=============
ข้อเสนอแนะขององคมนตรี
ต่อบทบาทและแนวทางดำเนินงานของ มรภ.
=============
พล.อ.สุรยุทธ์
จุลานนท์ องคมนตรี กล่าวเปิดประชุมว่า
ในวันนี้เป็นโอกาสดีที่ได้มาพบปะ เพื่อหารือถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
(มรภ.) ในการยกระดับการศึกษาและพัฒนาท้องถิ่นทั่วประเทศ
ซึ่งในเรื่องของการศึกษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10) ทรงให้ความสนพระทัยและห่วงใยเป็นอย่างมาก
กล่าวคือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
ทรงมีพระราโชบายด้านการศึกษาในหลายประการที่สำคัญ
และทรงพระราชทานเงินส่วนพระองค์ ตั้งเป็น "โครงการกองทุนการศึกษา"
เพื่อให้การดูแลช่วยเหลือโรงเรียน ทั้งด้านความพร้อมทางกายภาพ
การเรียนการสอน ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ อาทิ
การซ่อมแซมบ้านพักครูในโรงเรียนต่างจังหวัดและท้องถิ่นห่างไกล
เพื่อให้ครูมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น, การรับเด็กมาเรียนครู
อาจเปิดโอกาสให้เด็กในพื้นที่มาเรียนครูเพิ่มมากขึ้น
เพื่ออยู่ในโรงเรียนได้นานและปรับตัวเข้ากับท้องถิ่นได้ง่าย เป็นต้น
พร้อมมีพระราชดำรัสแก่คณะองคมนตรี เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2555
ความว่า "ต้องการให้องคมนตรีลงไปช่วยดูแลเรื่องการศึกษา" ใน 2
ประเด็นหลัก คือ
1)
การลดความแตกต่างและสร้างมาตรฐานการศึกษาให้เท่าเทียมกัน
ระหว่างโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลหรือชายขอบ กับโรงเรียนในชุมชนเมือง
ให้ใกล้เคียงกันมากขึ้น
2) การสร้างคนให้เป็นคนดี
ต้องการให้องคมนตรีสอนคนเป็นคนดี มีคุณธรรม
ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าทรงเน้นคุณธรรมเรื่อง "ความซื่อสัตย์"
มาเป็นระยะเวลานาน เพราะการสร้างคนดี มีคุณธรรมจริยธรรม เป็นเรื่องสำคัญ
และมีความเกี่ยวโยงไปถึงครูกับศิษย์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏในฐานะผลิตครูโดยตรง
เมื่อครูรักลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็จะรักครู
เป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการถ่ายทอดความรู้
จึงขอให้ครูเป็นต้นแบบในเรื่องคุณธรรมจริยธรรม กระทำให้เด็กเห็นและทำตาม
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 10
ทรงมีพระปณิธานตามเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
9 โดยเฉพาะในเรื่องของปัญหาหนี้สินครู ทรงมีความห่วงใยเป็นอย่างมาก
จึงมีรับสั่งให้องคมนตรีช่วยหาทางแก้ไข
เพื่อไม่ให้ครูมีห่วงหรือกังวลกับการหมุนเวียนเงินเพื่อชำระหนี้
อันจะส่งผลต่อการถ่ายทอดความรู้อย่างไม่เต็มที่
ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องคิดทั้งระบบ มิใช่เพียงผ่อนชำระหนี้เท่านั้น
แต่จะต้องปลูกฝังแนวคิดให้กับครู
ไม่ยึดติดกับระบบกู้ยืมเงินสหกรณ์ออมทรัพย์
ที่จะต้องเป็นหนี้เพราะรักษาสิทธิ์ตัวเองจากการค้ำประกันให้ผู้อื่น
รวมทั้งการนำเงินในอนาคตมาใช้ด้วย
ในขณะนี้โครงการกองทุนการศึกษา
ก็พยายามหาทางช่วยเหลือครูที่มีภาระหนี้สินจากการเรียนเพิ่มวุฒิการศึกษา
รวมทั้งค่าผ่อนรถ ค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
โดยได้ทดลองเปิดสอนหลักสูตรภาคพิเศษในช่วงปิดภาคเรียนแก่ครู มรภ.ภาคกลางตอนล่าง
ได้แก่ มรภ.นครปฐม, มรภ.กาญจนบุรี, มรภ.หมู่บ้านจอมบึง และ มรภ.เพชรบุรี
โดยจัดหาที่พักภายในมหาวิทยาลัยหรือบริเวณโดยรอบที่มีราคาไม่สูงนัก
ทำให้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาเรียน
อย่างไรก็ตาม
ระบบการแก้ปัญหาหนี้สินทั้งหมด
ขึ้นอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการด้วยว่ามองภาพครูในยุคไทยแลนด์ 4.0
เป็นอย่างไร อาจจะเป็นครูที่พร้อมออกไปต่อสู้กับโลกยุคใหม่
ครูที่จะต้องสร้างคนดีให้กับสังคม หรือครูที่แข่งขันได้กับนานาประเทศ
ซึ่งภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้
ส่วนหนึ่งอยู่ที่วิธีแก้ปัญหาหนี้สินครูซึ่งเป็นตัวถ่วงที่สำคัญต่อครูส่วนใหญ่ในขณะนี้
และการจะสร้างครูตามภาพที่ มรภ.คาดหวังได้หรือไม่นั้น
ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ผู้เรียนที่จะเข้าสู่การผลิตเป็นครู
โดยเฉพาะการรับเด็กในพื้นที่มาเรียนครู ถือเป็นตัวป้อนที่ดี
เพราะนอกจากเด็กจะปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่นได้ง่ายแล้ว
ยังสามารถอยู่ในพื้นที่ได้นานกว่าด้วย ส่วนการแก้ไขปัญหาหนี้สิน
ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่อาจต้องเริ่มปลูกฝังและบ่มเพาะแนวคิด
ไม่นำเงินในอนาคตมาใช้ ตั้งแต่เรียนครูชั้นปีที่ 1 มิเช่นนั้นจะทำได้ยาก
ศ.เกียรติคุณ
นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี
กล่าวถึงพระราชดํารัส ตอบรับการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ว่า
ข้าพเจ้าขอตอบรับเพื่อสนองพระราชปณิธานและเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง
โดยขอให้รัฐบาลทำหน้าที่เพื่อให้ประชาชนมีความสุขให้มากที่สุด
พร้อมสานต่อแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ที่ได้ทรงทำมาตลอด 70 ปีที่ผ่านมา ไม่ให้น้อยลงไปกว่าเดิม
นอกจากนี้
ทรงมีพระราชหัตถเลขาแก่คณะองคมนตรีที่เข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ 23 มกราคม
2560 เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในท้องถิ่นและภูมิภาค
ตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานพระบรมราโชบายว่า
ช่วยเขาเพื่อให้เขาช่วยตัวเอง ช่วยกันพัฒนาการเกษตรและชลประทาน
ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 38
แห่งได้แบ่งงานกันทำในทุกภูมิภาคทั่วประเทศแล้ว
ทั้งนี้
ขอฝากให้ช่วยคิดว่า จะดึงลักษณะโดดเด่นเฉพาะของ มรภ.
เพื่อนำมาสร้างความเป็นเลิศสูงสุดได้อย่างไร
โดยความเป็นเลิศไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ อาจจะเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ
ช่วยเหลือโรงเรียนระดับอนุบาลหรือประถมศึกษาก็สามารถทำให้เป็นเลิศได้
ทุกสิ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยคุณภาพงานตามเป้าหมาย
แต่เบื้องต้นเราต้องหาความเป็นเลิศและจัดระบบของตนเอง จนมีความเป็น
Unique System เสียก่อน
จากนั้นจึงจะเป็นต้นแบบให้ผู้อื่นเข้ามาศึกษาดูงานได้
ทั้งนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 10
ได้ทรงแนะนำการทำงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายประการ อาทิ
- ทำงานให้เข้าเป้า
ตามบทบาทหน้าที่แห่ง
พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ
ที่กำหนดให้มีหน้าที่ยกระดับการศึกษาและพัฒนาท้องถิ่นในท้องที่ของตนเป็นสำคัญ
อาทิ การน้อมนำพระราโชบายในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการพัฒนาคุณภาพครูประจำการ
ว่า ครูเมื่ออายุมากขึ้นก็ต้องเรียนใหม่
เพราะความรู้ใหม่นั้นเกิดขึ้นมากมาย เพื่อให้ความรู้ทันสมัยอยู่เสมอ
ซึ่งการยกระดับการศึกษาถือเป็นโจทย์ใหญ่ มรภ.จึงต้องดำเนินการในภาพรวม
ตั้งแต่นักเรียน อุปกรณ์การเรียนการสอน หลักสูตร การสอบ
และการวัดและประเมินผล มรภ.ต้องยึดมั่นในหน้าที่ของตนเองตามกฎหมายและดำเนินการให้ดีที่สุด
ก็จะทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น
และเกิดคุณประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ
-
มุ่งเน้นสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน ตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของในหลวงรัชกาลที่
9 ได้แก่ มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง,
มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง-มีคุณธรรม, มีงานทำ-มีอาชีพ และเป็นพลเมืองที่ดี
นอกจากนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงให้ความหมายของการเป็นพลเมืองดีไว้ด้วยว่า
เห็นอะไรที่จะทำเพื่อบ้านเมืองได้ก็ต้องทำ
ทำด้วยความมีน้ำใจและความเอื้ออาทร อาทิ งานจิตอาสา งานอาสาสมัคร
งานบำเพ็ญประโยชน์ งานสาธารณกุศลต่าง ๆ เป็นต้น
จึงขอฝากให้ทุกคนพยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเพื่อบ้านเมืองและประชาชน
และช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อมีโอกาส
พล.อ.อ.ชลิต
พุกผาสุก องคมนตรี กล่าวว่า
สิ่งสำคัญที่ต้องให้ช่วยกันปลูกฝังคือ เรื่องของคุณธรรมจริยธรรม
ด้านความมีวินัยและการเป็นแบบอย่างที่ดี
โดยอบรมให้ความรู้แก่ครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัย
เพื่อไปสร้างเสริมแก่เด็กและเยาวชนไทยต่อไป
รวมถึงการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นหลักในการดำเนินชีวิต
จากการเดินทางไปตรวจเยี่ยมครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล
ก็พบว่าครูยังขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีวิตและมีปัญหาหนี้สิน
ทั้งจากการเช่าที่อยู่อาศัย ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เช่น ค่าซื้อรถยนต์,
ค่าน้ำมัน
หาก มรภ.
จะช่วยให้แนวคิดเรื่องความพอเพียงแก่นักเรียนนักศึกษาและครู
ก็จะเป็นหลักพื้นฐานการดำรงชีวิตตั้งอยู่บนความพอเพียง
และช่วยลดปัญหาเรื่องหนี้สินได้อย่างดีที่สุด
พล.อ.ดาว์พงษ์
รัตนสุวรรณ องคมนตรี กล่าวว่า ขอให้ มรภ.น้อมนำพระราโชบายในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 10 ในการมีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงของชาติ
ด้วยการยกระดับคุณภาพการศึกษาและพัฒนาท้องถิ่นในท้องที่
ตลอดจนพัฒนาครูและโรงเรียนให้มีคุณภาพ เนื่องจาก
การศึกษาคือความมั่นคงของประเทศ โดยทรงเน้นย้ำด้านการพัฒนาท้องถิ่น
เป็นพิเศษ ให้ทำงานเข้าถึงประชาชน พร้อมรับทราบปัญหาความต้องการ
เพื่อนำมาวิเคราะห์หาทางช่วยเหลือแก้ไข
และปรับตัวให้เหมาะสมตามสภาพและประเพณีของท้องถิ่นด้วย
โดยขอให้ยึดถือยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นระยะ
20 ปี (พ.ศ.2560-2579) สำหรับจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น สนองพระราโชบายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 10 ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาท้องถิ่น แบ่งเป็น 4 รูปแบบ คือ
1) Bottom up
การทำงานคลุกคลีกับประชาชน
เพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการของชุมชนโดยตรง
จากนั้นนำมาพัฒนางานวิจัยเพื่อช่วยเหลือต่อไป
2) Top Down
คิดค้นโครงการ/กิจกรรมใหม่พร้อมลงมือทำจนประสบความสำเร็จ
หากเกิดผลดีจึงเปิดโอกาสให้ชาวบ้านเข้ามาร่วมโครงการ
3) Relationship
มีการสร้างเครือข่ายกับนักพัฒนาที่เป็นที่ยอมรับของชุมชน
เพื่อร่วมกันสร้างองค์ความรู้และพัฒนาระบบงานวิจัยในแต่ละท้องถิ่นต่อไป
4) Sources of Funding
ดำเนินโครงการวิจัยร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งเป็นแหล่งทุนสนับสนุน
โดยเน้นงานในลักษณะ Area-Based สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
พร้อมร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อกำหนดพื้นที่เป้าหมายและดำเนินโครงการพัฒนาท้องถิ่นตามศักยภาพของ
มรภ.อย่างเต็มที่
จากการเดินทางไปตรวจเยี่ยม มรภ.หลายแห่ง พบว่า
ขาดการทำงานร่วมระดับจังหวัด
ควรให้ความสำคัญและร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดมากขึ้น,
โครงการพัฒนาท้องถิ่นยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ,
โครงการส่วนใหญ่ยังให้น้ำหนักกับการต่อยอดภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของท้องถิ่นเพียงด้านเดียว
จึงต้องเพิ่มโครงการพัฒนาท้องถิ่นด้านเศรษฐกิจ สังคม
และสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น, ขาดแผนการติดตามและประเมินผลที่เหมาะสม
ควรมีการวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการที่แท้จริง
ก่อนที่จะกำหนดเป้าหมายร่วมกับหน่วยงานระดับจังหวัด
พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนร่วมด้วย เป็นต้น
จึงขอให้ยึดถือยุทธศาสตร์ใหม่
เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นในฐานะ คนของพระราชา
ที่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชนอย่างมีเป้าหมาย ทั่วถึง และยั่งยืน
ซึ่งการจะเข้าไปช่วยเหลือได้ตรงจุด มรภ.ต้องศึกษาและเรียนรู้ข้อมูลในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด
โดยอาจเข้าร่วมจัดทำ Big Data กับกระทรวงมหาดไทย
เพื่อให้รู้ข้อมูลความต้องการตลอดจนศักยภาพของพื้นที่มากขึ้น
สิ่งสำคัญคือขอให้น้อมนำพระมหากรุณาธิคุณด้านการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น
ความห่วงใยต่อพสกนิกร ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
สื่อสารและสร้างการรับรู้ในทุกชุมชน
เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชน อันจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ
และทำให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การผลิตและพัฒนาครู
ควรจัดให้มีการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตครู
ให้มีคุณลักษณะครูในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นมีความรู้ทางวิชาการ
มีประสบการณ์การเรียนรู้ เข้ารับการฝึกอบรมและศึกษาดูงาน
เพื่อเปิดโลกทัศน์ในสิ่งใหม่, การปลูกฝังความเป็นพลเมือง, เทคนิคการสอนดี
ถ่ายทอดเข้าใจง่าย, การให้ความสำคัญกับระดับการเรียนรู้ผู้เรียน,
การสร้างแรงบันดาลใจ ตลอดจนบุคลิกภาพที่ดี
ในส่วนของจิตวิญญาณความเป็นครูขอให้ดำรงไว้ในคุณลักษณะครูในศตวรรษที่ 19
จากการติดตามและประเมินผลคุณภาพบัณฑิตครู พบว่า
การประเมินผลอยู่ในระดับผลผลิต (Output) เชิงปริมาณเท่านั้น
ยังไม่มีการประเมินผลลัพธ์ (Outcome)
จึงควรจัดให้มีการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บริการต่อคุณภาพบัณฑิตด้วย
เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์และปรับปรุงหลักสูตรการผลิตครูให้ตรงกับความต้องการ,
หลักสูตรผลิตครูยังขาดเนื้อหาการสร้างทัศนคติที่ดีและถูกต้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นรูปธรรม
และขาดการปรับปรุงรายละเอียดหลักสูตรที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพและสร้างความโดดเด่นแก่บัณฑิตตามบริบทของ
มรภ.แต่ละแห่ง, ครูใหม่บางคนยังไม่มีประสบการณ์การสอนในชั้นเรียน
จึงแนะนำให้มีการกำหนดชั่วโมงการสอนในชั้นเรียน
และให้นำไปประกอบการพิจารณาบรรจุหรือแต่งตั้ง
ส่วนครูเดิมอาจจัดเวลาให้เข้าสอนหรือทำหน้าที่สังเกตการณ์ในห้องเรียน
เพื่อใช้ประกอบการประเมินด้านคุณภาพด้วย, การจัดหลักสูตรฝึกอบรมพัฒนาครู
ต้องให้ครูทบทวนจุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง พร้อมสอบถามความต้องการของครูก่อน
จึงจะสามารถจัดหลักสูตรฝึกอบรมได้ตรงตามเป้าหมายและตามความต้องการจำเป็น
ต่อไป
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การยกระดับคุณภาพการศึกษา
จากการตรวจเยี่ยมพบว่า
หลายแห่งยังขาดการวิเคราะห์สภาพและศักยภาพตามบริบทขององค์กร (SWOT
Analysis) รวมถึงปัจจัยด้านคุณภาพการศึกษา, แนวทางการพัฒนาท้องถิ่น,
สมรรถนะของบัณฑิตในแต่ละสาขาวิชา
และความต้องการของตลาดแรงงานทั้งระดับท้องถิ่น
ระดับภูมิภาคและระดับประเทศ,
ยังไม่ให้ความสำคัญกับบทบาทการเป็นมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง
ขาดแผนงานภาพรวมและองค์ประกอบต่าง ๆ
ที่จะดึงศักยภาพที่มีอยู่ไปช่วยพัฒนาสถานศึกษาในท้องถิ่น เป็นต้น
ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาการบริหารจัดการ มรภ.หลายแห่งยังไม่มีแผนการ
Re-Profile ตามบริบทของตนเอง และตอบโจทย์พื้นที่อย่างชัดเจน
จึงได้ให้หลักการไว้ว่า ทุกพื้นที่มีผู้รับผิดชอบหลัก
ทำงานข้ามพื้นที่ได้ แต่ให้มีการบูรณาการกับเจ้าของพื้นที่ด้วย
โดยยังคงพัฒนาท้องถิ่นทั้งในเชิง Area-Based และ Functional-Based
นอกจากนี้ ยังพบปัญหาการจัดทำฐานข้อมูลยังไม่เสร็จสมบูรณ์
จึงไม่สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

นอกจากนี้
จากการประชุมหารือเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ตามยุทธศาสตร์ใหม่
ระหว่างผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (ทปอ.มรภ.)
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานเลขาธิการคุรสภา
และสำนักงบประมาณ
ทำให้ทราบว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดประเภทสถาบันอุดมศึกษาไทย
เพื่อใช้ในการปรับสัดส่วนตัวชี้วัดระดับคณะหรือสถาบันอุดมศึกษา
แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) Research or Global University 2)
Innovative & Entrepreneurial University 3) Social and Community
University 4) Professional University ในส่วนของ มรภ.
ยังคงจุดเน้นการบริการวิชาการเพื่อพัฒนาท้องถิ่นตามบทบาทหน้าที่หลัก
ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้ในโครงสร้างแผนงานรองรับยุทธศาสตร์ที่
3 การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน ปีงบประมาณ 2562
จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี หาก มรภ.กำหนดตัวชี้วัดการประเมินได้อย่างชัดเจน
ก็จะสามารถเสนอของบประมาณเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาท้องถิ่นได้มากขึ้นด้วย
ส่วนสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา มีความพร้อมที่จะปรับมาตรฐานวิชาชีพ
เพื่อออกใบประกอบวิชาชีพครูให้ตรงกับคุณภาพของครูที่จะผลิตออกมาด้วย.

=============
แนวทางนโยบายของรัฐมนตรี
เลขาธิการ กกอ. ประธาน ปทอ.มรภ.
และตัวแทนนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏ
ในการขับเคลื่อนโครงการและกิจกรรมของ มรภ.
สนองพระราโชบายด้านการศึกษา
ของในหลวงรัชกาลที่ 10
=============
นพ.ธีระเกียรติ
เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
กล่าวในนามกระทรวงศึกษาธิการว่า
รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่องคมนตรีด้านการศึกษาทั้ง 4 ท่าน
ได้มาพบปะและน้อมนำพระราโชบายในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
(สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10)
โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.)
ถ่ายทอดสู่ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และนายกสภา มรภ. ในครั้งนี้
พร้อมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน
ภายหลังที่ได้มีการประชุมหารือร่วมระหว่างองคมนตรีและอธิการบดี มรภ.
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ณ สำนักงานองคมนตรี
ซึ่งได้ขยายผลสร้างการรับรู้ต่อนายกสภา มรภ. และมหาวิทยาลัยทุกแห่ง
เพื่อนำสู่การปฏิบัติมีความก้าวหน้าในหลายเรื่องแล้ว
สำหรับความก้าวหน้าของกระทรวงศึกษาธิการ ในการน้อมนำพระราโชบายด้านการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 สู่การปฏิบัติ
และขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาภายใต้การบริหารงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(คสช.) รัฐบาล และกระทรวงศึกษาธิการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาว่า
ได้ดำเนินงานสนองพระราโชบายด้านการศึกษา
ซึ่งมีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรมในหลายประการ อาทิ
-
การปรับหลักเกณฑ์การย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จาก 2 ปี
เป็น 4 ปี เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนครูและครูย้ายออกนอกพื้นที่
- การซ่อมบ้านพักครู ซึ่งการดำเนินงานมีความก้าวหน้า
และเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี
โดยในปีนี้จะดำเนินการในส่วนที่ตกหล่นทั้งหมด
- โรงเรียนคุณธรรม มีการพัฒนาอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง
พร้อมขยายการดำเนินงานไปยังทุกเครือข่ายของสถานศึกษา
- หลักเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ เมื่อวันที่ 5
กรกฎาคม 2560 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะและการพัฒนาข้าราชการครูแนวใหม่
"จากพระราชกระแสฯ ... สู่การพัฒนาครูทั้งระบบ"
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
ทรงมีความห่วงใยต่อคุณภาพการศึกษาของชาติ โดยทรงมีพระราชหัตถเลขา
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2555 ความว่า ปัญหาปัจจุบันคือ
ครูมุ่งเขียนงานวิทยานิพนธ์ เขียนตำราส่งผู้บริหาร
เพื่อให้ได้ตำแหน่งและเงินเดือนสูงขึ้น แล้วบางทีก็ย้ายไปที่ใหม่
ส่วนครูที่มุ่งการสอนหนังสือกลับไม่ได้อะไรตอบแทน ระบบไม่ยุติธรรม
เราต้องเปลี่ยนระเบียบตรงจุดนี้
การสอนหนังสือต้องถือว่าเป็นความดีความชอบ หากคนใดสอนดี
ซึ่งส่วนมากคือมีคุณภาพและปริมาณ ต้องมี reward
กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักและดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมปรับหลักเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะใหม่จนประสบความสำเร็จ
และเชื่อว่าการประเมินวิทยฐานะแนวทางใหม่นี้
จะช่วยแก้ปัญหาการประเมินที่เป็นธรรม โดยเฉพาะครูที่อยู่แต่ในห้องเรียน
ครูที่ตั้งใจสอน จะได้รับการตอบแทนที่มีความเหมาะสมมากขึ้น
ตลอดจนลดการทำเอกสารเพื่อการประเมินด้วย
- หนี้สินครู
เห็นด้วยกับองคมนตรีที่ต้องแก้ปัญหาหนี้สินครู ตั้งแต่ระบบความคิด
ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการต่อไป
อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการกำลังหารือร่วมกับธนาคารออมสินเพื่อช่วยเหลือครูที่เป็นหนี้ในโครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา
(ช.พ.ค.) จำนวนกว่า 5 แสนล้านบาท
ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
(สกสค.) ได้รับเงินคืน (Keep Back) จากธนาคารออมสินในอัตราร้อยละ 0.5-1
แต่ในเร็ว ๆ นี้
จะลงนามความร่วมมือกับธนาคารออมสินเพื่อยกเลิกการส่งเงินคืนให้กับ สกสค.
แต่จะนำเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้ครูที่มีสถานะชำระหนี้ระดับดี
ซึ่งจะมีมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท นอกจากนี้
จะดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับครูที่มีหนี้ในสภาวะวิกฤตกว่า 1
หมื่นคนจากครูทั้งหมดกว่า 4 แสนคน ซึ่งครูส่วนใหญ่มี NPL (Non-Performing
Loan) หรือหนี้เสีย เพียงประมาณร้อยละ 10 แต่เมื่อปรับโครงสร้างหนี้แล้ว
เชื่อว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่น่ากังวลต่อไปของปัญหาหนี้สินครูคือ
การกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ซึ่งจะลงไปดูในรายละเอียดเร็ว ๆ
นี้ต่อไป
ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ ทั้งในระดับนโยบาย ระดับผู้บริหาร
และระดับผู้ปฏิบัติ
มีความตั้งใจในการดำเนินนโยบายพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะรัฐมนตรีทั้ง 3 ท่านได้น้อมนำพระราโชบายด้านการศึกษาสู่การดำเนินงานตามบทบาทหน้าที่อย่างเข้มแข็ง
คือ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้ขับเคลื่อนและบูรณาการการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นระบบ
อาทิ การดำเนินนโยบายสู่การปฏิบัติตามแผนงาน การจัดสรรงบประมาณ
การบริหารงานบุคคล โครงการ เป็นต้น ส่วน
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงพื้นที่ขับเคลื่อนงานการอุดมศึกษาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อผลิตกำลังคนในสาขาขาดแคลน ตอบโจทย์การพัฒนาท้องถิ่น ชุมชน สังคม
และประเทศ รวมทั้งให้แนวทางนโยบายเรื่องดังกล่าวในการลงพื้นที่ต่าง ๆ
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการนอกสถานที่
รวมทั้งในโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จฯ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ตลอดจนงานเฉพาะกิจต่าง ๆ อีกด้วย
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ฝากให้ มรภ.ช่วยขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาใน
2 ส่วนสำคัญ คือ
1)
การดำเนินงานโครงการพัฒนาครูด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (Boot
Camp)
โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
กับบริติช เคานซิล (British Council) ประเทศไทย
ในการจัดค่ายอบรมภาษาอังกฤษแบบเข้มข้นเป็นเวลา 3 สัปดาห์
โดยอบรมกับเจ้าของภาษา เพื่อสร้างครูแกนนำสอนภาษาอังกฤษของ สพฐ.ขยายผลไปทั่วประเทศ
ในระยะเวลา 4 ปี ซึ่งขณะนี้โครงการมีความก้าวหน้าไปมาก สพฐ.สามารถอบรมครูเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในเวลากว่า
2 ปี
โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์ต่อการพัฒนาครูภาษาอังกฤษของไทยเป็นอย่างมาก
อีกทั้งยังเป็นการน้อมนำพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 5) เกี่ยวกับการเรียนรู้เพื่อให้ทันโลกว่า
ให้พึงนึกในใจไว้ว่า เราไม่ได้เรียนเพื่อเป็นฝรั่ง
เราเรียนเพื่อจะเป็นคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง
ซึ่งการเรียนภาษาอังกฤษจะช่วยให้ครูของเราสื่อสารภาษาสากล
และเท่าทันกับความรู้วิทยาการสมัยใหม่ด้วย
จึงขอเสนอให้
มรภ.สานต่อโครงการพัฒนาครูด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษต่อไป
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาครู
นักเรียนนักศึกษาที่อยู่ในพื้นที่ที่มีศูนย์พัฒนาครูด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ
(Boot Camp) ระดับภูมิภาค (Regional English Training Centre) ใน มรภ.ทั้ง
15 แห่ง ทั้งครูอาจารย์ของ มรภ.เอง ครูอาจารย์ที่ผ่านการอบรมมานานแล้ว
นักศึกษาที่จะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ
หรือนักศึกษาที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้น
ตลอดจนขยายผลสู่การพัฒนาครูในสังกัดการศึกษาเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ทั้งนี้ ขอให้ มรภ.ทำสัญญาร่วมโครงการให้ทันก่อนหมดสัญญาในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
2)
โครงการพัฒนาครูด้วยระบบคูปองครู
เป็นอีกหนึ่งโครงการที่มีความก้าวหน้าและได้รับการตอบรับอย่างดี
ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาครูที่อยู่พื้นที่ห่างไกล
และอบรมครูได้ตรงตามความต้องการพัฒนาตนเองมากขึ้น โดยการดำเนินงานในปีนี้
จะนำประเด็นปัญหามาปรับปรุงการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นใน 2 ประเด็น คือ
มีข้อเรียกร้องของครูให้ มรภ.ในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นผู้จัดหลักสูตรอบรม
และในเรื่องของคุณภาพหลักสูตร ขณะนี้ ศธ.ได้จัดระบบคัดเลือกหลักสูตร
เพื่อคงมาตรฐานและระดับความเข้มข้นในการอบรมให้เป็นไปตามมาตรฐาน
โดยในปีนี้แม้จะมีหลักสูตรเสนอเข้ามาถึง 5,000 หลักสูตร
แต่มีหลักสูตรผ่านการพิจารณาเพียงไม่กี่ร้อยหลักสูตร จึงเสนอให้ มรภ.จัดหลักสูตรอบรมในนามสถาบันอุดมศึกษามากขึ้น
หากหลักสูตรใดยังไม่ผ่านการพิจารณา ก็ขอให้ปรับปรุงให้เป็นไปตามมาตรฐาน
เพราะถือเป็นอีกโครงการหนึ่งที่จะเชื่อมโยงการทำงานระหว่าง มรภ.
ตอบโจทย์พัฒนาท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง
รวมทั้งได้ขยายผลการจัดการอบรมให้กับครูประจำการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชนต่อไปด้วย
นายสุภัทร
จำปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
กล่าวถึงการน้อมนำพระราโชบายด้านการศึกษามาขับเคลื่อนการดำเนินงานว่า
ปัจจุบัน มรภ.ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับเครือข่ายพัฒนาท้องถิ่นและชุมชน
ในการกำหนดปัญหาเพื่อนำสู่การพัฒนาโครงการ ตลอดจนจัดหาแหล่งทุน
และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน โดยดำเนินการตามแผนการพัฒนาภาคตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
มีการจัดทำฐานข้อมูลความต้องการ (Big Data)
จัดการบริการวิชาการและจัดหลักสูตรอบรม
ตลอดจนต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นและส่งเสริมวัฒนธรรมพื้นบ้าน
และจัดระบบติดตามและประเมินผล พร้อมรับฟังความคิดเห็นเพื่อการพัฒนา
ทั้งหมดนี้ดำเนินการในรูปแบบการมีส่วนร่วมพัฒนาท้องถิ่น
ทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน ภาคเอกชน
และประชาชนที่สนใจ
นอกจากนี้ มรภ. ยังได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ
เพื่อยกระดับการผลิตครูตามยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนาครู
เพื่อสร้างครูที่มีคุณลักษณะที่ดีและมีคุณภาพร่วมกับทุกภาคส่วน อาทิ
การพัฒนาหลักสูตรผลิตครูร่วมกับประเทศฟินแลนด์,
การจัดการอบรมภาษาอังกฤษแบบเข้ม (Boot Camp), การเปิดศูนย์ฝึกอบรม 9
มาตรฐาน, โครงการ U-School Mentor,
ร่วมจัดหลักสูตรตามนโยบายคูปองพัฒนาครู, ส่งเสริมโรงเรียนคุณธรรม เป็นต้น
ผศ.ดร.เรืองเดช วงศ์หล้า ประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ
(ทปอ.มรภ.)
กล่าวถึงเจตนารมณ์ของ มรภ.ทั้ง 38 แห่งว่า มีความตั้งใจในการน้อมนำพระราโชบายเรื่องการให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นและยกระดับการศึกษาของคนในพื้นที่
โดยในช่วงแรกเป็นช่วงของการปรับตัวและมีการดำเนินโครงการตามความถนัดของแต่ละพื้นที่
ซึ่งยอมรับว่าอาจจะยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด
จากนั้นจึงมีการมุ่งเน้นดำเนินการและขยายผลโครงการของ มรภ.ที่ประสบผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
อาทิ การผลิตครู,
การผลิตสื่อการศึกษาผ่านสถานีโทรทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียม,
การมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาความขาดแคลน ยากจน
และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในระดับจังหวัด, โครงการตามนโยบายไทยนิยม
ยั่งยืน เป็นต้น
ทั้งนี้
จะสรุปรายงานผลการดำเนินงานในภาพรวม
เสนอให้กระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาลรับทราบ
และเผยแพร่ความก้าวหน้าผลงานและความสำเร็จที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป
นายกร ทัพพะรังสี
นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ได้เสนอความเป็นไปได้ในการจัดตั้งมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร ทรงใส่พระทัยด้านการศึกษาของ มรภ.มาโดยตลอด
โดยคาดหวังให้มหาวิทยาลัยดังกล่าว
เป็นต้นแบบการเรียนการสอนเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นและพัฒนาคุณภาพครูต่อไป
นายมีชัย
ฤชุพันธุ์ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
กล่าวว่า
การเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ทำให้ทุกฝ่ายได้รับทราบพระราโชบายด้านการศึกษาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 10 ที่ทรงสนพระทัยและห่วงใยการจัดการศึกษาของ มรภ.เป็นอย่างมาก
และทรงมอบแนวทางการดำเนินงานเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ตามกรอบยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นระยะ
20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์
ซึ่งจะทำให้ท้องถิ่นได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้
ดังนั้น จึงเชื่อว่าหาก มรภ.
ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวอย่างเต็มที่ ก็จะสามารถพัฒนา มรภ.ให้มีความโดดเด่นตามบทบาทภารกิจและหน้าที่ได้อย่างไม่ต้องพึ่งพาใคร
พร้อมทั้งขอเสนอให้มีการหารือร่วมกันระหว่างนายกสภา มรภ. และอธิการบดี
มรภ. เพื่อพิจารณากรอบแผนงานผลิตครูดี ครูพันธุ์ใหม่ หรือครูพันธุ์พิเศษ
และนำสู่การปฏิบัติโดยเร็ว เพื่อผลิตบัณฑิต มรภ.ให้ตอบโจทย์การพัฒนาพื้นที่ในด้านต่าง
ๆ ต่อไป

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
กล่าวสรุปถึงการประชุมครั้งนี้
ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากที่ทุกฝ่ายได้พบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานร่วมกัน
เพื่อให้นายกสภา มรภ. ได้นำไปถ่ายทอดสู่ฝ่ายบริหารของสภา มรภ.
ที่จะทำให้งานเดินหน้าไปด้วย
จึงขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ผู้บริหารทุกองค์กรหลัก
และในฐานะนายกสภามหาลัยราชภัฏเพชรบุรีก็จะได้น้อมนำแนวคิดและนำผลจากการประชุมหารือในครั้งนี้ไปปฏิบัติให้บังเกิดผลต่อไปเช่นเดียวกันด้วย.

Written by
ปารัชญ์ ไชยเวช, อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, นวรัตน์
รามสูต
Photo
อิทธิพล รุ่งก่อน, ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriter
นวรัตน์ รามสูต
Editor
บัลลังก์ โรหิตเสถียร