ศาสตราจารย์ คลินิก
นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
บรรยายพิเศษเรื่อง
"ทิศทางกระทรวงการอุดมศึกษากับการพัฒนาบัณฑิตไทยในอนาคต"
ในการประชุมสามัญสภาคณะผู้บริหารบัณฑิตศึกษาแห่งประเทศไทย (สคบท)
ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561 ณ ห้องประชุม 401
อาคารสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย
จ.พระนครศรีอยุธยา

นพ.อุดม คชินทร
กล่าวว่า การอุดมศึกษามีความสำคัญและถือเป็นหัวจักรในการพัฒนาประเทศ
ซึ่งการปฏิรูปอุดมศึกษาโดยจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษาฯ
แยกออกจากกระทรวงศึกษาธิการ ขณะนี้มีความก้าวหน้าไปมาก
โดยมีหลักการสำคัญคือ เป็นกระทรวงที่มีขนาดเล็ก
มีความคล่องตัวบนฐานความรับผิดชอบ
ส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยทำงานได้ตามความถนัดเชี่ยวชาญ
ผลิตงานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ พร้อมเชื่อมโยงและบูรณาการการทำงานกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพราะลำพังเพียงกระทรวงศึกษาธิการเพียงกระทรวงเดียว คงทำให้สำเร็จได้ยาก
รวมทั้งเชื่อมโยงกับภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม
เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ตลอดจนเชื่อมโยงสู่ภาคประชาสังคม
เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย
ดังนั้น
การที่จะปฏิรูปอุดมศึกษา
ให้สามารถผลิตกำลังคนที่มีศักยภาพไปขับเคลื่อนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้
ต้องสร้างกำลังคนระดับบัณฑิตศึกษาที่เข้มแข็งเสียก่อน
จากนั้นจึงเสริมแรงด้วยงานวิจัยมุ่งเป้าหมาย ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และสังคม
ที่จะเป็นการยกระดับองค์ความรู้และนวัตกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มเชิงพาณิชย์
ลดการนำเข้า และทำให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง
ในส่วนของบัณฑิตศึกษา
มีบทบาทสำคัญด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำประเทศไปสู่ THAILAND 4.0
เปรียบเสมือน "หัวใจ" ของบัณฑิตศึกษาที่จะต้องสร้างงานวิจัยเพื่อพัฒนา
และนำองค์ความรู้มาปรับใช้ในการสอนให้กับนักศึกษา
ที่จะเป็นการเสริมสร้างกำลังคนยุค 4.0 รองรับความท้าทายของโลกยุคดิจิทัล
ที่ความต้องการของตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงไป
และมีจุดเน้นระบบเศรษฐกิจฐานความรู้เป็นส่วนใหญ่
รวมทั้งจะปฏิเสธไม่ได้ว่า
การแข่งขันเพื่อจัดอันดับมหาวิทยาลัยในระดับนานาชาติเพื่อเป็น World
Class University มีส่วนสำคัญต่อการเลือกเรียนต่อของผู้เรียนยุคใหม่
มหาวิทยาลัยจึงต้องปรับตัวให้ทัน เพราะหากไม่ปรับตัว
ผู้เรียนก็ลดลงและอาจถูกปิดตัวไปในที่สุด
เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในหลายประเทศ
โดยมหาวิทยาลัยต้องพัฒนาหลักสูตรโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ให้มีความรอบรู้ทางวิชาการ มีคุณธรรมจริยธรรม มีความเป็นพลเมืองดี
สร้างนวัตกรรมใหม่ และสื่อสารด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และสื่อต่าง ๆ ได้
โดยเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ทั้งในและนอกห้องเรียน นอกโรงเรียน
และเรียนนอกระบบ พร้อมเติมเต็มทักษะที่จำเป็นแก่ผู้เรียนเฉพาะบุคคล
ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้บทบาทของครูอาจารย์เปลี่ยนไป
เป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้และอำนวยความสะดวก
คอยชี้แนะในการเรียนรู้จากการปฏิบัติ
พร้อมผลักดันให้ผู้เรียนมีแรงบันดาลใจและแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง
สำหรับมหาวิทยาลัย
ผู้บริหารต้องปรับ Mindset และทำความเข้าใจถึงบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
เพื่อค้นหาตัวตนหรือจุดแข็งเพื่อสร้างความแตกต่าง
สร้างงานวิจัยที่เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศ
ตลอดจนสร้างผู้ประกอบการที่เกิดจากการเรียนจากการทำงาน
อย่างไรก็ตาม
สำหรับข้อกังวลเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของกระทรวงและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ตามโครงสร้างกระทรวงการอุดมศึกษา ฯ ใหม่นั้น ขอยืนยันว่าทุกฝ่ายต้องปรับ
Mindset และทำความเข้าใจถึงบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
ส่งผลต่อการปรับตัวได้อย่างเท่าทัน สิ่งสำคัญคือ
เมื่อมหาวิทยาลัยเกิดการปรับตัวและมีจุดเน้นที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ
ก็จะได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล
ซึ่งถือว่าปัจจุบันให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการอุดมศึกษามากขึ้น
เพื่อไปสู่เป้าหมายการยกระดับ GDP ของประเทศ
และการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก










Written
by
นวรัตน์ รามสูต
Photo Credit
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor
บัลลังก์ โรหิตเสถียร