homescontents
homescontents

16 พฤศจิกายน 2568 – นางสาวอนงค์นาถ จ่าแก้ว เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายชูสิน วรเดช รองหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมงานมหกรรมสนามเด็กเล่นหุ่นยนต์ (SK Robotics Playground 2025) การแข่งขันหุ่นยนต์ยุวชนชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2568 ณ Robot Realm ศูนย์การการค้าเซียร์ รังสิต

งานมหกรรมสนามเด็กเล่นหุ่นยนต์ 2568 (SK Robotics Playground @ Robot Realm) จัดโดยสภาสถาบันสวนกุหลาบ และ Robot Realm ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต ร่วมกับสมาคมครูเทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย เครือข่ายทางการศึกษาและบริษัทเอกชน

ภายในงานมีการอบรมประกวด และแข่งขันทักษะด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ ตั้งแต่ระดับพื้นฐานถึงระดับประเทศ ชิงถ้วยรางวัลนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ) เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) รวมถึงเหรียญรางวัลและเกียรติบัตรลงนามโดย รมว.ศธ. และเลขาธิการ กพฐ. ทั้งนี้ชมรมครูหุ่นยนต์ไทย ชมรมโรโบอินโนเวเตอร์ ผู้ทรงคุณวุฒิและอาจารย์จากสถาบันอุดมศึกษา เป็นผู้ตัดสินการแข่งขัน

ธรรมนารี ชดช้อย/ ข่าว
ศุภณัฐ วัฒนมงคลลาภ/ ภาพ

16 พฤศจิกายน 2568 / ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เข้าพบหารือกับนายจ้าว หลิงชัน (Mr. Zhao Lingshan) เลขาธิการมูลนิธิการศึกษาภาษาจีน นานาชาติ และนายจง อิงฮั่ว (Mr. Zhong Yinghua) ประธานสมาคมภาษาจีนนานาชาติ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อกระชับความร่วมมือด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนระหว่างไทย–จีนอย่างรอบด้าน ทั้งในระดับโรงเรียน อาชีวศึกษา และสถาบันเอกชนของไทย

ระหว่างการหารือ ศ.ดร.นฤมล ได้กล่าวถึงนโยบายหลักของกระทรวงศึกษาธิการที่ให้ความสำคัญกับการยกระดับทักษะภาษาจีนในทุกระดับการศึกษา ทั้งระดับพื้นฐาน อาชีวศึกษา และเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามทิศทางเศรษฐกิจโลกและการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับจีน รมว.ศึกษาธิการเน้นว่า การเรียนภาษาจีนไม่ใช่เพียงเรื่องภาษา แต่เป็นประตูสู่โอกาสในอนาคต ทั้งด้านการค้า การท่องเที่ยว การลงทุน และการร่วมพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ระหว่างสองประเทศ

“กระทรวงศึกษาธิการได้หารือกับฝ่ายจีนถึงแนวทางขยายความร่วมมือในหลายมิติ โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์สอนและสอบวัดระดับภาษาจีน HSK ในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยรองรับผู้เรียนจำนวนมากที่ต้องการสอบวัดระดับภาษาจีน ทั้งเพื่อการศึกษาต่อ การทำงาน และการรับทุนการศึกษาจากจีน นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงการจัดตั้ง Luban Workshop แห่งใหม่ที่วิทยาลัยเทคนิคระยอง เพื่อเป็นศูนย์กลางฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและนวัตกรรมสมัยใหม่ รวมถึงการตั้งศูนย์ฝึกอบรม 1+X แห่งแรกของประเทศที่วิทยาลัยเทคนิคบ้านค่าย เพื่อพัฒนาหลักสูตรวิชาชีพให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากทั้งไทยและจีน”ศ.ดร.นฤมล ระบุ

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ฝ่ายจีนทั้งมูลนิธิการศึกษาภาษาจีนนานาชาติและสมาคมภาษาจีนนานาชาติ ได้แสดงความพร้อมอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนความร่วมมือกับไทย โดยกล่าวย้ำว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่จีนให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ในการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน และเห็นว่าไทยมีศักยภาพสูงมากในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการศึกษาภาษาจีนของอาเซียน สำหรับบทบาทสำคัญของสมาคมในการพัฒนามาตรฐานครูภาษาจีนนานาชาติ การออกแบบหลักสูตร และการจัดกิจกรรมแข่งขันทางวิชาการ ก็พร้อมสนับสนุนไทยในทุกด้าน ทั้งด้านบุคลากร เทคโนโลยีการสอน และการวิจัยทางภาษา

“การหารือในครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของไทย–จีนในมิติการศึกษา แต่ยังเป็นการวางรากฐานสู่การสร้างโอกาสในอนาคตสำหรับนักเรียน นักศึกษา ครู และสถานศึกษาไทย ที่จะได้เข้าถึงทรัพยากรและมาตรฐานสากลของจีนมากยิ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันในการเดินหน้าความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ต้องการทั้งทักษะภาษา เทคโนโลยี และความเข้าใจวัฒนธรรมในระดับลึกซึ้ง จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยให้เทียบเท่านานาชาติ พร้อมเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างไทย–จีนให้มั่นคงและยั่งยืนต่อไป”

ภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/16fCxhDZfL/

16 พฤศจิกายน 2568 – ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ได้เข้าพบหารือกับ Mr. Yu Yunfeng ผู้อำนวยการศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษาจีนระหว่างประเทศ (Center for Language Education and Cooperation: CLEC) ณ กรุงปักกิ่ง ระหว่างการประชุมภาษาจีนโลก ประจำปี 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติจีน สาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยได้นำเสนอนโยบายและทิศทางการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย พร้อมเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทย–จีน และความสำคัญของการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ภาษาจีนให้ทันสมัยและตอบโจทย์อนาคต โดยเฉพาะการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาที่มีทักษะภาษาจีนรองรับตลาดแรงงานยุคใหม่ พร้อมเสนอให้ฝ่ายจีนสนับสนุนทุนการศึกษาแก่ครูไทยเพื่อไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน ตลอดจนส่งผู้เชี่ยวชาญมาฝึกอบรมให้แก่ครูไทยเพื่อยกระดับทักษะการสอนภาษาจีนอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ไทยยังขอรับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในห้องเรียนของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ รวมถึงการร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มการสอนภาษาจีน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่าย หลากหลาย และทันสมัยยิ่งขึ้น ขณะที่ฝ่ายจีนได้เสนอแนวทางขยายความร่วมมือ เช่น การยกระดับหลักสูตรภาษาจีนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในระดับอาชีวศึกษา การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ ระบบการสอบ HSK การแลกเปลี่ยนครูและผู้เชี่ยวชาญชาวจีน รวมถึงการร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แบบครบวงจรสำหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย

รมว.ศธ. ยังกล่าวถึงความจำเป็นในการพัฒนาทักษะภาษาจีนเพื่อตอบโจทย์การจ้างงานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีนักลงทุนชาวจีนจำนวนมาก พร้อมเสนอให้เพิ่มครูอาสาสมัครจีนในศูนย์การเรียนรู้ทั่วประเทศเพื่อเสริมศักยภาพแรงงานไทย ขณะเดียวกัน ไทยยังขอรับการสนับสนุนการจัดตั้ง “ห้องเรียนขงจื่อ” เพิ่มเติม รวมถึงส่งเสริมรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ 3+1 ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และทักษะภาษาดิจิทัล (AI)

ทั้งนี้ การหารือครั้งนี้สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมของไทยและจีนในการพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษาให้ก้าวหน้าและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้คุณภาพสูงให้คนไทยทุกช่วงวัย และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง

ธรรมนารี ชดช้อย/ เรียบเรียง-กราฟิก
สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ/ ข่าว
ภาพเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/share/p/1DFZqL1y65/

ปักกิ่ง – 15 พฤศจิกายน 2568 / ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายพิเชฐ โพธ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในฐานะผู้กำกับดูแลงานด้านการเรียนการสอนของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ร่วมกล่าวปาฐกถาสำคัญในงานการประชุมภาษาจีนโลก พ.ศ. 2568 ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน หัวข้อ “โอกาสและความท้าทายของการประเมินผลภาษาจีนด้วยระบบอัจฉริยะ” โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการสร้างโอกาสและรับมือกับความท้าทายของการประเมินผลการเรียนรู้ภาษาจีนในยุคดิจิทัล พร้อมประกาศความมุ่งมั่นในการสร้าง “คุณภาพผู้เรียนสู่สากล” ผ่านการใช้ระบบอัจฉริยะอย่างสร้างสรรค์

นายพิเชฐ โพธ์ภักดี กล่าวว่า การเรียนรู้ภาษาจีนมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่เพื่อการสื่อสารเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่ไร้ขีดจำกัด การกล่าวปาฐกถาครั้งนี้เกิดขึ้นในปีที่ราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐปะชานจีน ภายใต้คำกล่าว “ไทยจีนใช่อื่นไกล เราคือครอบครัวเดียวกัน” (中泰一家亲 จงไท้เจียซิน) ซึ่งการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีจำนวนนักเรียน ครู และโรงเรียนที่เปิดสอนภาษาจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

* รากฐานการศึกษาภาษาจีนกว่าสองศตวรรษ

ประวัติความเป็นมาของการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยนั้นยาวนานกว่าสองศตวรรษ โดยมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่การก่อตั้งโรงเรียนจีนแห่งแรก คือ โรงเรียน “เกาะเรียน” ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 2325 ซึ่งเน้นการเรียนการสอนเป็นภาษาจีนทั้งหมด และมีการขยายตัวจนมีโรงเรียนจีนกว่า 200 แห่งในปี พ.ศ. 2475

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2535 เมื่อกระทรวงศึกษาธิการประกาศยกระดับให้ภาษาจีนมีสถานะเท่ากับภาษาต่างประเทศอื่น และในปี พ.ศ. 2551 สถานศึกษาในสังกัด สพฐ. สามารถออกแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาจีน โดยกำหนดให้เป็นกลุ่มรายวิชาเพิ่มเติมในหลักสูตรแกนกลางฯ พ.ศ. 2551 ปัจจุบัน ภาษาจีนจึงกลายเป็นหนึ่งในภาษาต่างประเทศที่สำคัญที่สุด และเป็นหนึ่งใน 6 ภาษาหลักที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารขององค์การสหประชาชาติ

*นโยบายการจัดการเรียนการสอนและการใช้มาตรฐานสากล

เพื่อรองรับบทบาทที่เพิ่มขึ้นของภาษาจีน สพฐ. ได้กำหนดนโยบายปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2566 ได้ประกาศแนวทางการจัดการเรียนการสอนภาษาจีน ซึ่งมีการนำมาตรฐานความสามารถทางภาษาจีน **HSK (Hanyu Shuiping Kaoshi) และ YCT (Youth Chinese Test) มาเป็นกรอบแนวคิดหลักในการกำหนดเป้าหมาย การออกแบบหลักสูตร การวัดผล และการพัฒนาครู

ปัจจุบัน สพฐ. กำหนดรูปแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาจีน 2 รูปแบบ ได้แก่

• ห้องเรียนทั่วไปภาษาจีน (General Chinese Classroom: GCC) จัดภาษาจีนเป็นรายวิชาเพิ่มเติม หรือบูรณาการ

เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการสื่อสารพื้นฐาน

• ห้องเรียนพิเศษภาษาจีน (Chinese Program: CP) ใช้ภาษาจีนเป็นสื่อในการสอนทั้งรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติม เช่น วิชาคณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ เพื่อเน้นการพัฒนาทักษะที่เข้มข้น และเตรียมพร้อมสู่การศึกษาต่อและประกอบอาชีพในระดับสูง

การจัดการเรียนการสอนเน้นสมรรถนะการสื่อสาร (CLT) โดยปรับจุดเน้นจากไวยากรณ์มาเน้นทักษะการสื่อสารตามลำดับ ฟัง พูด อ่าน และเขียน

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความท้าทายของการประเมินผลด้วยระบบ AI แม้ว่าการเรียนการสอนจะพัฒนาไปมาก แต่การประเมินผลการเรียนรู้ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ ดังนั้น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้การศึกษาก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการประเมินผลที่ไม่เคยมีมาก่อน”

ระบบอัจฉริยะมอบโอกาสที่สำคัญ 4 มิติ ประกอบด้วย

1. การประเมินผลที่รวดเร็วและแม่นยำ : AI สามารถประมวลผลการตอบสนองจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้เกิด ข้อเสนอแนะได้ในทันที (Instant Feedback) ช่วยให้ผู้เรียนทราบจุดแข็งจุดอ่อนได้ทันเวลา.

2. การประเมินทักษะการพูดและการออกเสียง : AI สามารถวิเคราะห์การออกเสียง (Pronunciation) ระดับเสียง (Intonation) และความคล่องแคล่วในการพูด (Fluency) ได้อย่างละเอียด ซึ่งยากสำหรับครูผู้สอน การประเมินนี้ช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุงสำเนียงให้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา

3. การประเมินที่ปรับเปลี่ยนตามผู้เรียน (Adaptive Assessment) : AI สามารถสร้างข้อสอบที่ปรับระดับความยากง่ายให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน ทำให้การประเมินมีความเป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพสูงสุด

4. การเข้าถึงที่เท่าเทียม : เทคโนโลยี AI เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้ผู้เรียนในพื้นที่ห่างไกลซึ่งขาดแคลนครูผู้สอนคุณภาพสูง สามารถเข้าถึงเครื่องมือประเมินที่ได้มาตรฐานระดับสากลได้

โดย เลขาธิการ กพฐ. เน้นย้ำว่า การใช้ระบบอัจฉริยะในการประเมินผลภาษาจีนนี้ ไม่ใช่การแทนที่มนุษย์ แต่เป็นการเสริมพลังให้กับมนุษย์ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อนาคตของการศึกษาภาษาจีน คือ การสร้าง “ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบผสมผสาน” (Hybrid Learning Ecosystem) ที่นำเทคโนโลยี AI และครูผู้สอนทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน ซึ่งการพัฒนานี้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้นการพลิกโฉมการศึกษาไทยสู่ศตวรรษที่ 21 โดยมีเป้าหมายหลักคือ “การสร้างคุณภาพผู้เรียนสู่สากล”

ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ.ได้มีความมุ่งมั่นในการดำเนินการหลัก 4 ประการ คือ

1. พัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ภาษาจีนให้ทันสมัยและเชื่อมโยงกับโลกดิจิทัล

2. ส่งเสริมการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ใช้ AI ในการประเมินผลและพัฒนาทักษะภาษาจีน

3. สร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี AI

4. พัฒนาครูผู้สอนให้มีความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ

ในโอกาสนี้ เลขาธิการ กพฐ. ได้แสดงความขอบคุณต่อศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษาจีนระหว่างประเทศ (CLEC) ที่ให้การสนับสนุนส่งครูอาสาสมัครสอนภาษาจีนกว่า 20,000 คน ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบัน สพฐ. ได้ขับเคลื่อนให้โรงเรียนมีการพัฒนาหลักสูตรภาษาจีน โดยเปิดห้องเรียนพิเศษภาษาจีน (Chinese Program) ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น และพัฒนาครูคณิตศาสตร์ ครูวิทยาศาสตร์ ให้มีความรู้ทางภาษาจีนและสามารถสอนด้วยภาษาจีนได้ และพร้อมที่จะพัฒนาการศึกษาภาษาจีนให้ก้าวหน้าไปด้วยกัน

ข้อมูล – ภาพ : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานความสัมพันธ์ต่างประเทศ

เรียบเรียง : สุกัญญา จันทรสมโภชน์

ภาพเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/share/p/17MDThWkES/?mibextid=wwXIfr

15 พฤศจิกายน 2568 – นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกล่าวปาฐกถาในการประชุมด้านการสร้างระบบการศึกษาภาษาจีนในยุคปัญญาประดิษฐ์
หัวข้อพัฒนาการและประสบการณ์ด้านการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน

ปลัด ศธ. กล่าว ในฐานะผู้กำกับดูแลงานนโยบายและการบริหารของกระทรวงศึกษาว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อที่ทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบันและมีความสำคัญคือ “การสร้างระบบการศึกษาภาษาจีนในยุคปัญญาประดิษฐ์” หากกล่าวถึง “พัฒนาการและประสบการณ์ด้านการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย” คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนมีบทบาทเพิ่มขึ้นในเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยี และการศึกษา ภาษาจีนจึงมิใช่เพียงแค่ภาษาต่างประเทศทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็น “ภาษาแห่งโอกาส” ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความร่วมมือเชิงลึก และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก

กระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยให้ความสำคัญกับการจัดการเรียน
การสอนภาษาจีนอย่างเป็นระบบ เพื่อตอบสนองต่อกระแสความต้องการของผู้เรียนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีพัฒนาการความก้าวหน้า โดยได้บรรจุภาษาจีนไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทำให้นักเรียนไทยสามารถเลือกเรียนภาษาจีนได้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการวางรากฐานทางภาษาที่มั่นคง โดยได้กำหนด นโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาจีนโดยมุ่งเน้นการสื่อสาร ฟัง พูด อ่าน เขียน สอดคล้องกับบริบทและความต้องการ
ของแต่ละพื้นที่ และได้รับความร่วมมือในการจัดส่งครูอาสาสมัครสอนภาษาจีน และ ครูผู้ช่วยสอนชาวจีน (จากฝูเจี้ยน และกุ้ยโจว) มาปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนไทยทั่วประเทศ เป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มจำนวนและคุณภาพของครูผู้สอน ทำให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานมากขึ้น
 
จากนี้ไปประเทศไทยจะยังคงสานต่อความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างแนบแน่น พร้อมทั้งมุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมการเรียนรู้ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อให้ภาษาจีนเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการนำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนมาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระบบนิเวศน์การเรียนรู้ภาษาจีนที่เข้มแข็งและทันสมัยยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จากความมุ่งมั่นและพัฒนาความร่วมมือ ประเทศไทยได้รับประสบการณ์และผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ดังนี้

  1. การขยายโอกาสการเรียนรู้
    มีการเปิดห้องเรียนพิเศษภาษาจีน (Chinese Program) และห้องเรียนปกติที่เปิดสอนภาษาจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโรงเรียนเอกชน ทำให้ผู้เรียนมีทางเลือกและโอกาสในการเข้าถึงการเรียนภาษาจีนที่มีคุณภาพ
  2. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
    เครื่องมือหลักในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนเพื่อรับมือกับยุค “ดิจิทัล”เพื่อช่วยในการฝึกทักษะการฟังและการพูด รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ภาษาจีนคุณภาพสูง ซึ่งช่วยขยายขอบเขตการเรียนรู้ให้กว้างขวางไร้ข้อจำกัด
  3. การยกระดับคุณภาพครูและการใช้บุคลากรจีน
    มีการจัดค่ายฝึกอบรมเข้มข้น 
และการสนับสนุนการเข้ารับการทดสอบวัดระดับความรู้และใบรับรองคุณภาพครูภาษาจีนนานาชาติ โดยครูอาสาสมัครและครูผู้ช่วยสอนชาวจีนถือเป็นกำลังสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และวัฒนธรรมที่เป็นของแท้ ให้กับนักเรียนไทยได้อย่างมีประสิทธิผล
  4. การประเมินมาตรฐานสากล
    มีการส่งเสริมการทดสอบวัดระดับความรู้ภาษาจีน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำผลไปใช้ในการศึกษาต่อและการทำงานในระดับโลก รวมถึงการจัดสอบแบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้เทคโนโลยีเป็นกลไกสำคัญสำหรับความท้าทายในปัจจุบัน คือ การขับเคลื่อนการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ กระทรวงศึกษาธิการจึงมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ 3 ภาษาได้แก่ ไทย อังกฤษ และจีน ควบคู่กับ ทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเสริมสร้างกำลังคน ที่มีสมรรถนะสูง พร้อมแข่งขันได้ในเวทีระดับโลก

📌 รูปภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1Fya348WsP/?mibextid=wwXIfr

พบพร ผดุงพล / ข่าว , กราฟิก
สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป. ศธ. / ภาพ , ข้อมูล

15 พฤศจิกายน 2568 – ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมการประชุมระดับโลกว่าด้วยการสอบวัดระดับภาษาจีน HSK Global Conference 2025 พร้อมขึ้นกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Bridging Global Education Through Chinese Language Proficiency” (สะพานเชื่อมโลกการศึกษาด้วยความสามารถด้านภาษาจีน) เพื่อผลักดันคุณภาพการศึกษาภาษาจีนในประเทศไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานนานาชาติ และสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพของกำลังแรงงานไทยในอนาคต ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน

รมว.ศธ. กล่าวบนเวทีว่า การประชุม HSK Global Conference ถือเป็นเวทีสำคัญระดับนานาชาติที่รวบรวมผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลกด้านการสอนภาษาจีน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางพัฒนาหลักสูตรที่มีคุณภาพ โดยประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ภาษาจีนในฐานะภาษาที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ การค้า วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นทักษะที่ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของเยาวชนไทยในเวทีโลก

รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า ความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างไทยและจีนเป็นเสาหลักสำคัญต่อการพัฒนาทักษะด้านภาษาและความเข้าใจวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ยาวนานระหว่างสองประเทศ โดยปีนี้ยังถือเป็นวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ซึ่งยิ่งตอกย้ำความร่วมมือทางการศึกษาที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้ทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาจีนในหลายมิติ ทั้งการพัฒนาหลักสูตร การฝึกอบรมครู การแลกเปลี่ยนนักเรียน และการขยายศูนย์สอบวัดระดับภาษาจีน (HSK) ในประเทศไทย ปัจจุบันประเทศไทยมีศูนย์สอบ HSK ครอบคลุมทุกจังหวัดกว่า 185 แห่ง ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการสอบมาตรฐานสากลได้สะดวก ลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง และเพิ่มโอกาสด้านการศึกษาต่อและการจ้างงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับภาษาจีนโดยตรง”

รมว.ศธ. ยังระบุว่า การเรียนภาษาจีนไม่ใช่เพียงการเสริมทักษะภาษา แต่เป็นการสร้าง “สะพานแห่งมิตรภาพ” ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ และเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทยสู่มาตรฐานแรงงานระดับนานาชาติ การนำมาตรฐาน HSK มาใช้เป็นกรอบในการพัฒนาหลักสูตรและการประเมินผล จะช่วยเตรียมเยาวชนไทยให้มีความพร้อมทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม และทักษะการทำงานในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

นอกจากนี้ รมว.ศธ. ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลจีนและหน่วยงานด้านการศึกษาในจีนที่ดำเนินความร่วมมืออย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะ Chinese Test International (CTI) และ Center for Language Education and Cooperation (CLEC) ที่ร่วมสนับสนุนการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำว่ากระทรวงศึกษาธิการไทยจะเดินหน้าพัฒนาคุณภาพครู ผู้เรียน และระบบประเมินผลภาษาจีนให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานในอนาคต

“ประเทศไทยมุ่งมั่นพัฒนาเยาวชนให้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างสรรค์อนาคตของประเทศ การเสริมทักษะภาษาจีนเป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เด็กไทยก้าวทันโลก และสามารถแข่งขันในตลาดแรงงานนานาชาติได้อย่างมั่นใจ” รมว.ศธ. กล่าว

ในตอนท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ขอให้การประชุม HSK Global Conference ประสบความสำเร็จอย่างสูง พร้อมแสดงความหวังว่า ความร่วมมือทางการศึกษา และวัฒนธรรมระหว่างไทย–จีนจะยังคงเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

📌 รูปภาพเพิ่มเติม

พบพร ผดุงพล / เรียบเรียง , กราฟิก
คณะทำงาน รมว.ศธ. ภาพ , ข่าว

14 พฤศจิกายน 2568 – ศ.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม World Chinese Language Conference 2025 ณ Hall A ชั้น 4 พร้อมกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “นวัตกรรมขับเคลื่อน ปัญญาประดิษฐ์เสริมพลัง เรียนรู้ภาษาจีนอย่างไร้พรมแดน” ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเน้นบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีและ AI ในการยกระดับการเรียนการสอนภาษาจีนให้เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมทั่วประเทศ

รมว.ศธ. กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีแห่งความหมายยิ่งสำหรับไทยและจีน เนื่องจากเป็นปีที่ทั้งสองประเทศเฉลิมฉลอง ครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา ความสัมพันธ์ไทย–จีนเปรียบเสมือน “พี่น้อง” หรือ “จีน–ไทย พี่น้องกัน” ซึ่งเป็นวลีที่สะท้อนสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งของประชาชนทั้งสองชาติ และในโอกาสเดียวกันนี้ ยังสอดคล้องกับการเสด็จฯ เยือนอย่างเป็นทางการของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 13–17 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งจะยิ่งกระชับมิตรภาพและความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างไทย–จีนกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบันมีนักเรียนจีนกว่า 28,000 คน เดินทางมาเรียนในสถาบันการศึกษาไทย และนักเรียนไทยมากกว่า 30,000 คน ศึกษาในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาของจีน ความร่วมมือดังกล่าวเกิดจากโครงการร่วมหลากหลาย อาทิ หลักสูตรแบบ 3+1, 2+2, การแลกเปลี่ยนนักศึกษา โดยไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญตามกรอบ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570) ซึ่งมุ่ง Transforming Thailand ผ่านการพัฒนาทุนมนุษย์สำหรับโลกอนาคตโดยกระทรวงศึกษาธิการมีบทบาทสำคัญในการยกระดับทักษะของเยาวชนไทย ทั้งทักษะดิจิทัล การคิดวิเคราะห์ และความสามารถทางภาษา ภาษาจีนเป็นทักษะยุทธศาสตร์ที่เชื่อมไทยสู่เศรษฐกิจและวิทยาการระดับโลก พร้อมเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ได้พัฒนา National Digital Learning Platform (NDLP) เพื่อให้ผู้เรียนทุกกลุ่มเข้าถึงทรัพยากรการเรียนรู้คุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ และวางรากฐานการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล

รมว.ศธ. ยังกล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีว่า AI คือพลังสำคัญที่จะทำให้การเรียนภาษาจีน “ไร้พรมแดน” อย่างแท้จริง โดยมีบทบาทหลัก 2 ประการ ได้แก่ นวัตกรรมด้านการสอน AI สามารถทำหน้าที่เสมือนติวเตอร์ส่วนตัว ให้ข้อเสนอแนะด้านการออกเสียงแบบเรียลไทม์ ปรับบทเรียนตามความสามารถของผู้เรียน และช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาได้เร็วขึ้น และยังเพิ่มโอกาสความเท่าเทียมทางการศึกษา โดยแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงเนื้อหาคุณภาพสูงได้เช่นเดียวกับนักเรียนในเมืองใหญ่ สร้างความเสมอภาคอย่างแท้จริง

“การนำ AI มาใช้ไม่เพียงช่วยให้คนไทยเรียนภาษาจีนได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยพัฒนาความเข้าใจด้านวัฒนธรรมและทักษะดิจิทัล ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการแข่งขันระดับภูมิภาคและระดับโลก กระทรวงศึกษาธิการจะเดินหน้าส่งเสริมหลักสูตรและโปรแกรมภาษาจีนทั่วประเทศ ทั้งในระดับขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา มุ่งสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเชิงภาษา เข้าใจวัฒนธรรม และมีความพร้อมสู่สังคมโลก” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ภาษาจีนไม่ใช่เพียงเครื่องมือสื่อสาร แต่เป็นสะพานเชื่อมสองอารยธรรม และเป็นกุญแจสู่สันติภาพ ความเข้าใจ และความรุ่งเรืองร่วมกันในอนาคต การประชุม World Chinese Language Conference เป็นเวทีสำคัญที่เตือนให้เราตระหนักว่า “ภาษา” คือพลังของการทูต วัฒนธรรม และการเชื่อมโยงประเทศต่าง ๆ กระทรวงศึกษาธิการของไทยพร้อมเดินหน้าร่วมกับทุกภาคี เพื่อผลักดันการเรียนภาษาจีนให้ก้าวล้ำ และใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนอย่างแท้จริง รมว.ศธ. กล่าวทิ้งท้าย

สำนักรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ / ข่าว-ภาพ

ภาพเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/share/p/1FFLaX853y/?mibextid=wwXIfr

ความตอนหนึ่งของศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในการลงพื้นที่รับฟังปัญหาและอุปสรรค ติดตามผลการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษา พร้อมหารือกับผู้บริหารหน่วยงานการศึกษา เพื่อเร่งยกระดับคุณภาพสถานศึกษา ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ ณ ห้องประชุมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง
เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2568

”ในโอกาสที่ผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการได้ลงพื้นที่ร่วมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะอย่างใกล้ชิด ตลอดช่วง 2 วันที่ผ่านมา พบว่าหลายพื้นที่มีประเด็นท้าทายที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่มีลักษณะร่วมกันคือเรื่อง “วิทยฐานะครู” ซึ่ง ศธ. ได้ดำเนินการเพิ่มทางเลือกในการประเมิน โดยยังคงหลักเกณฑ์เดิมไว้ และเพิ่มเติมทางเลือกใหม่ คือการนำเสนอผลงานวิจัยที่โดดเด่น มีนวัตกรรม และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในสถานศึกษา การยื่นขอประเมินโดยใช้ผลงานที่มีรางวัลระดับประเทศที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งการดำเนินงานมีขั้นตอนและผลลัพธ์ชัดเจน สามารถใช้ได้จริง “นี่คือ 3 ทางเลือกที่จะช่วยปลดล็อค และเพิ่มความก้าวหน้าให้แก่ครูทุกท่าน”

อานนท์ วิชานนท์ / สรุป
ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / กราฟิก
สุกัญญา จันทรสมโภชน์

13 พฤศจิกายน 2568 – นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดกิจกรรมเสวนา “ย้อนรำลึกซ้อมรบเสือป่า” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตครบรอบ 100 ปีของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย ณ ค่ายหลวงบ้านไร่ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี

โดยมี นายวรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และในฐานะเลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะลูกเสือ เนตรนารี และบุคลากรทางการลูกเสือกว่า 700 คน เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อร่วมแสดงพลังแห่งความจงรักภักดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหาธีรราชเจ้า

กิจกรรมเสวนา “ย้อนรำลึกซ้อมรบเสือป่า” เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประวัติและแนวคิดของการซ้อมรบเสือป่า ซึ่งสะท้อนพระปรีชาญาณของรัชกาลที่ 6 โดยมี พันเอก ชนยุต ศาตะโยธิน และ นายณัฏฐภัทร กังสดาลมณีชัย ร่วมเสวนา ถ่ายทอดสาระและแรงบันดาลใจแก่ผู้ร่วม

ในช่วงพิธีเปิดกิจกรรม ลูกเสือ–เนตรนารีจาก โรงเรียนการุ้งวิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุทัยธานี ชัยนาท ได้ร่วมจัดแสดง “แสง สี เสียง ตำนานการซ้อมรบเสือป่า” และการแสดงดนตรีร่วมสมัยบทเพลงพระราชนิพนธ์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

การแสดงถ่ายทอดเรื่องราว “ตำนานการซ้อมรบเสือป่า” อย่างวิจิตรตระการตา สะท้อนพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านในการพัฒนากองเสือป่าให้เป็นรากฐานสำคัญของการฝึกวินัย ความเสียสละ และความสามัคคีในหมู่เยาวชน พร้อมบรรเลงบทเพลงพระราชนิพนธ์ในรูปแบบดนตรีร่วมสมัย สร้างความประทับใจแก่ผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 16.00 น. ได้จัดพิธี บวงสรวงดวงพระวิญญาณพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ค่ายหลวงบ้านไร่ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

สำหรับกิจกรรมเสวนา “ย้อนรำลึกซ้อมรบเสือป่า” เป็นหนึ่งในกิจกรรม “เดินทางไกลตามรอยเสือป่า” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงาน “ศตวรรษมหาธีรราชานุสรณ์” ครบรอบ 100 ปี การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงวางรากฐานการลูกเสือไทยให้เป็นสถาบันสำคัญในการหล่อหลอมเยาวชนให้มีระเบียบวินัย จิตอาสา และความเสียสละเพื่อส่วนรวม กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 14 พฤศจิกายน 2568 ผ่านการร่วมเดินทางโดยรถไฟขบวนพิเศษจากสถานีรถไฟกรุงเทพอภิวัฒน์ มุ่งสู่จังหวัดนครปฐม และสิ้นสุดที่จังหวัดราชบุรี

ธรรมนารี ชดช้อย/ ข่าว-กราฟิก
สมประสงค์ ชาหารเวียง,ภารุจ พูลอำไภย์/ ภาพ

รูปภาพเพิ่มเติม: https://web.facebook.com/share/p/18vfZLsC7F/

นายวรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมการเดินทางไกล ตามรอยเสือป่า นครปฐม สู่ ราชบุรี “ศตวรรษามหาธีรราชานุสรณ์ ครบรอบ 100 ปีเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย โดยมีคณะลูกเสือ เนตรนารี และบุคลากรทางการลูกเสือจำนวน 700 คน ร่วมเดินทางไกลโดยรถไฟขบวนพิเศษ ณ องค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม

รองปลัด ศธ. กล่าวว่า กิจกรรมไฮไลท์ในวันนี้เป็นการเดินทางไกลย้อนรอยเสือป่า ร่วมเดินทางไกลโดยรถไฟขบวนพิเศษ จากสถานีรถไฟกรุงเทพอภิวัฒน์ สู่จังหวัดนครปฐม ปลายทางจังหวัดราชบุรี ซึ่งจัดเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคตของรัชกาลที่ 6 พระบิดาแห่งการลูกเสือไทย พระผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยครบรอบ 100 ปี ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นหนึ่งใน 9 กิจกรรมสร้างสรรค์ที่ได้วางไว้ในปีนี้ จากนั้นจะขึ้นรถไฟเดินทางไกลไปที่สถานีรถไฟคลองตาคตจังหวัดราชบุรี และเดินเท้า 3.4 กิโลเมตร ไปยังค่ายหลวงบ้านไร่ เพื่อพักค้างแรม 

สิ่งสำคัญในการเดินทางจากจังหวัดนครปฐมสู่จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นพื้นที่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เป็นฐานปฏิบัติการของกองเสือป่าในอดีต การเดินตามรอยในครั้งนี้จะช่วยให้ลูกเสือ เนตรนารี และผู้เข้าร่วมกิจกรรม ได้สัมผัสและซึมซับจิตวิญญาณของความรักชาติ ความเสียสละ ความเข้มแข็ง อันเป็นหัวใจสำคัญของกิจการลูกเสือ

เป้าหมายหลักของกิจกรรมนี้คือต้องการให้ลูกเสือและเนตรนารีทุกคน ได้เห็นภาพของในหลวงรัชกาลที่ 6 ที่ท่านทรงซ้อมรบบริเวณพื้นที่จังหวัดราชบุรี และได้ย้อนรอยไปดูสถานที่จริงที่พระองค์ท่านได้เสด็จพระราชดำเนิน และเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านทรงพระราชทานลูกเสือให้กับพวกเรา ผู้เรียนเกิดการรับรู้ความเข้าใจมีวินัยในการอยู่ร่วมกัน ได้ดูแลกันและพักค่ายสไตล์ลูกเสือ และนำไปขยายผลต่อให้เพื่อนได้รับรู้ถึงกิจกรรมอยู่ค่ายพักแรมร่วมกัน ขอให้ใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เดินทางอย่างปลอดภัยมีสติ และจดจำคุณค่าของการเป็นลูกเสือที่ดีต่อไป

ทั้งนี้ สำนักงานลูกเสือแห่งชาติได้คัดเลือกลูกเสือ เนตรนารี ทั่วประเทศ มาร่วมกิจกรรมเดินทางไกล โดยในวันนี้เป็นการเริ่มต้นนั่งรถไฟขบวนพิเศษ จากสถานีรถไฟกรุงเทพอภิวัฒน์สู่สถานีรถไฟจังหวัดนครปฐม เพื่อนำคณะถวายสักการะพระร่วงโรจนฤทธิ์ และถวายสักการะพระบรมราชสรีรางคารของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสรีรางคารของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และพระสรีรางคารของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชราชธิดา ณ องค์พระปฐมเจดีย์จังหวัดนครปฐม

จากนั้น คณะลูกเสือ เนตรนารี ได้ขึ้นรถไฟขบวนพิเศษจากสถานีรถไฟจังหวัดนครปฐม มุ่งสู่ปลายทางสถานีรถไฟคลองตาคต เพื่ออยู่ค่ายพักแรม 2 วัน 1 คืน โดยเสริมสร้างกิจกรรมทักษะการเอาตัวรอดผ่านกระบวนการลูกเสือ สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ต่างสถานศึกษา รวมถึงร่วมสามัคคีตั้งเต็นท์ที่พักอาศัยชั่วคราว และร่วมกิจกรรมรอบกองไฟ ณ ค่ายหลวงบ้านไร่ จังหวัดราชบุรี

📌 รูปภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1DBSvbeAHN/?mibextid=wwXIfr

พบพร ผดุงพล / ข่าว , กราฟิก
สมประสงค์ ชาหารเวียง , ภารุจ พูลอำไภย์ / ภาพ

ประกาศ นายมัรวาน หะยีมะมิง

นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนปฏิบัติราชการและการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ณ โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น จังหวัดนนทบุรี

โดยมี นายสุรศักดิ์ อินทร์ศรีไกร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, ศึกษาธิการภาค2-3, ศึกษาธิการจังหวัด, บุคลากรด้านการจัดทำแผนและงบประมาณของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการทั้งส่วนกลางและภูมิภาค สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ และคณะเลขานุการ จำนวน 260 คน ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการฯ

ปลัด ศธ. กล่าวในพิธีเปิดโครงการว่า การจัดทำแผนปฏิบัติราชการเป็นภารกิจสำคัญในการกำหนดทิศทางและลำดับความสำคัญของงาน เพื่อให้ทุกหน่วยขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ขณะที่การจัดทำงบประมาณต้องอาศัยความเข้าใจในกระบวนการทุกขั้นตอน เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างคุ้มค่าและเกิดผลต่อการพัฒนาการศึกษาอย่างแท้จริง

การประชุมครั้งนี้มีวิทยากรจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณมาบรรยายให้ความรู้แก่บุคลากรด้านการวางแผน ถือเป็นโอกาสอันดีในการเพิ่มพูนความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พร้อมมอบนโยบายภายใต้กรอบ “นโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2569–2570” เพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์ปี 2570 คือ “บริหารจัดการศึกษาแบบบูรณาการอย่างเป็นเอกภาพ เรียนดี มีคุณธรรม รู้รักษ์พื้นฐานความเป็นไทย รู้เท่าทันโลกยุคใหม่” ปลัด ศธ. กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการจัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติราชการและงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้สอดคล้องกับแผนระดับชาติ ระดับกระทรวง และระดับหน่วยงาน รวมถึงเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติราชการและคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพทั่วทั้งองค์กร

สระบุรี -12 พฤศจิกายน 2568 / นายองอาจ วงศ์ประยูร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พิธีเปิดโครงการลูกเสือจิตอาสาบำเพ็ญประโยชน์ “ทำดี ทำได้ ทำทันที” จัดโดยสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ (สลช.) ซึ่งมีนายวรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ตลอดจนคณะผู้จัดทำโครงการฯ ลูกเสือ เนตรนารี ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ และบุคลากรทางการลูกเสือทั่วประเทศ ณ หอประชุมแสงอรุณภักดี โรงเรียนอนุบาลวัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี

รมช.ศธ. กล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราได้มาพร้อมกัน เพื่อตอกย้ำถึงภารกิจของคณะลูกเสือแห่งชาติ ในการสร้างพลเมืองที่ดี มีคุณภาพ และพร้อมรับใช้สังคม ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กิจการลูกเสือได้ทำหน้าที่ในการปลูกฝังคุณธรรมและทักษะชีวิตให้กับเยาวชนไทยได้อย่างดียิ่ง และมีการปรับวิธีการทำงานให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องด้วย

“หลักการของลูกเสือ ไม่ใช่แค่การท่องจำ คำปฏิญาณที่ว่า “ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ” แต่ต้องถูกแปลง เป็นการกระทำที่เป็นจริงและทันเวลา พร้อมขอมอบนโยบายสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานลูกเสือทั่วประเทศให้เข้มแข็ง คือ นโยบาย “ลูกเสือช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ ทำดี ทำได้ ทำทันที” โดยการ “ทำดี” ต้องเน้นคุณภาพและความสม่ำเสมอ ยึดมั่นในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และความมีวินัยตามกฎของลูกเสือ ส่วนการ “ทำได้” จะเน้นที่ทักษะและความสามารถ เพื่อใช้ช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างแท้จริง และมีประสิทธิภาพ เช่น การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมทั้งการ “ทำทันที” เน้นความรวดเร็วและความตื่นตัว เป็นหัวใจของนโยบาย ที่จะต้องเป็นคนช่างสังเกต ตื่นตัวต่อปัญหาและความเดือดร้อนของผู้อื่น จงอย่ารีรอ อย่าเพิกเฉย ต่อความเดือดร้อนตรงหน้า โดย สลช. ได้พัฒนาระบบบันทึกความดี หรือ scoutdd (สะเก๊า ดีดี) เพื่อบันทึกและรวบรวมผลงานความดีของตนเองและกองลูกเสือได้อย่างเป็นระบบ”

รมช.ศธ. กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า หากลูกเสือไทยทุกคนน้อมรับและปฏิบัติตามนโยบาย “ทำดี ทำได้ ทำทันที” เราจะสามารถสร้างพลังแห่งความดีให้แผ่ขยายไปทั่วประเทศ ลูกเสือจะกลายเป็น เสาหลักแห่งความเสียสละและ จิตอาสา เป็นความภาคภูมิใจของชาติ และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ในทุกสถานการณ์

ข้อมูล – ภาพ : สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ

กราฟิก : สุกัญญา จันทรสมโภชน์

ภาพเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/share/p/1BSWWrVmM9/?mibextid=wwXIfr

กระทรวงศึกษาธิการ – 12 พฤศจิกายน 2568 / ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับคณะนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอนจากโรงเรียนหมอนทองวิทยา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เจ้าของฉายา “เซลติกแห่งบางน้ำเปรี้ยว” รองแชมป์ฟุตบอลนักเรียน 7 คน กีฬา 7 HD 2025 (กีฬา 7 สี) นำโดย นายสกล เกลี้ยงประเสริฐ หัวหน้าผู้ฝึกสอน พร้อมคณะครูและนักเรียน ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ

พร้อมด้วยนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษา รมว.ศธ. นางสาวอนงค์นาถ จ่าแก้ว เลขานุการ รมว.ศธ. ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา รัฐมนตรีประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลเอก ทวีพูล ริมสาคร ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขา สพฐ. พร้อมผู้บริหารและบุลากร ศธ. ร่วมให้การต้อนรับ

ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ กล่าวว่า ในนามของกระทรวงศึกษาธิการ ขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับคณะครูและนักเรียนโรงเรียนหมอนทองวิทยา ที่ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์และสร้างความสุขให้กับคนไทยทั่วประเทศ ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากความทุ่มเท ความสามัคคี และความมุ่งมั่นของทุกคน ทั้งครูผู้ฝึกสอนและนักกีฬาเยาวชนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ

กระทรวงศึกษาธิการยินดีให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยได้มอบหมายให้ สพฐ. สำรวจความต้องการของโรงเรียน เพื่อพัฒนาและปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา เช่น การซ่อมแซมหลังคาโดมอเนกประสงค์ที่ชำรุด เพื่อให้มีสนามฝึกซ้อมที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งจัดหาพาหนะในการเดินทางและอุปกรณ์ฝึกซ้อม เพื่อส่งเสริมศักยภาพทางด้านกีฬาของเยาวชนให้ดียิ่งขึ้น

ขอให้โรงเรียนหมอนทองวิทยาเป็นต้นแบบของโรงเรียนที่ใช้กีฬาเป็นพลังสร้างแรงบันดาลใจ สร้างวินัย และสร้างคุณค่าให้กับนักเรียนทุกคน ทางกระทรวงฯ และ สพฐ. จะขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมโรงเรียนที่มีความโดดเด่นด้านกีฬาให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่

“รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งส่งเสริมให้เยาวชนไทยมีทักษะรอบด้าน ทั้งด้านกีฬา ดนตรี และทักษะชีวิต เพื่อพัฒนาเด็กไทยให้เติบโตอย่างสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม พร้อมทั้งส่งเสริมให้สถานศึกษาทั่วประเทศใช้ “กีฬา” เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเยาวชนอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน กระทรวงศึกษาธิการจะเดินหน้าร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการพัฒนาเครือข่ายโรงเรียนต้นแบบด้านกีฬา เพื่อยกระดับศักยภาพเยาวชนไทยสู่มาตรฐานระดับสากลต่อไป”

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร กล่าวว่า นักฟุตบอลโรงเรียนหมอนทองวิทยาคือ “ฮีโร่ของชาวฉะเชิงเทรา” และเป็นขวัญใจของคอกีฬาทั่วประเทศ ความสำเร็จของน้อง ๆ ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนและจังหวัดเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังของเยาวชนไทยที่มีความสามารถและหัวใจนักสู้อย่างแท้จริง

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายินดีร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ ในการพัฒนาและส่งเสริมกีฬาระดับเยาวชนในสถานศึกษา เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงให้กับการพัฒนานักกีฬาไทยในอนาคต และต้องขอชื่นชมกระทรวงศึกษาธิการที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านกีฬาอย่างจริงจัง หวังว่าในอนาคตเราจะได้ร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเยาวชนไทยในหลายโรงเรียนและหลากหลายประเภทกีฬา

จากนั้น น้อง ๆ นักฟุตบอลโรงเรียนหมอนทองวิทยาได้โชว์ทักษะการจ่ายบอล และการเข้าบีบพื้นที่ฟุตบอล (ลิงชิงบอล) ร่วมกับน้อง ๆ นักฟุตบอลโรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ ที่สนามหญ้าหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ท่ามกลางเสียงเชียร์อันอบอุ่นและจริงใจของเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนประชาชนในบริเวณใกล้เคียงอย่างล้นหลาม โดยมี รมว.ศธ. และคณะ ร่วมชมและให้กำลังใจติดขอบสนาม

สำหรับผลงานของน้อง ๆ โรงเรียนหมอนทองวิทยา ต.หมอนทอง อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ซึ้งต้องแข่งตั้งแต่
– รอบคัดเลือก 503 ทีม ชนะ โรงเรียนกีฬาจังหวัดตรัง 3-1
– รอบ 256 ทีม ชนะ โรงเรียนสิเกาประชาผดุงวิทย์ 6–0
– รอบ 128 ทีม ชนะ โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก 2–1
– รอบ 64 ทีม ชนะ โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย 1–0
– รอบ 32 ทีม พลิกชนะ โรงเรียนกีฬาเทศบาลนครนครราชสีมา หลังตามหลัง 1–3 ก่อนตีเสมอ 3–3 และเอาชนะจุดโทษสุดระทึก 20–19
– รอบ 16 ทีม ชนะ โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี 4–3
– รอบ 8 ทีม ชนะ โรงเรียนเทพศิรินทร์ 7–6
– รอบรองชนะเลิศ ชนะ โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา แชมป์เก่าสองสมัย 6–3
แม้ในรอบชิงชนะเลิศจะพ่ายให้กับโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท 1–2 แต่การต่อสู้ด้วยหัวใจนักสู้ของ “หมอนทองวิทยา” ได้สร้างปรากฏการณ์ “รถขนฝัน หมอนทองฟีเวอร์” ทั่วประเทศ พร้อมคำมั่นจาก อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ และลูกทีมว่า “ปีหน้าเราจะกลับมาลุ้นแชมป์อีกครั้งให้ได้”

ภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1K7EK8EaBH/

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / ภาพ
นัทสร ทองกำเหนิด / TikTok

ประกาศรายชื่อผลงาน ลงวันที่่ 11 พ.ย. 2568

11 พฤศจิกายน 2568 – ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคการศึกษา ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายสุเทพแก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ. นายวีระ แข็งกสิการ รองปลัด ศธ. นายสมใจ วิเศษทักษิณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ. ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ

กระทรวงศึกษาธิการได้น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาบูรณาการในการจัดการเรียนการสอน เพื่อมุ่งพัฒนาสถานศึกษาให้นําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ส่งผลต่อการดําเนินชีวิตของผู้เรียน ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ดังนี้ 

1. เห็นชอบ (ร่าง) คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคการศึกษา ซึ่งมีหน้าที่กำหนดในการกำหนดนโยบายและแนวทางในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงภาคการศึกษา รวมถึงส่งเสริม สนับสนุนให้หน่วยงานสามารถดำเนินงานการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมควบคุม กำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน เพื่อช่วยในการปฏิบัติงานได้ตามความเหมาะสม ไปจนถึงปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมอบหมาย

2. เห็นชอบรายชื่อสถานศึกษาที่ผ่านการประเมิน เป็นสถานศึกษาแบบอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการบริหารจัดการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (สถานศึกษาพอเพียง)ประจำปีการศึกษา 2567 และรายชื่อสถานศึกษาพอเพียงที่ผ่านการประเมินเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2567

3. เห็นชอบให้ประเมินสถานศึกษาพอเพียงเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาประจำปีการศึกษา 2567 เพิ่มเติม โดยมีสถานศึกษา 3 แห่ง ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบจากเหตุปะทะชายแดนไทย – กัมพูชาขอเลื่อนการประเมิน

4. เห็นชอบกรอบแนวทางขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคการศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เพื่อสนองพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวิชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและแนวพระราชดำริต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนการิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานศึกษาพัฒนาผู้บริหารบุคลากร นักเรียน นักศึกษา ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักให้เกิดกระบวนการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิถีปฏิบัติ จนเป็นวิถีชีวิต ปลูกฝังบ่มเพาะให้มีจิตสำนึกและอุปนิสัย “พอเพียง” และพัฒนาแนวทาง ต่อยอดองค์ความรู้ใหม่สู่ความยั่งยืน

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเตรียมการกำหนดกิจกรรมเพื่อร่วมฉลองครบ 100 ปี วันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในปี พ.ศ. 2570 โดยกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสนอพระปรมาภิไธยของ รัชกาลที่9 ต่อ UNESCO พิจารณาประกาศยกย่องให้ทรงเป็น บุคคลสำคัญของโลก จากพระราชกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่และสร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงให้กับพสกนิกรชาวไทยและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวพระราชดำริที่เป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับในสังคมโลก ซึ่งสอดคล้อง กับกรอบแนวทางของ UNESCO อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การร่วมเฉลิมฉลองมีความสมพระเกียรติ และเป็นโอกาสในการเผยแพร่พระเกียรติคุณของรัชกาลที่ 9

📌 รูปภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/18ivAhHtV2/?mibextid=wwXIfr

พบพร ผดุงพล / ข่าว
อินทิรา บัวลอย / ภาพ

11 พฤศจิกายน 2568 – ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ครั้งที่ 3/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น 2 อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ

โดยมี นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ. พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม

รมว.ศธ. กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานด้านการศึกษาในช่วงที่ผ่านมาในช่วงที่ผ่านมา ได้รับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญคือการเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กพิการและผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนโยบายสำคัญของท่านรองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้นให้ผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษาทุกคนให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิการที่มีความต้องการพิเศษอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ

ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ และอยู่ระหว่างการบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ กองทุนสงเคราะห์ และบุคลากรด้านสวัสดิการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนการศึกษาพิเศษอย่างแท้จริง

โดยที่ประชุมมีมติที่สำคัญ ดังนี้

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบรายงานสถานะการเงินและการบริหารกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ไตรมาส 3 (1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2568) และไตรมาส 4 (1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2568) ซึ่งสะท้อนภาพรวมการบริหารจัดการกองทุนที่มีความโปร่งใสและต่อเนื่อง

ธรรมนารี ชดช้อย / ข่าว – กราฟิก
ศุภณัฐ วัฒนมงคล / ภาพ

ย้ายชพ 11_0001

Top Mourning Ribbon