ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 293/2556
ศธ.ประกาศนโยบาย "นักเรียนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ต้องไม่มี"

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) - นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ  ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ ดร.เบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งผู้บริหาร สพฐ. ร่วมแถลงข่าวเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2556 ประกาศนโยบาย "นักเรียนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ต้องไม่มี"

รมว.ศธ. กล่าวว่า สืบเนื่องจากการที่ ศธ.มีนโยบายการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง แต่พบว่าการที่จะทำให้เด็กสามารถคิด วิเคราะห์ในวิชาสำคัญๆ ได้นั้น ข้อเท็จจริงที่สำคัญคือ พบว่ายังมีนักเรียนที่มีปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ที่จะต้องได้รับการดูแลให้อ่านรู้เรื่องและสื่อสารได้ เพื่อเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนรู้วิชาอื่นๆ ต่อไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้สำรวจครูและโรงเรียนต่างๆ ก็พบว่า มีจำนวนไม่น้อยที่มีองค์ความรู้และประสบการณ์ที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างต่อเนื่อง ดังเช่นผลงานที่นำมาแสดงในการแถลงข่าวครั้งนี้ คือ

- สพป.ระยอง เขต 1 ที่มีการจัดโครงการห้องเรียนพัฒนาทักษะพื้นฐานการอ่านเขียนภาษาไทย (ห้องเรียนบริบาล) ของโรงเรียนบ้านหนองจอก

- สพป.สุโขทัย เขต 2 มีกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย ชั้น ป.1-6 ของโรงเรียนอนุบาลศรีสำโรง ซึ่งมีผลงานที่ประสบความสำเร็จทำให้ค่าเฉลี่ยในทุกรายวิชาของโรงเรียนในปีการศึกษา 2555 สูงกว่าระดับประเทศ (ยกเว้นภาษาต่างประเทศ)

- สพป.สระบุรี เขต 1 ที่มีผลงานส่งเสริมพัฒนาการเรียนภาษาไทยระดับประเทศ ระดับดีเด่น ปีการศึกษา 2555

- สพป.ลำพูน เขต 2  นำเสนอผลงานของโรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซ อ.ลี้ ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนกะเหรี่ยงมากถึงร้อยละ 95 ได้ปรับการเรียนการสอนโดยจ้างครูชาวไทยในหมู่บ้านมาช่วยปรับพื้นฐานด้านภาษาไทยตั้งแต่ระดับอนุบาล เพื่อให้สามารถใช้ภาษาไทยเป็นภาษาพื้นฐาน โดยมีเทคนิคที่สำคัญ เช่น การแจกรูปสะกดคำ

รมว.ศธ.เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานของครูและโรงเรียนต่างๆ ที่เป็นตัวอย่าง
แสดงให้เห็นถึงเทคนิคและการจัดกิจกรรมเรียนการสอนภาษาไทยที่มีประสิทธิภาพ

ดังนั้น จึงได้ประกาศว่า ศธ.จะให้ความสำคัญในเรื่องนี้ว่า "นักเรียนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ต้องไม่มี" โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) คิดกระบวนการดูแลแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งขณะนี้ สพฐ.ได้กำหนดให้เป็นมาตรการเร่งรัดในปีการศึกษา 2556 โดยจะสแกนนักเรียนทุกคนในชั้น ป.3 และ ป.6 ก่อน ซึ่งได้จัดทำเครื่องมือทดสอบและการคัดกรองเด็กนักเรียนไว้แล้ว เพื่อให้เขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศตรวจสอบและคัดกรองนักเรียน ป.3 และ ป.6 ทุกคนให้แล้วเสร็จภายในระหว่างวันที่ 9-20 กันยายนนี้ พร้อมทั้งจะมีการเร่งรัดพัฒนาครูที่สอนภาษาไทยให้แล้วเสร็จภายในช่วงปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 จากนั้นจะมีการนิเทศติดตามผล และรายงานต่อ สพฐ.ทุกภาคเรียน โดยย้ำให้สถานศึกษาทุกแห่งดำเนินการทุกวิธีที่จะทำให้นักเรียนตามเป้าหมายดังกล่าวอ่านออกเขียนได้ 100% รวมทั้งมีแผนดำเนินการซ่อมเสริมให้แล้วเสร็จภายในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556

สิ่งที่ต้องการเน้น คือ ควรมีการรวบรวมข้อมูล เทคนิควิธีของโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ โดยนำองค์ความรู้ที่มีอยู่ในระบบขยายผลไปยังโรงเรียนอื่นๆ ส่วนมาตรการเร่งรัดที่มีการสแกนนักเรียนทุกคน โดยเริ่มต้นจากระดับชั้น ป.3 และ ป.6 นั้น เพราะต้องการให้เด็กในช่วงชั้นดังกล่าวอ่านรู้เรื่องและสื่อสารได้ ซึ่งจะช่วยโยงไปถึงการเรียนการสอนในรายวิชาอื่นๆ รวมทั้งช่วงชั้นต่อไป และมุ่งหวังให้เด็กสามารถคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ซึ่งในระยะยาวก็จะช่วยแก้ปัญหาผลการประเมินการทดสอบ PISA และผลการทดสอบของประเทศให้สูงขึ้นได้ต่อไปด้วย

ภาพ สถาพร ถาวรสุข

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนที่จะดำเนินการ ซึ่ง สพฐ. ได้จัดทำเครื่องมือคัดกรองนักเรียนตามกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งจัดทำคู่มือ แนวปฏิบัติ เพื่อให้ทุกเขตพื้นที่การศึกษาจะได้มีข้อมูลในการคัดกรองนักเรียนเป็นรายบุคคล โดยจะเริ่มต้นสแกนนักเรียนกลุ่มเสี่ยงวันที่ 9-20 กันยายนนี้ ซึ่งเป็นช่วงปลายภาคเรียนที่ 1 รวมทั้งจะมีแนวทางเพื่อฟื้นฟูสมรรถนะการเรียนภาษาไทยของนักเรียนกลุ่มเสี่ยงได้อย่างเป็นรูปธรรม ตามเป้าหมายที่ต้องการให้ตัวเลขนักเรียน ป.3 และ ป.6 ทุกคน ซึ่งยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จะต้องลดลงเหลือ 0 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556

บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
5/9/2556

กรณีนำข่าวจากสำนักงานรัฐมนตรีไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ของท่าน กรุณาให้เครดิตแหล่งที่มาด้วย, ขอขอบคุณ