homescontents
homescontents

ความตอนหนึ่งของศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในการเป็นประธานพิธีเปิดพร้อมบรรยายพิเศษ “ทิศทาง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ. .… และการขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาแห่งชาติสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นที่การศึกษา ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2568

“ขอให้มั่นใจว่าไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาบริหารงานในกระทรวงศึกษาธิการก็ตาม ผู้บริหารการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ถ้าจะมาทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ต้องทำงานกับข้าราชการประจำ ข้าราชการประจำก็ต้องยืนหยัดบนหลักการว่าจะทำงานเพื่อภาคการศึกษา โดยไม่นำการศึกษาไปเป็นเครื่องมือ เพื่อเป้าหมายทางการเมืองเช่นเดียวกับตนที่ได้เข้ามาดูแลกระทรวงศึกษาธิการ มีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะไม่ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่จะมุ่งมั่นพัฒนาให้ภาคการศึกษาของไทยดีขึ้นอย่างแท้จริง และหวังว่าพวกเราทุกคนจะยึดมั่นในหลักการเดียวกัน”

อานนท์ วิชานนท์ / เรียบเรียง
ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / กราฟิก
สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / บรรณาธิการ

15 กันยายน 2568 – ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ประธานในพิธีมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่ผู้เกษียณอายุราชการ ของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2568 พร้อมกล่าวแสดงมุทิตาจิตโดยมีนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษา รมว.ศธ. นางสาวอนงค์นาถ จ่าแก้ว เลขานุการ รมว.ศธ. นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. ตลอดจนผู้บริหาร ผู้เกษียณอายุราชการ จำนวน 50 ราย ข้าราชการและบุคลากรในสังกัด เข้าร่วม ณหอประชุมคุรุสภา 

รมว.ศธ. กล่าวแสดงมุทิตาจิตความว่า มาตลอดช่วงชีวิตในการรับราชการที่กระทรวงศึกษาธิการ ทุกท่านคงจะฝ่าฟันอุปสรรคและได้สร้างผลงานที่นับเป็นความสำเร็จในการบริหารงาน มีเรื่องที่ราวน่าจดจำและประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่เมื่อห้วงเวลาเทศกาลเกษียณมาถึง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหากมีโอกาส ท่านที่มีศักยภาพ มีกำลังและเวลาเหลือมากพอจะกลับมาช่วยงานในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอดีตข้าราชการที่เข้าใจงานแต่ละด้านอย่างลึกซึ้งในระดับปฏิบัติและบริหาร ช่วยให้คำแนะนำในการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดและในกำกับ 

สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในทุกเรื่องที่มุ่งหวัง ฝากดูแลรักษาสุขภาพ และขอบคุณที่สร้างคุณูปการมากมายให้กับการศึกษาไทย ขอให้ภาคภูมิใจในผลงานที่ได้สร้างไว้ไม่ว่าจะมากหรือน้อย บุคลากรที่ยังปฏิบัติงานอยู่จะเชยชมท่านเสมอตลอดไป 

ปลัด ศธ. กล่าวว่า ในวันนี้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้จัดพิธีมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่ผู้เกษียณอายุราชการ ของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2568 เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ และแสดงมุทิตาจิตแก่ข้าราชการและบุคลากรที่จะเกษียณอายุราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ทุกท่านที่ได้อุทิศตน ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความพยามอย่างสุดความสามารถตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายในด้านต่าง ๆสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

ในโอกาสนี้ นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ผู้แทนผู้เกษียณอายุราชการได้กล่าวแสดงความรู้สึกในตอนหนึ่งว่า เดือนกันยายนของทุกปี เป็นห้วงเวลาที่ วาระแห่งการเกษียณอายุราชการเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ในนามของพวกเราผู้ที่ได้ปฏิบัติงานมาจนมีอายุครบเกษียณ ขอขอบคุณในน้ำใจไมตรีของทุกท่าน ที่ได้กรุณามาร่วมแสดงมุทิตาจิตแก่พวกเราในวันนี้ ขอกราบระลึกถึงพระคุณของหน่วยงานแห่งนี้ที่ช่วยสร้างเสริม พัฒนา ตั้งแต่พวกเราเริ่มเข้าทำงานที่นี่จนเติบโตกล้าแกร่ง ตามความถนัดและสายงานที่รับผิดชอบของแต่ละคน

เชื่อมั่นว่าคุณความดี และทุกสิ่งที่ทุกท่านได้ร่วมกันเสียสละ ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของการทำงาน จะเป็นที่ระลึกถึงแก่คนรุ่นหลัง ขอขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูลร่วมแรงร่วมใจ จนสามารถทำงานได้สำเรจตามเป้าหมายขององค์กร และขอถือเอาวาระแห่งการเกษียณอายุราชการนี้เป็นการเริมต้นสิ่งใหม่ และใช้ชีวิตต่อไปจากนี้อย่างมีคุณค่า และมีความสุขตลอดไป

สำหรับในปีนี้ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการเกษียณอายุราชการ จำนวน 9 ราย ดังนี้

  1. ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
  2. นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้
  3. นายปรีดี ภูสีน้ำ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
  4. นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
  5. นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
  6. นายไพศาล วุทฒิลานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ
  7. นายชาตรี ม่วงสว่าง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ
  8. ว่าที่ร้อยเอก วิสาร ปัญญชุณห์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ
  9. ว่าที่ร้อยตรี เจษฎาภรณ์ พรหนองแสน ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ

นอกจากนี้ยังมีผู้เกษียณอายุราชการทีเข้าร่วมจากสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 7 ราย, สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 2 ราย, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 1 ราย, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 9 ราย, สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 1 ราย, กรมส่งเสริมการเรียนรู้ 3 ราย, สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5 ราย, โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ 1 รายรวมถึงลูกจ้างประจำ 12 ราย 

รูปภาพงานเกษียณเพิ่มเติม

https://drive.google.com/drive/folders/1sQ-n1yh8glW-VT8DoWFO7NLrSUg9I_Bd?usp=sharing

พบพร ผดุงพล / ข่าว
สมประสงค์ ชาหารเวียง , ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า , อินทิรา บัวลอย , ศศิวัฒน์แป้นคุ้มญาติ / ภาพ
นัทสร ทองกำเหนิด TikTok 

15 กันยายน 2568 / ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดพร้อมบรรยายพิเศษ “ทิศทาง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ. .… และการขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาแห่งชาติสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นที่การศึกษา โดยมีผู้บริหารระดับสูง สพฐ. ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ เข้าร่วม ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯ

รมว.ศธ. กล่าวว่า “พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เป็นกฎหมายสำคัญที่หลายรัฐบาลพยายามผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการปรับปรุงให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน และมีหลายประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการศึกษาของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการศึกษาที่เน้นพื้นที่ (Area-based Education) ซึ่งใน พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฯ ฉบับเดิม ยังไม่เอื้อต่อการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาทั่วประเทศ จึงมีความคาดหวังว่า พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฯ ฉบับใหม่ ที่กำลังผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ จะสามารถปิดช่องว่างดังกล่าว และสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษาได้อย่างแท้จริง

ในวันนี้ได้มีการเชิญคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร มาร่วมพูดคุย เพื่อสะท้อนข้อจำกัด ปัญหา อุปสรรค และความจำเป็นต่าง ๆ ที่ต้องการได้รับการสนับสนุน รวมทั้งความเข้าใจในการดำเนินงานของกระทรวงฯ เพื่อมีส่วนร่วมในการผลักดันงบประมาณ และ พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการต่อไป

กฎหมายที่เขียนขึ้นเองเราสามารถแก้ไขได้ เพื่อให้สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาไทย ในการขับเคลื่อนการศึกษาที่ผ่านมา เมื่อมีการนำร่างฯ พ.ร.บ. การศึกษาฯ เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ มักเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือการเปลี่ยนรัฐบาล จึงไม่สามารถดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีความคาดหวังว่าครั้งนี้จะสามารถผลักดันให้สำเร็จและเกิดผลเป็นรูปธรรมได้

ขณะนี้ได้มีการลงนามถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อขอให้นำเรื่องการบรรจุร่าง พ.ร.บ. การศึกษาฯ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีทั้งหมด 7 ร่าง หนึ่งในนั้นเป็นร่างของกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนที่เหลือเป็นร่างที่มาจากพรรคการเมืองและกลุ่มต่าง ๆ ที่ได้เสนอเข้าสู่สภาฯ แต่ยังขาดความเห็นจากกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง จึงได้ประสานไปยังกระทรวงการคลังเพื่อเร่งรัดการพิจารณา ทั้งนี้ เพื่อให้ร่าง พ.ร.บ. การศึกษาฯ สามารถเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้ ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

“ขอให้มั่นใจว่าไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาบริหารงานในกระทรวงศึกษาธิการก็ตาม ผู้บริหารการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ถ้าจะมาทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ต้องทำงานกับข้าราชการประจำ ข้าราชการประจำก็ต้องยืนหยัดบนหลักการว่าจะทำงานเพื่อภาคการศึกษา โดยไม่นำการศึกษาไปเป็นเครื่องมือ เพื่อเป้าหมายทางการเมืองเช่นเดียวกับตนที่ได้เข้ามาดูแลกระทรวงศึกษาธิการ มีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะไม่ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่จะมุ่งมั่นพัฒนาให้ภาคการศึกษาของไทยดีขึ้นอย่างแท้จริง และหวังว่าพวกเราทุกคนจะยึดมั่นในหลักการเดียวกัน”

ทั้งนี้ รมว.ศธ. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีที่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรื่องการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยการยกเลิกคำสั่งดังกล่าว จะนำไปสู่การพิจารณารายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการหรือกลไกมาทดแทนคำสั่ง คสช. ที่ถูกยกเลิกไป ซึ่งประเด็นสำคัญที่ผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้เสนอ คือ การเพิ่มองค์ประกอบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้มีบทบาทมากขึ้น อาทิ การมีตัวแทนจากครู และตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการบริหารจัดการบุคลากรทางการศึกษา โดยขั้นตอนต่อไปจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาในรายละเอียดต่อไป

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
ศุภณัฐ วัฒนมงคลลาภ / ภาพ

12 กันยายน 2568 – ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาวิชาการ เรื่อง บทบาทของไทยและองค์การสหประชาชาติในการส่งเสริมพันธกิจด้านการศึกษา (The Roles of Thailand and the United Nations in Promoting Educational Mission) ณ โรงแรมรอยัลปริ๊นเซสหลานหลวง กรุงเทพฯ

รองปลัด ศธ. กล่าวว่า วันนี้ ศธ.ร่วมกับภาคีเครือข่ายประเทศไทย ในการพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างสันติภาพและสร้างความเจริญก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี การก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ (United Nations) หรือ UN โดยมีองค์กรที่เป็นเครือข่ายสำคัญคือยูเนสโก ที่ได้ส่งเสริมการศึกษาเรื่องวิทยาศาสตร์ และยูนิเซฟที่ส่งเสริมเรื่องอาหารเพื่อเด็ก ซึ่งเราเป็นกระทรวงหนึ่งที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสืบสานพันธกิจสำคัญด้านการศึกษา ให้โอกาสกับเด็กที่จะเติบโตเป็นพลเมืองสำคัญของไทยการจัดการศึกษาจะนำมาซึ่งความสงบในจิตใจของเด็กเหล่านั้น ให้ตระหนักในการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และมีอาชีพที่เหมาะสม เป็นพลเมืองของโลกที่มีคุณภาพ

องค์การสหประชาชาติได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไว้ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 4 คือการศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่ง ศธ. ได้แสดงบทบาทและโดดเด่นด้านการศึกษา ดำเนินการหลายเรื่องร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้เด็กได้เรียนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ทั้งการแก้ปัญหา Zero Dropout ต้องไม่มีตกหล่น ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การปรับปรุงหลักสูตร การให้ทุนการศึกษา ไปจนถึงประเทศเด็กจากเพื่อนบ้านเราก็ดูแลอย่างดี ถือเป็นเจตจำนงแน่วแน่ที่ให้การศึกษานำมาซึ่งความสันติภาพ ความสงบสุข และความเจริญก้าวหน้า ผู้เรียนค้นพบตัวเอง มีอาชีพที่ตัวเองชอบ มีรายได้ ก็จะนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อยในสังคมความเจริญก้าวหน้า

“ที่ผ่านมา ศธ.ได้ร่วมมือทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ เพื่อสร้างสันติภาพผ่านกระบวนการการศึกษา ปลูกฝังความเป็นพลเมืองที่ดีที่ปรากฏอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอน ทำให้สังคมไทยเจริญก้าวหน้า มีความสงบสุข สอดคล้องตามเจตจำนงขององค์การสหประชาชาติ ขอขอบคุณความร่วมมือจากครู อาจารย์ ผู้บริหารในวงการการศึกษาและทุกภาคส่วน ที่ได้ช่วยกันจัดการการศึกษาตามเจตนาของการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ 80 ปี เฉลิมฉลองวาระสำคัญ เพื่อสันติภาพและความมั่นคงของโลก สร้างความร่วมมือที่ยั่งยืนระหว่างองค์การสหประชาชาติและรัฐบาลไทย” รองปลัด ศธ. กล่าว

สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงวาระการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ 8 ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งมีข้อตกลงร่วมกันในการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบสุขและความมั่นคง โดยใช้รูปแบบเดิมของสันนิบาตชาติ (League of Nations) ที่เคยมีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2461 นับแต่นั้นมา ประเทศใหญ่น้อยรวมถึงประเทศไทยได้ร่วมกันสานต่อพันธกรณีพื้นฐานด้านสันติภาพและความมั่นคงของนานาประเทศ โดยลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติ ปี พ.ศ. 2488 ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกในลำดับที่ 55

กระทรวงศึกษาธิการได้ปฏิบัติหน้าที่สำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (Secretariat of the Thai National Commission for UNESCO) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492 4 ปีภายหลังการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ เพื่อความเป็นเลิศด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และการศึกษาเชิงสังคมและมนุษยศาสตร์ในการส่งเสริมสิทธิของเด็ก

นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับองค์การยูนิเซฟและหน่วยงานอื่นของสหประชาชาติในประเทศไทย ผ่านกรอบความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (United Nations Sustainable Development Cooperation Framework: UNSDCF) โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและยูนิเซฟ เป็นต้น ในการดำเนินความพยายามด้านมนุษยธรรมเพื่อให้เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 25 ปี ได้รับบริการด้านการศึกษา สุขภาพ และโอกาสการพัฒนาทางสังคมอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ภายใต้กรอบกฎหมายและนโยบายที่ประเทศไทยให้การรับรอง

ทั้งนี้ ภายในงานมีการสัมมนาเรื่อง “บทบาทของไทยและองค์การสหประชาชาติในการส่งเสริมพันธกิจด้านการศึกษา” ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนด้านการพัฒนาทักษะทางการศึกษา กิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นแสงนำทางให้ทุกท่านบรรลุวัตถุประสงค์ภายใต้กรอบความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนฉบับปัจจุบัน รวมถึงวางแนวทางในอนาคตเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติภายในปี พ.ศ. 2573 ในประเทศไทย พร้อมทั้งระบุถึงอุปสรรคที่ยังคงอยู่ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานนั้น โดยคุณ Jenelle Babb ผู้แทนจากยูเนสโก กรุงเทพฯ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับการสนับสนุนขององค์การสหประชาชาติด้านการพัฒนาสังคมและความยั่งยืน เพื่อเน้นย้ำถึงเส้นทางความร่วมมืออันยาวนานกว่า 8 ทศวรรษระหว่างประเทศไทยและหน่วยงานของสหประชาชาติ

พบพร ผดุงพล / ข่าว
สมประสงค์ ชาหารเวียง / Facebook live
อินทิรา บัวลอย , ณัฐพล สุกไทย / ภาพ

11 กันยายน 2568 – ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานเตรียมการจัดโครงการ “ศตวรรษามหาธีรราชานุสรณ์” ครบรอบ 100 ปี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย โดยมี ดร. สันติ สิงหาพรม ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานราชการ และคณะทำงานเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ

รองปลัด ศธ. เปิดเผยว่า เนื่องด้วยในปี พ.ศ. 2568 ครบรอบ 100 ปี วันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย และรัฐบาลให้หน่วยงานสนับสนุนในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อเป็นการรำลึกและเผยแพร่พระเกียรติคุณ ให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย

สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ จึงกำหนดจัดโครงการ “ศตวรรษามหาธีรราชานุสรณ์” ครบรอบ 100 ปี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย โดยวางแผนการจัดกิจกรรมเพื่อเป็นการรำลึกและเผยแพร่พระเกียรติคุณ

สำหรับส่วนกลาง (กระทรวงศึกษาธิการ) กำหนดจัดงานในเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2568 โดยมีกิจกรรมดังนี้

  1. การบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
  2. พิธีวางพวงมาลา และถวายราชสดุดี ณ พระบรมราชานุสรณ์ สวนลุมพินี และ
    ณ ลานพระบรมราชานุสรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ
  3. การแสดง “ศารทูลสังคีตฉัฐราชสดุดี”
    (การขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์และการแสดงละครพระราชนิพนธ์ ณ หอประชุมคุรุสภา)
  4. การแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ฉัฐราชสดุดีประทรรศนียการ” (นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ หอประชุมคุรุสภา)
  5. การเดินทางไกลไปกราบสักการะพระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ และพระบรมราชสรีรางคารฯ ณ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม และบวงสรวงดวงพระวิญญาณฯ ณ ค่ายหลวงบ้านไร่ จังหวัดราชบุรี “ตามรอยเสือป่า : นครปฐม สู่ ราชบุรี”
  6. การเสวนาทางวิชาการเพื่อเผยแผ่พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว “ศารทูลปาฐกถาฉัฐราชาภิสดุดี” ณ หอประชุมคุรุสภา
  7. การประกวดสุนทรพจน์เพื่อเผยแผ่พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ กระทรวงศึกษาธิการ
    (รอบชิงชนะเลิศ โดยตัวแทนจากสำนักงานศึกษาธิการภาคของ สป.ศธ. ทั้ง 18 ภาค ทั่วประเทศ)
  8. การจัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์เสือป่า
    (นายพลเสือป่าพรานหลวง) เพื่อมอบให้สำนักงานลูกเสือจังหวัดทุกจังหวัด
  9. การจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึก “ประชุมพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับลูกเสือในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” เพื่อมอบให้แก่ห้องสมุดเฉลิมราชกุมารี ทั่วประเทศ
  10. งานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 22 ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

ในส่วนภูมิภาคจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ กำหนดจัดกิจกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2568 โดยมีกิจกรรมดังนี้

  1. การบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
  2. พิธีวางพวงมาลา และถวายราชสดุดี ณ สถานที่ที่จังหวัดกำหนด
  3. การแสดง “ศารทูลสังคีตฉัฐราชสดุดี”
    (การขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์และการแสดงละครพระราชนิพนธ์ ณ สถานที่ที่กำหนด)
  4. การแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ฉัฐราชสดุดีประทรรศนียการ” (นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ สถานที่ที่กำหนด)
  5. รับสมัครลูกเสือและบุคลากรทางการลูกเสือร่วมการเดินทางไกลไปกราบสักการะพระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ และพระบรมราชสรีรางคารฯ ณ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหารจังหวัดนครปฐม และบวงสรวงดวงพระวิญญาณฯ ณ ค่ายหลวงบ้านไร่ จังหวัดราชบุรี
    “ตามรอยเสือป่า : นครปฐม สู่ ราชบุรี”
  6. การเสวนาทางวิชาการเพื่อเผยแผ่พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว “ศารทูลปาฐกถาฉัฐราชาภิสดุดี”
    ณ ภาคเหนือ (รร.ยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่) ภาคใต้ (รร.มหาวชิราวุธ จ.สงขลา) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รร.แก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น หรืออื่น ๆ )
  7. การประกวดสุนทรพจน์เพื่อเผยแผ่พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ สถานที่ที่สำนักงานศึกษาธิการภาคกำหนด (รอบคัดเลือกตัวแทนสำนักงานศึกษาธิการภาค ของ สป.ศธ. ทั้ง 18 ภาค ทั่วประเทศ)

พบพร ผดุงพล / เรียบเรียง , กราฟิก
สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ / ข้อมูล , ภาพ

ความตอนหนึ่งของ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในการเป็นประธานเปิดงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ประจำปี 2568 ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568

“แม้เทคโนโลยีจะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการเข้าถึงความรู้ แต่ก็ยังมีความท้าทายในการลดช่องว่างและการกีดกันช้ำช้อน โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรชายขอบและผู้ที่ยังขาดทักษะการรู้หนังสือขั้นพื้นฐานในบริบทของโลกยุคใหม่ การรู้หนังสือไม่ได้หมายถึงเพียงการอ่านออกเขียนได้ ในความหมายแบบดั้งเดิมเท่านั้น หากแต่รวมถึงความสามารถในการเข้าถึง เข้าใจ และใช้ข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะผ่านสื่อดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ จึงกล่าวได้ว่า “การรู้หนังสือในยุคดิจิทัล” คือทักษะจำเป็นของพลเมืองโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังและทั่วถึง”

ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / กราฟิก
สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / เรียบเรียง-บรรณาธิการ

กระทรวงศึกษาธิการ – 10 กันยายน 2568 / นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดทำแผนพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษากับต่างประเทศ พ.ศ. 2569 – 2573 ของกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุมก่อ สวัสดิ์พาณิชย์ อาคารรัชมังคลาภิเษก

โดยมีผู้แทนองค์กรหลักและหน่วยงานในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย และผู้แทนสำนักงานปลัดกรุงเทพมหานคร เข้าร่วม

รองปลัด ศธ. กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดทิศทางการพัฒนาหลักสูตร การเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีวิสัยทัศน์ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยให้ทัดเทียมกับนานาชาติ รวมทั้งเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในเวทีความร่วมมือด้านการศึกษาระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ สิ่งสำคัญคือ “การจัดทำกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษากับต่างประเทศ”

เราจึงได้จัดทำร่างแผนพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษากับต่างประเทศ พ.ศ. 2569 – 2573 ฉบับนี้ขึ้นมา เพราะว่าการที่จะพัฒนาการศึกษาให้เท่าทันประเทศอื่นได้นั้น จำเป็นต้องเรียนรู้และติดตามทิศทางการดำเนินงานของนานาประเทศ เพราะประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก จึงต้องมีการเตรียมแผนเพื่อให้การศึกษาไทยก้าวทันโลกและสอดคล้องกับเจตจำนงขององค์การ UNESCO ซึ่งได้กำหนดแนวทางการศึกษาไว้ 4 ประเด็น

ประเด็นแรก คือการเรียนเพื่อรู้ สั่งสมและรักษาความรู้ที่ทันสมัย ประเด็นที่ 2 คือการเรียนเพื่อนำไปปฏิบัติ สามารถทำได้จริง ประเด็นที่ 3 การเรียนเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติ และประเด็นสุดท้าย คือการเรียนเพื่อค้นพบตนเอง สามารถประกอบอาชีพ มีรายได้ และ “เป็นพลเมืองโลกที่มีคุณภาพ มีคุณธรรม และมีวิชาความรู้ควบคู่กันไป” ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเรียนรู้การพัฒนาด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคมจากนานาประเทศ และสิ่งสำคัญที่สุดคือ “ครูต้องได้รับการพัฒนา”

ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องมีความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยเราต้อง “กำหนดกลยุทธ์” ขึ้นมาเพื่อนำมาเป็นแนวปฏิบัติให้ไปในทิศทางเดียวกัน กลยุทธ์แรก คือการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนากลยุทธ์ที่ 2 คือส่งเสริมการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรการเรียนรู้ให้ทันสมัย ควบคู่กลยุทธ์ที่ 3 ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการศึกษา เพื่อนำไปสู่กลยุทธ์ที่ 4 คือการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความพร้อมสู่ความเป็นสากล และก้าวไปสู่กลยุทธ์ที่ 5 คือการขยายโอกาสทางการศึกษาและส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข

กระทรวงศึกษาธิการ จำเป็นต้องร่วมมือกับทั้งหน่วยงานในสังกัดและหน่วยงานภายนอก เพื่อให้เกิดพลังการทำงานร่วมกันในการขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติ โดยต้องมีการวางแผนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการในแผนระยะสั้น คือการมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมของบุคลากร การส่งเสริมการฝึกอบรม ศึกษาดูงาน และการทำวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ทั้งในกลุ่มประเทศอาเซียน ยุโรป และอเมริกา รวมถึงประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษและภาษาที่สาม และยังได้ร่วมมือกับกระทรวงอื่น ๆ อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

เพื่อร่วมกันสร้างโอกาสให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้เข้าร่วมกิจกรรมการศึกษาดูงาน การฝึกอบรม หรือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในต่างประเทศรวมถึงหน่วยงานในสังกัด อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งมีความร่วมมือด้านการศึกษากับต่างประเทศ อาทิ ประเทศสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ รวมถึงประเทศในกลุ่มอาเซียน+3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญสำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา ความร่วมมือในการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนครูและบุคลากร ส่งเสริมให้ครูจากต่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาไทย ขณะเดียวกันครูไทยก็ได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในต่างประเทศ อันจะช่วยต่อยอดความร่วมมือให้กว้างขวางและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต

“ความร่วมมือด้านการศึกษากับต่างประเทศ จึงเป็นดั่งการเปิดประตูในการสร้างโอกาสให้บุคลากรของประเทศ ครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้เรียนรู้ ได้พัฒนา ได้เพิ่มพูนทักษะ จากเข้าร่วมกิจกรรม ทั้งการศึกษาดูงาน การฝึกอบรม หรือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ฯ เพื่อนำองค์ความรู้กลับมาพัฒนาการศึกษาไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐานสูงขึ้น ตลอดจนเป็นการขยายเครือข่ายความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐในระดับสากล และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรพัฒนาตนเองมากยิ่งขึ้น ภายใต้แนวคิด “ส่งเสริมคน พัฒนาคน เพื่อให้คนมีศักยภาพ พัฒนางาน และนำแผนสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม” โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ “ทุกภาคส่วนได้รับการพัฒนาอย่างเท่าเทียม” เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาของประเทศให้ก้าวทันนานาอารยประเทศ”

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
ณัฐพล สุกไทย / ภาพ

ความตอนหนึ่งของศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ในการเป็นประธานงานครบรอบ 22 ปี วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568

“เนื่องในโอกาสครบรอบ 22 ปี ของ สกสค. ได้กำหนดทิศทางการกำกับดูแล โดยมีนโยบายเร่งด่วนในการแก้ปัญหาหนี้สินของครูและบุคลากรทางการศึกษา ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ในการจัดตั้ง “สหกรณ์กลาง” เพื่อรวมหนี้จากสหกรณ์ต่าง ๆ มาลดภาระดอกเบี้ย ภายใต้เงื่อนไขว่าจะไม่สร้างหนี้เพิ่ม นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ สกสค. ดำเนินการด้านสวัสดิการเพิ่มเติม เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งที่ยังปฏิบัติราชการและผู้ที่เกษียณแล้ว”

ธรรมนารี ชดช้อย / เรียบเรียง
ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / กราฟิก
สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / บรรณาธิการ

 

ความตอนหนึ่งของ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในการเป็นประธานเปิดงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ประจำปี 2568 ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568

“ในปัจจุบันนี้ กระบวนการเรียนรู้จะมีเรื่องของภาษามาร่วมด้วย ทั้งวัจนภาษา และอวัจนภาษา จึงไม่ได้สนับสนุนให้คนไทยอ่านหนังสืออย่างเดียว แต่ว่าเรามีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เราจะต้องไม่ลืม คือ กลุ่มผู้พิการ ซึ่งพวกเขาจะต้องเรียนรู้ผ่านทางสื่อต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้พิการทางสายตา ก็จะเป็นสื่ออักษรเบรลล์ ควรจะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ขาดโอกาสทางการศึกษาให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่จะต้องส่งเสริมให้ตลอดชีวิต และเติบโตมาที่จะเรียนรู้ได้ จนถึงผู้สูงวัย”

สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / เรียบเรียง-บรรณาธิการ
ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / กราฟิก

9 กันยายน 2568 – ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานงานครบรอบ 22 ปี วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)

โดยมีนายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. และผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารพนักงานเจ้าหน้าที่ สกสค. ครูและบุคลากรทางการศึกษา ร่วมพิธี ณ หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ

รมว.ศธ. กล่าวว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 22 ปี ของ สกสค. ได้กำหนดทิศทางการกำกับดูแล โดยมีนโยบายเร่งด่วนในการแก้ปัญหาหนี้สินของครูและบุคลากรทางการศึกษา ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ในการจัดตั้ง “สหกรณ์กลาง” เพื่อรวมหนี้จากสหกรณ์ต่าง ๆ มาลดภาระดอกเบี้ย ภายใต้เงื่อนไขว่าจะไม่สร้างหนี้เพิ่ม นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ สกสค. ดำเนินการด้านสวัสดิการเพิ่มเติม เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งที่ยังปฏิบัติราชการและผู้ที่เกษียณแล้ว

เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. เปิดเผยว่า สกสค. เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลและจัดสวัสดิการแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ ในรอบปีที่ผ่านมาได้พัฒนาการบริการหลายด้านอย่างต่อเนื่อง

เนื่องในโอกาสครบรอบ 22 ปี การสถาปนา สกสค. วันนี้มีข่าวดีสำหรับสมาชิกโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. ที่เคยร้องขอให้ช่วยลดภาระค่าเบี้ยประกันสินเชื่อที่มีอัตราสูง ซึ่ง สกสค. ได้ผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนสามารถทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับธนาคารออมสิน เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 และเปิดรับการสรรหาผู้รับประกันคุ้มครองสินเชื่อ

จากการพิจารณา ได้พิจารณาเลือกบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับประกันรายใหม่ เนื่องจากเสนออัตราเบี้ยประกันที่ต่ำสุด พร้อมทั้งมีความมั่นคงและน่าเชื่อถือ โดยสมาชิกโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. สามารถเลือกทำประกันคุ้มครองสินเชื่อกับบริษัทดังกล่าวได้ ตามความสมัครใจแทนบริษัทรับประกันเดิม

การปรับลดเบี้ยประกันครั้งนี้ จะช่วยบรรเทาภาระทางการเงินและลดความเดือดร้อนให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาสมาชิกโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. ได้อย่างมาก ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนได้ผ่าน Line Official Account ของ สกสค. รวมทั้ง เว็บไซต์ http://www.otep.go.th หรือที่สำนักงาน สกสค. จังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. กล่าวเพิ่มเติมว่า สกสค. จะยังคงเดินหน้าพัฒนาสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือครูและบุคลากรอย่างต่อเนื่อง โดยในอนาคตอันใกล้นี้ สกสค. และธนาคารออมสินจะร่วมกันพิจารณาโครงการใหม่ ๆ เพื่อลดภาระหนี้สินครูเป็นโครงการต่อไป

ธรรมนารี ชดช้อย/ เรียบเรียง, กราฟิก
ณัฐพล สุกไทย/ ภาพ
สำนักงาน สกสค./ ข้อมูล

8 กันยายน 2568/นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ประจำปี 2568 ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร

วันที่ 8 กันยายนของทุกปี นับเป็นวันสำคัญยิ่ง ที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้กำหนดให้เป็น “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ตามมติที่ประชุมรัฐมนตรีศึกษาโลกว่าด้วย “การขจัดการไม่รู้ หนังสือ”
ณ ประเทศอิหร่าน เมื่อปี พ.ศ. 2508 และได้ประกาศเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเป็นครั้งแรก

ในปี พ.ศ. 2509 เพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการรู้หนังสือและความท้าทายจากปัญหาการไม่รู้หนังสือที่ส่งผลต่อการพัฒนาสังคม ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกยูเนสโก ได้เข้าร่วมการเฉลิมฉลองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 โดยกองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น และได้สืบสานการจัดกิจกรรมมาโดยต่อเนื่องจนปัจจุบัน

สำหรับปี 2568 กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้กำหนดจัดงาน ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์แห่งนี้ ภายใต้แนวคิด “การส่งเสริมการรู้หนังสือในยุคดิจิทัล” เพื่อสะท้อนความสำคัญของการปรับตัวด้านการเรียนรู้ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัล โดยมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย คณะผู้แทนจากสำนักงานยูเนสโก้ส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ภาคีเครือข่ายด้านการศึกษา คณะผู้บริหารและบุคลากรกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดจนผู้เข้ารับรางวัลประกาศเกียรติคุณ ประจำปี 2568 รวมทั้งสิ้นกว่า 400 คน

ในการเปิดงานครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา สำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพมหานคร (คุณริกะ โยโรส) มาร่วมอ่านสารของผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก และปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้อ่านสารนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสดังกล่าว มีใจความสำคัญว่า

…๘ กันยายนของทุกปี เป็น “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรู้หนังสือ และการศึกษาเพื่อการพัฒนาบุคคล ชุมชนและสังคมของทุกประเทศทั่วโลก โดยในปีนี้ องค์การยูเนสโก ได้กำหนดแนวคิดหลัก “Promoting Literacy in the Digital Era” หรือ “การเสริมการรู้หนังสือในยุคดิจิทัล” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งของการเตรียมความพร้อมให้ประชาชนสามารถพัฒนาทักษะพื้นฐานด้านการรู้หนังสือควบคู่กับทักษะด้านดิจิทัล เพื่อให้สามารถมีส่วนร่วมอย่างมีความรับผิดชอบในโลกยุคใหม่

การรู้หนังสือในศตวรรษที่ 21 ต้องสามารถนำพาแต่ละบุคคลให้เข้าถึง วิเคราะห์และสื่อสารข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเปิดรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านสื่อดิจิทัล แม้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล นำมาทั้งโอกาสและความท้าทาย หากปราศจากการเข้าถึงและทักษะที่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดช่องว่างทางโอกาสและการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน การพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัยให้มีศักยภาพเพื่อเป็นพลังในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะการส่งเสริมการรู้หนังสือซึ่งถือเป็นพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของประชาชนทุกคน

รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการศึกษาและการใช้นวัตกรรมทางการศึกษาเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานเหมาะสำหรับผู้เรียนในทุกช่วงวัย รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานติจิทัลควบคู่กับการสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อลดช่องว่างทางการศึกษา ทำให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และสามารถใช้สื่อดิจิทัลกับการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด อันจะช่วยให้ประชาชนทุกคนได้เพิ่มพูนศักยภาพของตนเองสามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ ตลอดจนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ นวัตกรรมสร้างความสามารถในการแข่งขัน

ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงก้าวหน้าสืบไป เนื่องในโอกาส “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ประจำปี 2568 ผมขอส่งความปรารถนาดีมายัง ครู ผู้เรียนและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจด้านการส่งเสริมการศึกษาเพื่อการรู้หนังสือ พร้อมทั้งขอเชิญชวนทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ ตลอดจนพี่น้องประชาชนทุกคนร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการกิจการสร้างโอกาสแห่งการรู้หนังสือ เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืนตลอดไป…

ปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวในพิธีการเปิดงานว่า “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” เพื่อย้ำเตือนประชาคมโลก ถึงความสำคัญของการรู้หนังสือในฐานะที่เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นรากฐานของการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาที่ยังยืน และสันติภาพในสังคมในบริบทของโลกยุคใหม่

แม้เทคโนโลยีจะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการเข้าถึงความรู้ แต่ก็ยังมีความท้าทายในการลดช่องว่างและการกีดกันช้ำช้อน โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรชายขอบและผู้ที่ยังขาดทักษะการรู้หนังสือขั้นพื้นฐานในบริบทของโลกยุคใหม่ การรู้หนังสือไม่ได้หมายถึงเพียงการอ่านออกเขียนได้ ในความหมายแบบดั้งเดิมเท่านั้น หากแต่รวมถึงความสามารถในการเข้าถึง เข้าใจ และใช้ข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะผ่านสื่อดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ จึงกล่าวได้ว่า “การรู้หนังสือในยุคดิจิทัล” คือทักษะจำเป็นของพลเมืองโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังและทั่วถึง

กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความท้าทายดังกล่าว จึงได้กำหนดนโยบายและมุ่งส่งเสริมการรู้หนังสือในทุกมิติ โดยเฉพาะการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้การยกระดับทักษะของครูและผู้เรียน การจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ยืดหยุ่น ทันสมัย และเข้าถึงผู้เรียนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม โดย กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้ดำเนินกิจกรรม”วันที่ ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ”มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2510 ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จากสำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพฯ ผู้บริหารและบุคลากรในสังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ทั่วประเทศ ตลอดจนภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่ได้ผนึกกำลังกันในการส่งเสริมการรู้หนังสือของประชาชน และในโอกาสนี้จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันผนึกพลังเพื่อให้การรู้หนังสือในยุคดิจิทัล เป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยทุกคนต่อไป

นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ในอดีตที่ผ่านมาเราเคยได้รับฟังว่า คนไทยอ่านหนังสือไม่เกินปีละ 8 บรรทัด เป็นอะไรที่สะท้อนว่า คนไทยเราไม่สนใจอ่านหนังสือขนาดนั้นหรือ…แต่ในข้อเท็จจริงนั้น ในการสำรวจเมื่อปี 2567 มีข้อมูลพบว่าอัตราการรู้หนังสือของคนไทยเพิ่มขึ้น 98.83% ซึ่งขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นของกลุ่มประเทศอาเซียน

ถ้าหากเรามาย้อนดูพฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนไทยแล้ว คนไทยส่วนใหญ่ปัจจุบันส่วนใหญ่ อ่านหนังสือจากกระดาษเฉลี่ยประมาณ 51.37 นาที/วัน แต่ว่าสิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็น คือ เราอ่านหนังผ่านสื่อออนไลน์เฉลี่ยประมาณ 152.10 นาที/วัน แสดงให้เห็นได้ว่าพวกเราชอบอ่านหนังสือและหาความรู้ผ่านสื่อดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการจัดกิจกรรมในวันนี้ โดยเฉพาะสื่อต่าง ๆ ที่เป็นแพลตฟอร์มต่าง ๆ บนสื่อออนไลน์

ซึ่งในปัจจุบันนี้ กระบวนการเรียนรู้จะมีเรื่องของภาษามาร่วมด้วย ทั้งวัจนภาษา และอวัจนภาษา จึงไม่ได้สนับสนุนให้คนไทยอ่านหนังสืออย่างเดียว แต่ว่าเรามีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เราจะต้องไม่ลืม คือ กลุ่มผู้พิการ ซึ่งพวกเขาจะต้องเรียนรู้ผ่านทางสื่อต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้พิการทางสายตา ก็จะเป็นสื่ออักษรเบรลล์ ควรจะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ขาดโอกาสทางการศึกษาให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่จะต้องส่งเสริมให้ตลอดชีวิต และเติบโตมาที่จะเรียนรู้ได้ จนถึงผู้สูงวัย

ทำอย่างไรให้ห้องสมุดประชาชนเข้าถึงประชาชนได้ทุกคนและทุกช่วงวัย จึงขอฝากประเด็นนี้ไว้กับพวกเราให้ทำหน้าที่ทั้งเชิงรุกและเชิงรับควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นการตั้งรับบริการที่ห้องสมุด หรือห้องสมุดเคลื่อนที่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสอดรับกับภารกิจของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ที่สำคัญในโลกยุคปัจจุบัน สื่อดิจิทัลมีความสำคัญอย่างยิ่ง สื่อยาว ๆ มักจะไม่ค่อยมีคนสนใจเท่ากับสื่อสั้น ๆ ดังนั้น ในเรื่องของการผลิตสื่อ ควรเน้นที่กลุ่มเป้าหมาย กระชับ ชัดเจนขึ้น เชื่อว่าพวกเราทุกคนมีความสามารถในการผลิตสื่ออยู่แล้ว จึงขอให้ดำเนินการต่าง ๆ สอดรับกับการเปลี่ยนของโลกและในศตวรรษที่ 21

สุกัญญา จันทรสมโภชน์ /สรุป กราฟิก
อินทิรา บัวลอย/ภาพ

8 กันยายน 2568 – นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับคณะผู้แทนจาก Sultan Idris Education University ประเทศมาเลเซีย ในโอกาสเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการ ภายใต้หัวข้อ “Advancing Education through Policy” ซึ่งจัดโดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระหว่างวันที่ 6–21 กันยายน 2568

โดยมี นางกุสุมา นวพันธ์พิมล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนานโยบายความร่วมมือต่างประเทศ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ และสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ เข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ นางสาวโกมุที ยมลนันท์ ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และสารสนเทศต่างประเทศ ได้นำเสนอภาพรวมระบบการศึกษาของไทยและแนวนโยบายที่เกี่ยวข้อง

ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนโยบายการบริหารการศึกษาเชิงเปรียบเทียบ โดยฝ่ายไทยให้ความสนใจการพัฒนาภาษาอังกฤษ ขณะที่ฝ่ายมาเลเซียชื่นชมความมีระเบียบวินัยและความเคารพครูของนักเรียนไทย

ภายหลังการประชุม คณะผู้แทนฯ ได้เยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย และเดินทางไปยัง สำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ และ สำนักงานเลขาธิการซีมีโอ เพื่อศึกษาดูงานด้านการจัดการศึกษาในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยมีสำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศเป็นผู้ประสานงาน

กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย ซึ่งจะเอื้อต่อการพัฒนานโยบายการศึกษาในระดับภูมิภาคต่อไปในอนาคต

ธรรมนารี ชดช้อย/ เรียบเรียง, กราฟิก
พีรณัฐ ยุชยะทัต, ณัฐพล สุกไทย/ ภาพ
สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป.ศธ./ ข่าว

8 กันยายน 2568 – ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการปฐมนิเทศนักศึกษาทุนสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี Ms. Xu Lan อุปทูตที่ปรึกษาฝ่ายการศึกษา สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ตลอดจนผู้บริหารจาก Nanjing Vocational College of Information Technology และ Liuzhou Polytechnic University ผู้บริหารสถานศึกษา คณะครูอาจารย์และนักเรียนนักศึกษา เข้าร่วม ณ โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ

ศ.ดร.นฤมล ได้กล่าวแสดงความยินดีกับนักศึกษาไทยที่ได้รับทุนศึกษาต่อในประเทศจีนทั้ง 165 คน และมีคณะครูอาชีวะอีก 25 คน ร่วมเดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือด้านการศึกษาและอาชีวะระหว่างไทยกับจีน พร้อมกล่าวว่า โอกาสที่ได้รับครั้งนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและไม่ใช่ทุกคนจะได้มา ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนผ่านการคัดเลือกเพราะมีศักยภาพและความพร้อม จึงอยากให้ใช้โอกาสนี้อย่างเต็มที่

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ความสัมพันธ์ไทย–จีน แม้จะมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการครบ 50 ปีในปีนี้ แต่ในมิติของประชาชนและวัฒนธรรม ความผูกพันมีมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี หลายครอบครัวชาวไทยมีเชื้อสายจีน และยังคงสืบทอดภาษาและประเพณีมาจนถึงปัจจุบัน แสดงถึงสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ ซึ่งจีนในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงโรงงานของโลก แต่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก

ดังนั้น นักศึกษาที่เดินทางไปศึกษาจะได้มีโอกาสเห็นความก้าวหน้าอย่างใกล้ชิด และควรใช้โอกาสนี้เรียนรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาการ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตแบตเตอรี่ และการวิจัยพัฒนา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต โดยเฉพาะการสร้างนวัตกรรมและยกระดับอุตสาหกรรมไทย

“นักศึกษาทุกคนคือเมล็ดพันธุ์สำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยในอนาคต จึงอยากให้ตั้งเป้าหมายใหญ่ ฝันให้ไกล และใช้โอกาสนี้เป็นแรงบันดาลใจเพื่อนำมาสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับสังคมไทย โครงการนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย ไทยได้บุคลากรที่มีศักยภาพ ขณะที่จีนก็ได้ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน และเมื่อทุกคนกลับมา เราจะเห็นการพัฒนาประเทศไทยด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ที่ได้รับประสบการณ์ตรงจากประเทศที่เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของโลก” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

พบพร ผดุงพล / กราฟิก
ประชาสัมพันธ์ สร.ศธ. / ภาพ , ข่าว

7 กันยายน 2568 / ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานมหกรรมวิชาการ “Education Reform รวมพลังพลิกโฉมการศึกษาไทยสู่อนาคตอย่างยั่งยืน” จัดโดยสำนักงานศึกษาธิการภาค 10 และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในพื้นที่ ณ โรงแรมนภาลัย อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี

โดย ดร.สมใจ วิเศษทักษิณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการในตำแหน่งศึกษาธิการภาค 10 กล่าวรายงาน พร้อมด้วย ดร.ธัชกร วงศ์เพ็ง รองศึกษาธิการภาค 10 พร้อมด้วยศึกษาธิการจังหวัดอุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และจังหวัดบึงกาฬ รวมถึงผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน ทุกสังกัด และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้ง ดร.สัมนาการณ์ บุญเรือง รองศึกษาธิการภาค 13 และ ศึกษาธิการจังหวัดลพบุรี สระบุรี และปทุมธานี รวมทั้งสิ้น 400 คน

กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การนำเสนอ “ความสำเร็จในการส่งเสริม สนับสนุนการผลิต การวิจัยพัฒนาสื่อนวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างทั่วถึง” โดย กองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาการศึกษา สป. การเสวนาวิชาการ “พลิกโฉมการศึกษาเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน”

การนำเสนอผลงานนิทรรศการนโยบายการศึกษา ใน 3 มิติ ได้แก่ 1) มิติด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและนวัตกรรม 2) มิติด้านการสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำ และ 3) มิติด้านการเสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นคง

รวมทั้งการมอบเกียรติบัตรเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ให้แก่หน่วยงาน/บุคคล ที่ได้รับรางวัล วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) ในระดับภาค รวมถึงภาคีเครือข่ายที่มีส่วนร่วมในการส่งเสริม สนับสนุน การขับเคลื่อนการจัดการศึกษา และดำเนินงานตามภารกิจในพื้นที่สำนักงานศึกษาธิการภาค 10

ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล และชื่นชมการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบาย และการบูรณาการการทำงานในพื้นที่ของสำนักงานศึกษาธิการภาค 10 ทั้งในส่วนของหน่วยงาน สถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นย้ำว่า “กระทรวงศึกษาธิการเป็นเพียงผู้กำหนดกรอบนโยบาย ส่วนในการปฏิบัติที่จะเกิดผลเป็นรูปธรรมมีความยั่งยืน และยกระดับคุณภาพการศึกษาได้จริงๆ คือ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษาที่ขับเคลื่อนในระดับพื้นที่”

การจัดงานในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 18 อุดรธานี วิทยาลัยการอาชีพหนองคาย โรงเรียนพัฒนาอาชีพอุดรธานี โรงเรียนบ้านเมืองบาง จ.หนองคาย โรงเรียนบ้านเอราวัณ จ.เลย และสพป. อุดรธานี เขต 1 ร่วมการเสวนา

สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / ข่าว
พบพร ผดุงพล / กราฟิก

ความตอนหนึ่ง ของศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในการเป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการ การขับเคลื่อนมาตรฐานการศึกษาของชาติ “Al for Education ปั้นคนไทยสู่อนาคต 5.0” และมอบนโยบายการขับเคลื่อนมาตรฐานการศึกษาของชาติสู่การปฏิบัติ ณ ห้องราชาบอลรูม ชั้น 11 โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพฯ และรับชมการถ่ายทอดสดผ่านเพจสภาการศึกษา เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568

“วันนี้ฝากเป็นโจทย์ให้สภาการศึกษา ช่วยกันระดมสมองกับผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารสถาบันการศึกษา เพราะการเข้าถึงเรื่องมือถือทุกวันนี้ง่ายขึ้นมาก และเราคงไปจำกัดในการหาความรู้ของผู้เรียนได้ยาก ครูต้องเข้าใจแนวทาง และนโยบายควรมีเนื้อหาในการที่จะทำความเข้าใจและเข้าถึงง่าย เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย”

พบพร ผดุงพล / เรียบเรียง
ณัฐพล สุกไทย / กราฟิก
สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / บรรณาธิการ

4 กันยายน 2568 – ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับมอบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นผู้มอบ ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร

รมช.ศธ. เปิดเผยว่า จากสถานการณ์พายุ “วิภา” เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อหลายพื้นที่ในจังหวัดน่าน รวมถึงศูนย์ E-exam ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถขนย้ายอุปกรณ์ได้ทันเวลา ส่งผลให้การสอบต้องหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อนักศึกษาในสังกัดกว่า 6,800 คน

ต่อมาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ได้ลงพื้นที่จังหวัดน่าน เพื่อตรวจเยี่ยม รับฟังปัญหา และสำรวจความเสียหาย พร้อมมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดน่าน ประสานขอรับการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ จนนำมาสู่การส่งมอบคอมพิวเตอร์ชุดใหม่ในครั้งนี้

สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ได้รับในครั้งนี้ จะนำไปใช้ในศูนย์ทดสอบการประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ  ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-exam) ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอเมืองน่านของนักศึกษาทั้ง 15 อำเภอ รวมกว่า 6,800 คน โดยในแต่ละภาคเรียนจะมีนักศึกษาเฉลี่ย 150 คน เข้าสอบผ่านระบบดังกล่าว

ธรรมนารี ชดช้อย/ เรียบเรียง,กราฟิก
กรมส่งเสริมการเรียนรู้/ ข้อมูล


Top