
กลโกงขั้นกว่า สั่งให้นำของมีค่าไปทิ้งตาม GPS
นี่คือส่วนที่กลโกงได้วิวัฒนาการไปจนน่าขนลุก หลังจากหลอกให้โอนเงินแล้ว มิจฉาชีพจะไม่หยุดเพียงเท่านั้น แต่จะยกระดับการข่มขู่ไปอีกขั้น
• สั่งรวบรวมทรัพย์สิน : พวกมันจะข่มขู่ให้คุณรวบรวมทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดที่มีในบ้าน เช่น ทองคำ เพชร หรือของมีค่าอื่นๆ
• สั่งให้แพ็คของ : จากนั้นจะสั่งให้นำของมีค่าทั้งหมดใส่ลงในกระเป๋าเดินทาง หรือกล่องพัสดุ
• สั่งให้นำไปทิ้ง : ขั้นตอนสุดท้ายคือการสั่งให้นำกระเป๋าเดินทางที่บรรจุสมบัติทั้งหมด ไปวางไว้ตามจุดที่มันส่งพิกัด GPS มาให้
กลยุทธ์นี้น่ากลัวเป็นพิเศษ เพราะมันยกระดับอาชญากรรมจากโลกดิจิทัลมาสู่โลกกายภาพ โดยบีบให้เหยื่อต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการปล้นทรัพย์สินของตัวเอง การที่ต้องลงมือเก็บสมบัติล้ำค่าใส่กระเป๋าและนำไปวางทิ้งด้วยตนเองนั้น สร้างบาดแผลทางจิตใจที่รุนแรงและก่อให้เกิดความรู้สึกละเมิดและสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด กลยุทธ์ “ส่งของโจร” นี้เปลี่ยนเหยื่อให้กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดโดยไม่เต็มใจในการส่งมอบสมบัติทั้งหมดของตนเอง
ขั้นสุดท้าย : ตัดการสื่อสารและสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด
ทันทีที่คุณหลงเชื่อและนำกระเป๋าไปวางไว้ตามจุดที่นัดหมาย เมื่อของถึงมือโจรแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาคือการตัดการสื่อสารทั้งหมด มิจฉาชีพจะบล็อกเบอร์โทรศัพท์และช่องทางการติดต่อของคุณทันที ทำให้คุณสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดไปตลอดกาลโดยไม่สามารถติดตามกลับคืนมาได้
ตั้งสติและป้องกัน จะทำอย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์นี้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโทรศัพท์ที่น่าสงสัยและสถานการณ์บีบคั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการมี “สติ” และจดจำหลักการป้องกันตัวง่ายๆ แต่ได้ผลที่สุด
สิ่งที่คุณควรทำมีเพียงอย่างเดียวคือ ตั้งสติ แล้ววางสายทันที
ภัยจากมิจฉาชีพมีการพัฒนารูปแบบและกลยุทธ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ความโหดเหี้ยมของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง การตระหนักรู้และรู้เท่าทันจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
เปิดกลโกง “รักออนไลน์ ชวนเทรดทอง” ที่คุณต้องรู้ทัน
ในยุคที่การเชื่อมต่อเกิดขึ้นได้เพียงปลายนิ้ว หลายคนมองหาความสัมพันธ์และมิตรภาพผ่านโลกออนไลน์ แต่ในมุมมืดของความสะดวกสบายนี้ มิจฉาชีพได้พัฒนากลยุทธ์ที่ซับซ้อนเพื่อใช้ความเหงาและความไว้ใจเป็นอาวุธ ในปฏิบัติการที่รู้จักกันในชื่อ “รักออนไลน์ ชวนลงทุน” ซึ่งกำลังสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล บทความนี้จะทำการวิเคราะห์และถอดรหัสกลยุทธ์ของมิจฉาชีพทีละขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างความสัมพันธ์เชิงจิตวิทยาไปจนถึงการวางกับดักทางเทคโนโลยี พร้อมมอบเกราะป้องกันที่ชัดเจนตามคำเตือนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้คุณรู้เท่าทันและปกป้องตนเองจากเครือข่ายอาชญากรรมนี้
กลลวงขั้นที่ 1 : สร้างโปรไฟล์หรู ปูทางสู่ความไว้ใจ
จุดเริ่มต้นของปฏิบัติการคือการสร้างตัวตนปลอมบนโลกออนไลน์ มิจฉาชีพจะคัดสรรรูปภาพของบุคคลที่ดูดี มีฐานะทางการเงินที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างโปรไฟล์ที่ดึงดูดความสนใจของเป้าหมาย
จากนั้น กระบวนการหล่อหลอมความไว้ใจจะเริ่มต้นขึ้น พวกเขาจะเข้ามาตีสนิท พูดคุยในเชิงชู้สาวอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ขั้นตอนนี้ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลเพื่อค่อยๆ ทลายกำแพงป้องกันของเหยื่อ ทำให้เหยื่อรู้สึกเชื่อใจและเปิดรับอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่สถาปัตยกรรมของกลโกงในขั้นต่อไป
กลลวงขั้นที่ 2 : ชวนลงทุนกำไรงาม สู่แอปปลอม
เมื่อความไว้ใจถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ มิจฉาชีพจะเริ่มเปิดฉากชักชวนให้ลงทุน โดยใชเหยื่อล่อคือ “เทรดทองคำ กำไรสูง” ซึ่งเป็นการการันตีผลตอบแทนที่สูงเกินจริงในเวลาอันสั้นเพื่อกระตุ้นความโลภและจูงใจให้เหยื่อมองข้ามความเสี่ยง
จากนั้น พวกเขาจะส่งลิงก์สำหรับดาวน์โหลดแอปพลิเคชันปลอมโดยตรง ซึ่งเป็นแอปที่ไม่มีทางหาเจอได้บน App Store หรือ Play Store ที่เป็นทางการ แอปพลิเคชันนี้ถูกออกแบบให้ดูน่าเชื่อถือ มีหน้าตาเหมือนแพลตฟอร์มเทรดจริงทุกประการ และที่สำคัญที่สุดคือ มันจะ “แสดงกำไรลวง” ในช่วงแรกเพื่อสร้างความมั่นใจและกระตุ้นให้เหยื่อลงทุนด้วยเงินจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ วงจรของการลงทุนเพิ่มและเห็นกำไรปลอมจะดำเนินต่อไปจนกระทั่งเหยื่อพยายามถอนเงินออกมา ณ จุดนั้นเองที่ความจริงอันโหดร้ายจะถูกเปิดเผย
สุดท้าย! สูญเสียเงินทั้งหมด
เบื้องหลังการสูญเงิน : เส้นทางเงินที่ซับซ้อนและรวดเร็ว
สิ่งที่ทำให้การติดตามเงินของเหยื่อกลับคืนมาเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง คือสถาปัตยกรรมเส้นทางการเงินที่เครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้วางแผนมาอย่างดี ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลักที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
1. โอนเงินผ่านบัญชีม้าหลายทอด เงินของเหยื่อจะถูกกระจายและโอนผ่านบัญชีธนาคารของผู้อื่น หรือที่เรียกว่า “บัญชีม้า” เพื่อสร้างความสับสนและหลบเลี่ยงการตรวจสอบ
2. แปลงเป็นเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) เงินจะถูกแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีคุณสมบัติที่ทำให้การติดตามเส้นทางเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
3. เปลี่ยนกลับเป็นเงินสด ส่งต่อให้หัวหน้าขบวนการต่างชาติ ในขั้นตอนสุดท้าย เงินดิจิทัลจะถูกเปลี่ยนกลับเป็นเงินสดและส่งต่อไปยังตัวการใหญ่ของขบวนการซึ่งมักอยู่ในต่างประเทศ
กระบวนการที่เป็นระบบนี้ยืนยันว่านี่ไม่ใช่การกระทำของคนเพียงคนเดียว แต่เป็นปฏิบัติการขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่วางแผนมาอย่างรัดกุม แม้กลโกงจะซับซ้อน แต่การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ไล่ตามเครือข่ายเหล่านี้เช่นกัน โดยล่าสุด ตำรวจสืบสวนสอบสวนกลาง (CIB) ได้เข้าจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการนี้ได้ พร้อมตรวจยึดของกลางเป็นเงินสด ทองคำรูปพรรณ และรถยนต์หรูจำนวนมาก การจับกุมครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่ากลโกงเหล่านี้คืออาชญากรรมที่เกิดขึ้นจริง และมีผลกระทบที่รุนแรง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามของเจ้าหน้าที่ในการหยุดยั้งความเสียหายและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
เกราะป้องกัน : “4 ไม่” หยุดมิจฉาชีพ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สรุปแนวทางป้องกันตนเองเป็นกฎเหล็ก 4 ข้อที่ทุกคนควรจำให้ขึ้นใจ เพื่อสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง
• ไม่เชื่อ : อย่าหลงเชื่อคำชวนลงทุนที่การันตีผลตอบแทนสูงเกินจริง เช่น การเทรดทองคำที่อ้างว่าได้กำไรมหาศาลในเวลาสั้นๆ การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยงและไม่มีผลตอบแทนใดที่แน่นอน
• ไม่รีบ : อย่ารีบโอนเงินเมื่อถูกเร่งรัดหรือกดดัน มิจฉาชีพมักใช้จิตวิทยาเพื่อสร้างแรงกดดันให้เหยื่อไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
• ไม่โอน : ห้ามโอนเงินลงทุนเข้าบัญชีชื่อบุคคลธรรมดาเด็ดขาด การลงทุนที่ถูกกฎหมายและน่าเชื่อถือจะใช้บัญชีในนามนิติบุคคลหรือบริษัทเท่านั้น
• ไม่โหลด / ไม่เสี่ยง : อย่าดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ หากต้องการลงทุน ควรดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่เป็นทางการ เช่น App Store หรือ Play Store เท่านั้น และหากเริ่มรู้สึกสงสัย ให้หยุดคุยทันที
ก่อนโอนเงิน คิดให้รอบคอบ อย่าให้ความเหงา นำไปสู่ความสูญเสีย
กลโกงรักออนไลน์ชวนลงทุนเริ่มต้นจากการใช้ประโยชน์จากอารมณ์และความเปราะบางของมนุษย์ การตระหนักรู้ถึงกลยุทธ์และขั้นตอนของมิจฉาชีพคือด่านแรกของการป้องกันที่ดีที่สุด จงมีสติอยู่เสมอ ตรวจสอบทุกข้อมูล และเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองหากรู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่ชอบมาพากล
หากคุณสงสัยว่ากำลังตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ หรือต้องการแจ้งเบาะแส โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอความช่วยเหลือและหยุดยั้งความเสียหายทันที
สายด่วนศูนย์ AOC 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง

18 ธันวาคม 2568 – ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา ครั้งที่ 6/2568 ณ ห้องจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
สำหรับการประชุมในวันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งได้ทบทวนคู่มือบริหารจัดการความเสี่ยง โดยปรับแนวทางการดำเนินงานให้เหมาะกับการถ่ายโอนภารกิจของกองทุนฯ จากสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มายังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพแวดล้อมภายนอก ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานภายในกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา ไปจนถึงแนวทางการตรวจสอบและประเมินผล สู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในส่วนของหลักเกณฑ์การขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากเงินดอกผลกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา ได้มีมติเห็นชอบงบประมาณสนับสนุนแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการของนักเรียน ทั้งโครงการสร้างความเท่าเทียมด้านโภชนาการสำหรับนักเรียน และโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตกับชุมชนภาคีเครือข่ายเพื่ออาหารนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาที่มีภาวะทุพโภชนาการ
นอกจากนี้ ได้มีมติเห็นชอบปรับงบประมาณในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ และสื่อสารประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง สามารถนำไปใช้วางแผนบริหารจัดการรวมทั้งสนับสนุนการทำงานตามภารกิจและพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ของกองทุนฯ ให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูลที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ในการดำเนินงาน โดยให้ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนและภาคีเครือข่ายเห็นถึงความสำคัญและมีส่วนร่วมในการแก้ไขภาวะทุพโภชนาการของผู้เรียน
“เพื่อให้ภารกิจดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ขอให้ร่วมกันประชาสัมพันธ์ให้สถานศึกษารับทราบ แล้วสนใจโครงการที่เป็นประโยชน์เช่นนี้ เน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านเพจ ศธ.360 องศา เพจ สพฐ. และเพจของโรงเรียนในสังกัด” รองปลัด ศธ. กล่าว
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้รับทราบรายงานการเงินของกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ไตรมาส 1 (30 พฤศจิกายน 2568) ของกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา รายงานผลการดำเนินงานที่สำคัญ 5 ด้าน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ไตรมาส 1 ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 รวมถึงการนำเงินดอกผลกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษาไปหาผลประโยชน์ และรายงานความก้าวหน้าการแก้ไขข้อเสนอแนะ การตรวจสอบการเงิน การบัญชีกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษาประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
รูปภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1DLT7WzXs9/?mibextid=wwXIfr
พบพร ผดุงพล / ข่าว
อินทิรา บัวลอย / ภาพ
18 ธันวาคม 2568 — ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม

ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและเห็นชอบประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งผลการประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศด้านพื้นที่ชุ่มน้ำและการจัดทำมาตรการด้านมลพิษจากพลาสติก รวมถึงการเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการน้ำที่สำคัญของประเทศ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างสมดุลและยั่งยืน

ในการประชุมครั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ โดย ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เข้าร่วมประชุมในฐานะผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรับทราบทิศทางนโยบายและมติด้านสิ่งแวดล้อมระดับชาติ ซึ่งมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับภารกิจด้านการศึกษา ทั้งในมิติการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย ตลอดจนการปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับผู้เรียน ตามบทบาทของกระทรวงศึกษาธิการในการขับเคลื่อนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควบคู่การดูแลทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

👩🎨 โอกาสที่น้องๆรอคอยมาถึงแล้ว! มาร่วมถ่ายทอดจินตนาการกับโครงการประกวดวาดภาพระบายสี “โตโยต้ารถยนต์ในฝัน 2026” (TOYOTA Dream Car Art Contest) 🚗
🏆 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และโอกาสเป็นตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันระดับโลกที่ประเทศญี่ปุ่น
📅 เปิดรับสมัครและส่งผลงานตั้งแต่ วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2569
การประกวดแบ่งเป็น 3 รุ่น ได้แก่
👩🎨 รุ่นอายุต่ำกว่า 8 ปี
👩🎨 รุ่นอายุ 8 – 11 ปี
👩🎨 รุ่นอายุ 12 – 15 ปี
📌ดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการฯ เอกสารการสมัครได้ที่…
https://www.toyota.co.th/toyotadreamcarthailand/info
🏆 รางวัลประกวดระดับประเทศของทุกรุ่นอายุ
⭐รางวัลที่ 1 : ทุนการศึกษา 30,000 บาท พร้อมโล่รางวัลโครงการ ประกาศนียบัตร และถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
⭐รางวัลที่ 2 : ทุนการศึกษา 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัลโครงการและประกาศนียบัตร
⭐รางวัลที่ 3 : ทุนการศึกษา 10,000 บาท พร้อมโล่รางวัลโครงการและประกาศนียบัตร
⭐รางวัลชมเชย 7 รางวัล : ทุนการศึกษา 2,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร
📌 ผู้ชนะเลิศประเภทรางวัลที่ 1-3 ของทุกรุ่นอายุ รวม 9 ผลงาน จะถูกส่งไปประกวดระดับโลกที่ประเทศญี่ปุ่น 🌏
ติดตามข้อมูลข่าวสารและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Facebook: Toyota Dream Car Art Contest โทร: 095-741-6959
#ToyotaDreamCar #โตโยต้ารถยนต์ในฝัน2026 #ประกวดวาดภาพระบายสี
กระทรวงศึกษาธิการ – 17 ธันวาคม 2568 / ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและมอบโอวาทแก่ตัวแทนนักเรียน นักศึกษา และคณะกรรมการมูลนิธิครอบครัวพอเพียง นำโดยนายชัชวาล เผ่าสวัสดิ์ ประธานกรรมการฯ ณ ห้องประชุมจันทรเกษม

ปลัด ศธ. กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทุกท่านได้มาร่วมพบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในครั้งนี้ ขอบคุณมูลนิธิครอบครัวพอเพียงที่ร่วมขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่เยาวชนไทย ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานสำคัญของการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ โดยกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้มุ่งสร้างเพียง “คนเก่ง” เท่านั้น แต่ต้องการพัฒนาผู้เรียนให้เป็น “คนดี คนเก่ง และมีความสุข” ควบคู่กันไป
กระทรวงศึกษาธิการได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการจัดการศึกษาในสถานศึกษาทุกสังกัด มีการกำหนดกระบวนการดำเนินงานและการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งในปัจจุบันผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับบุคลากรที่มีคุณธรรม ความรับผิดชอบ และความซื่อสัตย์สุจริต เพราะแม้ทักษะต่าง ๆ จะสามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ แต่การปลูกฝังคุณธรรมและความซื่อสัตย์ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่สังคมและหน่วยงานต้องร่วมกันสร้าง
การน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “3 ห่วง 2 เงื่อนไข” มาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ได้แก่ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน ภายใต้เงื่อนไขของความรู้และคุณธรรม เพื่อให้เกิดความสมดุลและความมั่นคงในชีวิต พร้อมส่งเสริมแนวคิด “เกษตรพอเพียง จิตอาสา และการบริหารจัดการด้วยเศรษฐกิจพอเพียง” โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
เนื่องจากเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เยาวชนมีการรับและใช้สื่ออย่างหลากหลาย ซึ่งหากขาดการกลั่นกรองและการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม การดำเนินชีวิต สมาธิในการเรียนรู้ ตลอดจนทักษะทางสังคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการเรียนรู้ หลายประเทศจึงเริ่มมีมาตรการจำกัดการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในกลุ่มเยาวชนมากขึ้น เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีและการดำเนินชีวิต
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังได้จัดตั้งคณะกรรมการเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในทุกระดับ ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ ทักษะ (Upskill) และการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ทั้งในบริบทของ VUCA World และ BANI World โดยเน้นการมีส่วนร่วม การบูรณาการองค์ความรู้ และการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้เรียน
การขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของกระทรวงศึกษาธิการ สอดรับกับการดำเนินงานของมูลนิธิครอบครัวพอเพียง ซึ่งเป็นความร่วมมือภายใต้วัตถุประสงค์เดียวกัน โดยเฉพาะโครงการ “ศูนย์ครอบครัวพอเพียง” ที่มุ่งนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชน ผ่านการทำงานร่วมกันของมูลนิธิ สถาบันการศึกษา และชุมชน เพื่อสร้างเครือข่ายพลเมืองรุ่นใหม่ที่มีคุณธรรม มีความรู้ และสามารถนำไปสู่การสร้างอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้ 5 พันธกิจสำคัญ ได้แก่ ศาสนา วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การต่อต้านทุจริต และการออม
“หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากระทรวงศึกษาธิการจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการส่งเสริมและปลูกฝังหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่เยาวชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับสถานศึกษา ครอบครัว และชุมชน เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม มีภูมิคุ้มกัน และสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ อันจะนำไปสู่การเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต”

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
ศุภณัฐ วัฒนมงคลลาภ / ภาพ
ภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1JJnWKrLFV/
บัญชีม้าและซิมผี ภัยร้ายที่ควรเลี่ยง
ปัจจุบันการทำธุรกรรมออนไลน์ในยุคดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ที่ให้เราสามารถโอนเงิน จ่ายเงินโดยไม่ต้องพกเงินสด แต่ในความสะดวกสบายนี้กลับกลายเป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงและหาประโยชน์อย่างผิดกฎหมาย หนึ่งในนั้นคือการใช้ บัญชีม้า คือบัญชีธนาคารที่ถูกนำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน หลอกลวงออนไลน์ หรือฉ้อโกง หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่า การให้ข้อมูลบัญชีหรือเปิดบัญชีให้ผู้อื่นใช้งาน อาจทำให้ตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการโดยไม่ตั้งใจ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับบัญชีม้า เหตุผลที่คุณควรหลีกเลี่ยง โทษเปิดบัญชีม้ามีอะไรบ้าง และหากถูกหลอกเราจะทำอย่างไร
บัญชีม้า / ซิมผี คืออะไร?
บัญชีม้า คือ บัญชีเงินฝากธนาคารที่มิจฉาชีพนำมาใช้เป็นช่องทางรับและถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด เพื่อป้องกันไม่ให้มีพยานหลักฐานโยงมาถึงตัวได้ ซึ่งส่วนใหญ่มิจฉาชีพจะใช้วิธีการจ้างให้บุคคลอื่นเปิดบัญชี หรือรับซื้อบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลทั่วไป พร้อมกับสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และซิมการ์ดโทรศัพท์ที่เจ้าของบัญชีเปิดใช้งานด้วย เพื่อให้นำข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของบัญชีไปผูกกับ Mobile Banking และทำธุรกรรมออนไลน์ได้ทันที
ซิมผี คือ ซิมการ์ดที่ไม่สามารถระบุตัวตนผู้ใช้งานที่แท้จริงได้ โดยมิจฉาชีพจะนำไปใช้ในการโทรหลอกลวงผู้เสียหาย เช่น โทรหลอกลวงอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ หรือส่งลิงก์ปลอมให้ผู้เสียหายเพื่อหลอกขอข้อมูลส่วนบุคคลแล้วนำไปใช้ในการกระทำความผิด
โทษสำหรับผู้เปิดบัญชีม้า และซิมผี
โทษสำหรับผู้ที่รับเปิดบัญชีม้า ซิมผี ตามพระราชกำหนด มาตราการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 คือ
1.เจ้าของบัญชีม้า หรือเบอร์ม้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.ผู้ที่เป็นธุระจัดหา โฆษณา เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 – 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 – 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มิจฉาชีพจะหลอกให้เราเปิดบัญชีม้าอย่างไรบ้าง
1.การหลอกลวงด้วยข้ออ้างทางธุรกิจ : อ้างว่าต้องการใช้บัญชีเพื่อธุรกิจชั่วคราว หรือเพื่อการทำธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย
2.แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือเจ้าหน้าที่รัฐ : มิจฉาชีพอาจแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าทีธนาคารหรือเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อขอให้เปิดบัญชี
3.การให้รางวัลหรือผลตอบแทน : มิจฉาชีพอาจเสนอเงินหรือของรางวัลเพื่อให้เหยื่อเปิดบัญชีธนาคารแล้วมอบข้อมูลการเข้าถึงให้
หากโดนหลอกให้เปิดบัญชีแล้ว แก้ไขอย่างไรได้บ้าง?
1.ติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารทันที
สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือให้รีบติดต่อไปที่ธนาคารต้นทาง เพื่อแจ้งให้รับทราบว่าบัญชีที่เราใช้อยู่ เราไม่ได้เป็นคนเปิด โดยโทรไปที่สายด่วนของธนาคาร เพื่อขอระงับการทำธุรกรรม เมื่อทางธนาคารรับเรื่องแล้ว จะให้ Bank Case ID เพื่อให้เรานำไปใช้แจ้งความ
2.แจ้งความกับตำรวจ
หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการแจ้งความกับตำรวจ โดยสามารถแจ้งความได้ 2 ช่องทาง ดังนี้
2.1 แจ้งความที่สถานีตำรวจ รวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่เรามี ไม่ว่าจะเป็น ช่องทางการสนทนาผ่านโซเชียลมีเดีย รวมถึงหลักฐานต่าง ๆ แล้วไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับทราบว่า เราโดนคนร้ายหลอกให้เปิดบัญชีม้าด้วยวิธีการใด อย่างไร
2.2 แจ้งความผ่านช่องทางออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ โดยแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้า พร้อมใส่รหัส Bank Case ID ที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ธนาคาร
3.รวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
ไม่ว่าจะเป็นสลิปการโอนเงิน ข้อความที่ติดต่อกับมิจฉาชีพ เพื่อนำไปประกอบสำนวนคดี
ดังนั้น หากคุณสงสัยว่าอาจถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้า ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่แนะนำข้างต้นโดยเร็วที่สุดเพื่อปกป้องตัวคุณเองจากการถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ยิ่งมีหลักฐานที่ครบถ้วนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการจับคนร้ายได้ไวยิ่งขึ้น
วิธีป้องกัน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของบัญชีม้า
ทุกวันนี้มิจฉาชีพพยายามมองหาช่องทางใหม่ ๆ ให้เราตกเป็นเหยื่อ ดังนั้นการรู้วิธีป้องกันและการระมัดระวังเป็นสิ่งสำคัญ และนี่คือวิธีการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการเปิดบัญชีม้า
1.อย่าเปิดบัญชีธนาคารให้ผู้อื่น อย่าให้บุคคลอื่นใช้ชื่อของคุณในการเปิดบัญชีธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรู้จัก หรือบุคคลที่ไม่คุ้นเคย ถ้ามีใครขอให้คุณเปิดบัญชีธนาคารในชื่อของคุณเพื่อให้พวกเขาใช้งาน ให้ปฏิเสธ
2.ระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนตัว อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวหรือเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน สมุดบัญชีธนาคาร หรือข้อมูลทางการเงินกับบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ ระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวผ่านทางออนไลน์ โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์หรือเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
3.ใช้ความระมัดระวังในการทำธุรกรรมออนไลน์ ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ที่คุณทำธุรกรรมมีความปลอดภัย และมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและธุรกรรมที่คุณทำอย่างรอบคอบ
4.รายงานการกระทำที่น่าสงสัย หากคุณพบเห็นหรือสงสัยว่ามีการกระทำที่น่าสงสัย เช่น การขอให้เปิดบัญชีธนาคารหรือการติดต่อที่ไม่น่าเชื่อถือ ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ธนาคารหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบทันที
หากตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพสามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน AOC 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ที่มา : Facebook Page ตำรวจสอบสวนกลาง
กระทรวงศึกษาธิการ – 16 ธันวาคม 2568 / ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ครั้งที่ 4/2568 โดยมีนายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการ กอศ. นายประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ สกศ. นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการ กช. นายสง่า แต่เชื้อสาย รองเลขาธิการ กอศ. ตลอดจนคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วม ณ ห้องประชุมราชวัลลภ และผ่านระบบ Zoom Meeting
รมว.ศธ. เปิดเผยว่า เนื่องจากท่านนายกรัฐมนตรีได้ประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ จึงส่งผลถึงเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการได้เสนอร่างพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ…. เพื่อขอความเห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรี และเมื่อมีคณะรัฐบาลชุดใหม่แล้ว ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันความเห็นและนำเสนอร่างกฎหมาย เพื่อเร่งผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และเรื่องการบริหารงบประมาณ หากมีกรณีที่ต้องดำเนินการในช่วงรัฐบาลรักษาการ อาจจำเป็นต้องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) นำเรื่องหารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อพิจารณาให้เป็นไปโดยไม่ขัดต่อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
สำหรับการประชุมในวันนี้ ที่ประชุมฯ เห็นชอบ (ร่าง) ประกาศกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกู้ยืมเงินจากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในส่วนของการบริหารกิจการโรงเรียน พ.ศ. ….
และ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยืมเงินจากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบสำหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามภาคใต้ เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในส่วนของการบริหารกิจการโรงเรียน พ.ศ. …. กำหนดดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี และปลอดดอกเบี้ยสำหรับสถานศึกษาที่ประสบเหตุจากภัยพิบัติ โดยมอบสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เสนอร่างประกาศฯ จำนวน 2 ฉบับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาลงนามเพื่อประกาศใช้ต่อไป
รวมถึงการรับทราบรายงานสถานะการดำเนินงานของกองทุนสงเคราะห์ โดย รมว.ศธ. ได้กำชับให้ทางกองทุนฯ เร่งหารือและประสานความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อวางระบบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลแบบจ่ายตรง โดยไม่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า ให้แก่ครูและบุคลากรของโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มความมั่นคงด้านสวัสดิการ
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ประสานงานโดยตรงกับเลขาธิการ สปสช. เพื่อเร่งรัดการดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็ว โดยตั้งเป้าหมายให้สามารถลงนามในสัญญาระบบเบิกจ่ายตรงได้ทันก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อเป็นของขวัญแก่ครูและบุคลากรโรงเรียนเอกชน และเปิดใช้งานระบบอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม 2569 รองรับการเปิดภาคเรียนใหม่ เป็นของขวัญรับเปิดเทอมอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบรายงานผลการสำรวจความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ ระหว่างเดือนตุลาคม–ธันวาคม 2568 ซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงเรียนเอกชนในพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง พัทลุง นครศรีธรรมราช สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยพบว่ามีนักเรียนโรงเรียนเอกชนได้รับผลกระทบ จำนวน 81,891 คน และโรงเรียนเอกชนได้รับความเสียหาย จำนวน 480 โรงเรียน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 390 ล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลความเสียหาย เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้การช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูสถานศึกษาให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติต่อไป
“ขอกำชับให้ทุกหน่วยงาน ปฏิบัติงานตามกรอบอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด มีความรอบคอบ โปร่งใส และคำนึงถึงประโยชน์ของสถานศึกษาเอกชน ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อไม่ให้การจัดการศึกษาได้รับผลกระทบและสามารถขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาเอกชนได้อย่างต่อเนื่อง”

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
ภารุจ พูลอำไภย์ / ภาพ
15 ธันวาคม 2568 – นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมชี้แจงกรอบแนวทางการดำเนินงานและเครื่องมือติดตามโครงการพัฒนาการจัดการศึกษาในภูมิภาค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานในระดับภูมิภาค ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ณ ห้องประชุมจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการจากสำนักงานศึกษาธิการภาคทั้ง 18 ภาค และศึกษาธิการจังหวัด 77 จังหวัด เข้าร่วมการประชุม
การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการชี้แจงการดำเนินงานโครงการพัฒนาการจัดการศึกษาในภูมิภาค จำนวน 13 โครงการ ได้แก่
- โครงการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาจังหวัด
- โครงการขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการศึกษาและประสิทธิภาพการศึกษาจังหวัดโดยผ่านกลไกของ กศจ.
- โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาสู่การปฏิบัติระดับภาค
- โครงการขับเคลื่อนการบริหารจัดการศึกษาในระดับภาคและกลุ่มจังหวัด
- โครงการขับเคลื่อนการบริหารจัดการศึกษาในระดับภาคและกลุ่มจังหวัด
- โครงการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดตาม พรบ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562
- โครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) นวัตกรรมการศึกษา เพื่อพัฒนาการศึกษา
- โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาการจัดการศึกษาปฐมวัยในระดับพื้นที่
- โครงการสร้างและส่งเสริมความเป็นพลเมืองดีตามรอยพระยุคลบาทด้านการศึกษาสู่การปฏิบัติ
- โครงการมหกรรมวิชาการ “เรียนดี มีความสุข” ภายใต้แนวทางการทำงาน “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน”
- โครงการ “เสริมสร้างความเข้มแข็ง 1 อำเภอ 1 สถานศึกษาคุณภาพตามบริบทของพื้นที่”
- โครงการขับเคลื่อนการดำเนินงาน Thailand Zero Dropout และ
- โครงการตรวจติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์
โอกาสนี้ นายวีระ แข็งกสิการ ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ทิศทางการดำเนินงานโครงการพัฒนาการจัดการศึกษาในภูมิภาค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569” ขณะที่นางปิยศิริ วรธนาวงศ์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและพัฒนาการบริหารการศึกษาในภูมิภาค ได้ชี้แจงรายละเอียดกรอบแนวทางการดำเนินงานและเครื่องมือติดตามโครงการทั้ง 13 โครงการ
การประชุมครั้งนี้นับเป็นเวทีสำคัญในสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างหน่วยงานในระดับภูมิภาคและส่วนกลางในการดำเนินงาน 13 โครงการ ตามกรอบแนวทางการปฏิบัติงานและเครื่องมือการกำกับติดตามที่ เพื่อช่วยให้หน่วยงานในภูมิภาคสามารถทำงานได้อย่างมีทิศทางที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และยุทธศาสตร์ชาติ และเพื่อให้การดำเนินงาน ในพื้นที่เกิดประสิทธิภาพ บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ นอกจากนี้ส่งผลให้การใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าสูงสุดอันเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาและสร้างความเสมอภาคให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
ภาพเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/share/p/1QL94rrKTs/
กองส่งเสริมและพัฒนาการบริหารการศึกษาในภูมิภาค สป.ศธ./ ข้อมูล
ธรรมนารี ชดช้อย/ เรียบเรียง
ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ/ ภาพ
เช็กด่วน! 3 พฤติกรรมออนไลน์ที่คุณทำอยู่ อาจกำลังเรียกมิจฉาชีพมาหาตัว
ในยุคดิจิทัล การแชร์เรื่องราวชีวิตประจำวันลงบนโซเชียลมีเดียกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ตั้งแต่การเช็กอินที่ร้านกาแฟสวยๆ ไปจนถึงการอัปเดตกิจกรรมในแต่ละวัน แต่คุณเคยรู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมที่ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยเหล่านี้ อาจกำลังเปิดประตูให้มิจฉาชีพออนไลน์เข้ามาในชีวิตคุณโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจ 3 พฤติกรรมเสี่ยงที่ทุกคนควรระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องตกเป็นเหยื่อรายต่อไป
1.การโพสต์ทุกอย่างลงโซเชียล
การอัปเดตชีวิตแบบเรียลไทม์ เช่น การโพสต์ “ไปไหน ทำอะไร” หรือการเช็กอินตามสถานที่ต่างๆ อาจดูเหมือนเป็นการแบ่งปันความสุข แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันคือการเปิดเผยข้อมูลการใช้ชีวิตของคุณอย่างละเอียดให้คนทั้งโลกได้รับรู้ มิจฉาชีพสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อคาดเดาได้ว่าคุณไม่อยู่บ้าน หรือกำลังเดินทางกลับ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยทั้งในโลกออนไลน์และในชีวิตจริง การแชร์ข้อมูลดิจิทัลที่ดูเหมือนไร้เดียงสานี้ กลับกลายเป็นข้อมูลสำคัญในโลกแห่งความเป็นจริงให้แก่อาชญากร เปลี่ยนโปรไฟล์โซเชียลมีเดียของคุณให้กลายเป็นเครื่องมือสอดแนมที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวคุณเอง
2.บอกข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า
การสร้างเพื่อนใหม่ๆ บนโลกโซเชียลเป็นเรื่องง่าย แต่การให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง มิจฉาชีพมักใช้ความปรารถนาในการสร้างสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเครื่องมือในการสร้างความไว้วางใจ เพื่อหลอกล่อให้คุณเปิดเผยข้อมูลสำคัญ จำคำเตือนนี้ไว้ให้ดี “ระวัง จาก มิตรภาพ จะ กลาย เป็น มิจฉาชีพ” การแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวควรมีขอบเขตเสมอ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าที่คุณรู้จักผ่านทางหน้าจอเท่านั้น
3.เชื่อใจคนง่ายเกินไป
การเป็นคนเชื่อคนง่ายและทำตามคำขอของผู้อื่นโดยไม่ไตร่ตรอง คือหนึ่งในช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดที่มิจฉาชีพใช้เป็นประโยชน์ กลโกงจำนวนมากอาศัยการสร้างสถานการณ์เร่งด่วนและแอบอ้างเป็นคนรู้จักเพื่อหลอกให้คุณทำตามโดยไม่ทันได้คิด ตัวอย่างที่พบบ่อยคือการโทรศัพท์หลอกลวง โดยมิจฉาชีพอาจใช้บทสนทนาที่สร้างความคุ้นเคยเพื่อลดการป้องกันตัวของคุณ เช่น “พอดีเราเปลี่ยนเบอร์ใหม่ ก็เลยโทรมาบอก จำเสียงเราได้เปล่า เรามาซื้อของอะ แล้วเงินมันใช้ไม่ได้ แต่รบกวนเธอโอนให้ก่อนได้มั้ย” นี่คือรูปแบบหนึ่งของ ‘วิศวกรรมสังคม’ (Social Engineering) ที่อาศัยสัญชาตญาณของมนุษย์ที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนที่กำลังเดือดร้อน เพื่อจงใจลัดวงจรการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลของเหยื่อ
พฤติกรรมทั้งสามข้อที่กล่าวมา ได้แก่ การโพสต์ทุกอย่างลงโซเชียล การบอกข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า และการเชื่อใจคนง่ายเกินไป ล้วนเป็นความเสี่ยงที่ทำให้คุณอาจตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพได้อย่างง่ายดาย พฤติกรรมเหล่านี้มีจุดร่วมเดียวกัน คือการวางใจในโลกดิจิทัลมากเกินไป ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บริบทและความจริงแท้มักถูกบิดเบือนได้ง่าย
เตือนภัย! Virtual Kidnapping
เมื่อรูปถ่ายในโซเชียลของคุณกลายเป็นอาวุธเรียกค่าไถ่
ในยุคดิจิทัลที่ภาพถ่ายและเรื่องราวส่วนตัวถูกแชร์อย่างง่ายดายบนโซเชียลมีเดีย เราอาจไม่เคยคาดคิดว่าข้อมูลเหล่านั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายเราได้ในรูปแบบที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด FBI ได้ออกมาเตือนถึงภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Virtual Kidnapping” หรือ “การลักพาตัวเสมือนจริง” ซึ่งมิจฉาชีพไม่ได้ใช้เพียงภาพถ่ายธรรมดาๆ ของเราเท่านั้น แต่ยังใช้เทคนิคหลอกลวงที่ซับซ้อน ทั้งการปลอมแปลงเสียง การใช้เบอร์โทรศัพท์ปลอม หรือแม้กระทั่งเสียงกรีดร้องที่จัดฉากขึ้น เพื่อสร้างสถานการณ์ปลอมที่บีบคั้นหัวใจและเรียกค่าไถ่จากคนที่คุณรัก แล้วเราจะป้องกันตัวเองและคนในครอบครัวจากภัยเงียบที่น่าหวาดหวั่นนี้ได้อย่างไร?
อาวุธชิ้นใหม่ของมิจฉาชีพ AI เปลี่ยนภาพถ่ายของคุณให้เป็นภาพตัวประกัน
กลโกงรูปแบบใหม่นี้เริ่มต้นจากสิ่งที่ดูไม่มีพิษมีภัยที่สุด นั่นคือข้อมูลและรูปภาพที่เราโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย มิจฉาชีพจะรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ไปเป็นวัตถุดิบ และใช้เครื่องมือหลากหลายเพื่อสร้างสถานการณ์ที่สมจริง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตัดต่อรูปภาพธรรมดาให้กลายเป็น “ภาพตัวประกันที่สมจริงจนน่าขนลุก” หรือใช้เทคนิคปลอมแปลงเสียงและเบอร์โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต ควบคู่ไปกับการจัดฉากเสียงกรีดร้องเพื่อให้เหยื่อเชื่อว่าคนในครอบครัวตกอยู่ในอันตรายจริงๆ
เป้าหมายสูงสุดของอาชญากรคือการใช้ “อาวุธ” เหล่านี้โจมตีสภาพจิตใจของเหยื่อโดยตรง เพื่อสร้างภาวะตื่นตระหนก (Panic) และสภาวะสติหลุดขั้นรุนแรง จุดประสงค์คือการทำลายกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล และบีบให้เหยื่อรีบโอนเงินค่าไถ่ไปให้โดยขาดการไตร่ตรองและตรวจสอบข้อเท็จจริง
ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือเกมจิตวิทยาที่เล่นกับ “ความกลัว”
หัวใจของกลโกง Virtual Kidnapping ไม่ได้อยู่ที่ความล้ำหน้าของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการโจมตีจุดอ่อนทางจิตใจของมนุษย์ มิจฉาชีพจะสร้างสถานการณ์ที่บีบคั้นและกดดันอย่างหนัก ทำให้เหยื่อมีเวลาในการตัดสินใจที่จำกัด เพื่อป้องกันไม่ให้มีโอกาสตรวจสอบข้อมูลได้ทัน
ตั้งสติรับมือ 4 ขั้นตอนสำคัญเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการลักพาตัวเสมือนจริง
หากคุณหรือคนใกล้ชิดตกอยู่ในสถานการณ์นี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งสติ และปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
1.พยายามติดต่อผู้ถูกกล่าวอ้างทันที : นี่คือขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุด รีบ ติดต่อ บุคคลที่ถูกอ้างว่าโดนลักพาตัวให้เร็วที่สุด ผ่านทุกช่องทางที่เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์, ส่ง SMS, หรือติดต่อผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อยืนยันความปลอดภัยของพวกเขาให้ได้
2.อย่าเพิ่งโอนเงินเด็ดขาด : หลังจากพยายามติดต่อแล้ว ไม่ว่าจะถูกกดดันแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่ต้องทำคือ ตั้งสติ และห้ามโอนเงินไปก่อนเด็ดขาด
3.ตรวจสอบหลักฐาน : ตรวจสอบ ภาพหรือวิดีโอที่มิจฉาชีพส่งมาอย่างละเอียด มองหาสิ่งผิดปกติ เช่น พื้นหลังของภาพมีการบิดเบี้ยว หรือลักษณะใบหน้าและท่าทางดูไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นสัญญาณของการใช้ AI ตัดต่อ
4.รวบรวมหลักฐานและแจ้งความ : ถ่ายภาพหน้าจอ (Screenshot) ข้อความแชท, รูปภาพ, เบอร์โทรศัพท์เข้า และหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แล้วติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เบอร์ 191 หรือสายด่วนตำรวจไซเบอร์ 1441 โดยทันที
เกราะป้องกันล่วงหน้าสร้าง “Safe Word” ในครอบครัว
หนึ่งในวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือการสร้าง “Safe Word” หรือรหัสผ่านลับที่รู้กันเฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น คำหรือวลีลับนี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือยืนยันตัวตนหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจริง หากมีใครติดต่อมาอ้างว่าคนในครอบครัวตกอยู่ในอันตราย คุณสามารถใช้ Safe Word นี้เพื่อตรวจสอบได้ทันทีว่าสถานการณ์นั้นเป็นเรื่องจริงหรือเป็นฝีมือของมิจฉาชีพ
“สติ” คืออาวุธที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับความกลัว
แม้เทคโนโลยีของมิจฉาชีพจะดูน่ากลัวและสร้างภาพลวงตาได้สมจริงเพียงใด แต่จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือเวลา เพราะกลโกงนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเหยื่อตกอยู่ในความกลัวจนขาดสติและรีบตัดสินใจ ดังนั้น อาวุธที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับภัยคุกคามรูปแบบนี้คือ “สติ” และการใช้เวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ
ขอบคุณวิดีโอจาก : ตำรวจไซเบอร์
